บทที่ 83 สัตว์ประหลาดแห่งสำนักเสินไห่
บรรดาศิษย์ที่เดินนำหน้าเขาเข้าสำนัก เริ่มสนทนากันอย่างเกรียวกราวอีกครั้ง เพราะต่างตื่นเต้นกับประเพณีระหว่างสองสำนักใหญ่แห่งอาณาจักรเสินไห่ในวันพรุ่งนี้
“ข้าได้ยินว่าครั้งนี้ สำนักเสินไห่ได้คัดเลือกสัตว์ประหลาดที่น่าทึ่ง นามซูหลี่ วิญญาณยุทธ์ของเขาคือจิตวิญญาณการต่อสู้ขั้นสูง!”
“อะไรนะ จิตวิญญาณการต่อสู้ขั้นสูงงั้นรึ!” ศิษย์หนึ่งในนั้นถึงกับสะดุ้งไหวด้วยตกตะลึง
“ใช่แล้ว คือวิญญาณยุทธ์มหาวานรยักษ์! ไม่เพียงเท่านั้น พรสวรรค์ด้านวรยุทธก็หาใช่ธรรมดา เพราะเขาเชี่ยวชาญวรยุทธทั้งสามภาคบังคับของศิษย์ปีหนึ่งจนบรรลุขั้นวรยุทธ์ไร้เทียมทาน!”
“บรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทานแล้ว! เป็นบุตรแห่งวรยุทธ เช่นเดียวกับหยางเสี่ยวเทียนงั้นเรอะ”
“อย่าได้ไปเทียบกับวิญญาณยุทธ์ขยะระดับสองอย่างหยางเสี่ยวเทียนเชียว คนอย่างเขาไม่มีอะไรเลย จะเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นได้อย่างไร”
“สำนักเสินไห่มีสุดยอดสัตว์ประหลาดเช่นนี้ เกรงว่าในวันประลองแลกเปลี่ยนความรู้ ทางสำนักเสินเจี้ยนของเราต้องพ่ายยับแน่”
เหล่าศิษย์เบื้องหน้าเขาต่างแสดงท่าทีหวาดหวั่น สะบัดหัวพลางยกมือขึ้นลูบแขนทั้งสองด้วยขนลุกเกรียวไปทั่วร่าง
หยางเสี่ยวเทียนมองร่างที่ต่างเดินนำเขาห่างออกไปของบรรดาศิษย์เหล่านั้น ด้วยหยุดพึมพำกับตัวเอง “มหาวานรยักษ์ บุตรแห่งวรยุทธงั้นหรือ”
เขารู้ดีว่าวิญญาณยุทธ์มหาวานรยักษ์นั้น เป็นเพียงวิญญาณยุทธ์ทั่วไประดับสิบเอ็ด และเพิ่งถูกจัดให้เป็นวิญญาณยุทธ์ขั้นสูง
อย่างไรก็ตาม แม้ตอนนี้มันจะถูกจัดให้เป็นวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงไม่นานนี้ แต่มันก็ยังไม่อาจเทียบได้กับวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงแท้จริงสิบอันดับแรก
หยางเสี่ยวเทียนหยุดพินิจเรื่องนี้ครู่เดียว แล้วมุ่งหน้าสู่หอคัมภีร์ต่อไป
ไม่ช้าเขาก็มาถึงหอคัมภีร์ พอครั้นก้าวผ่านประตูเข้ามา สายตาได้พลันเหลือบเห็นหูซิง เฉิงเป้ยเป้ย หยางจง และคนอื่นๆ นั่งจับกลุ่มสนทนากันอยู่ที่นี่ด้วยท่าทีโอ้อวดจองหองเช่นทุกครา
“ศิษย์พี่หูซิง ท่านจะต้องคว้าอันดับที่ดีในการแข่งขันหลอมโอสถครั้งนี้อย่างแน่นอน” น้ำเสียงกล่าวเยินยอเช่นนี้มาจากเฉิงเป้ยเป้ย
ซึ่งเมื่อหูซิงได้ฟังดังนั้น ก็ทำทีโบกมือปัดแสร้งเป็นถ่อมตัว “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มีปรมาจารย์มากมายลงแข่งขันหลอมโอสถในครั้งนี้ อย่างไรเสีย ทุกคนคงพอเดาได้อยู่แล้ว ว่าข้าต้องติดสิบอันดับแรกเช่นเคย”
หัวใจหยางเสี่ยวเทียนสั่นไหวเร็วขึ้น หลังได้ทราบว่าหูซิงก็ลงแข่งขันหลอมโอสถในครั้งนี้ด้วย ช่างน่าสนใจขึ้นมาแล้ว
ทันใดนั้น เฉิงเป้ยเป้ยก็ลอบส่งสายตาสะกิดบอกหูซิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามว่าหยางเสี่ยวเทียนมาแล้ว ทำเสียงสนทนาครื้นเครงเมื่อครู่เงียบสงัดลง พวกเขาทุกคนต่างหันมองเขาด้วยสีหน้าท่าทางจงเกลียดจงชังเป็นที่สุด
เฉิงเป้ยเป้ยดีดตัวลุกขึ้นยืนกอดอก เชิดหน้าหยิ่งยโสของนางจ้องทางหยางเสี่ยวเทียนขณะเขากำลังเดินผ่านกลุ่มของพวกนางไปราวไม่เห็น
“หยางเสี่ยวเทียน ครั้นข้าพินิจจากความสนใจของเจ้า เจ้าคงต้องการเข้าร่วมการแข่งขันหลอมโอสถครั้งนี้ด้วยใช่หรือไม่” น้ำเสียงเล็กแหลมของนางที่เปล่งออกมาแม้จะไม่ดังนัก แต่เมื่ออยู่ในโถงอันเงียบสงบ มันกลับก้องกังวานจนได้ยินกันไปถ้วนทั่ว
เฉิงเป้ยเป้ยเหยียดยิ้มทันทีเมื่อเห็นผู้คนในโถง ต่างจับจ้องให้ความสนใจระหว่างนางกับหยางเสี่ยวเทียน ก่อนนางจะเริ่มเผยปากปรามาสเขาต่อ “อย่างไรก็ตาม หากเจ้าต้องการเข้าร่วม เจ้าจะต้องมีคุณสมบัติเสียก่อน”
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่มีคุณสมบัติ” หยางเสี่ยวเทียนหันมากล่าวโต้ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำรอยยิ้มเหยียดหยามบนใบหน้าขาวนวลของเฉิงเป้ยเป้ยหุบลง
“แล้วเจ้าล่ะ คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติหรืออย่างไรกัน” เขาถามกลับ ก่อนนางจะทันได้อ้าปากยอกย้อน
ทันทีที่นางได้ยินวาจาเช่นนั้น ใบหน้าของเฉิงเป้ยเป้ยก็มุ่ยลงอย่างไม่พอใจพร้อมผันเปลี่ยนเป็นสีแดงม่วง นางชี้นิ้วหาเขาพลางทำอ้าปากขมุบขมิบไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาโต้เถียง เนื่องด้วยไม่คิดว่าเขาจะพูดจี้ใจดำได้ถูดจุด
แม้พรสวรรค์ด้านวรยุทธของนางจะนับว่าดีไม่ด้อยไปกว่าผู้อื่น แต่ความสามารถด้านการหลอมโอสถกลับอยู่ระดับปานกลางไม่มีคุณสมบัติมากพอเข้าร่วมสมาคม และต่อให้นางจะหมั่นฝึกฝนมานานหลายปี ก็ยังไม่ถูกมองว่าเป็นนักปรุงโอสถฝึกหัดเสียด้วยซ้ำ
ด้วยทักษะที่ยังมีไม่ถึง โอกาสจะได้เข้าร่วมแข่งขันหลอมโอสถครั้งนี้จึงเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันและเวลาในอนาคตเท่านั้น ซึ่งมิใช่ว่านางไม่สำเหนียกต่อความสามารถตนตอนนี้แต่อย่างใด เพียงไม่นึกว่าจะโดนหยางเสี่ยวเทียนขยี้หัวใจอันบอบบางของนาง แม้นเขากล่าวมิผิด แต่มันก็โหดร้ายนัก
พูดจบหยางเสี่ยวเทียนก็สืบเท้าเดินไป โดยเพิกเฉยต่อเฉิงเป้ยเป้ยผู้มีใบหน้าแดงก่ำขณะกระทืบเท้าไม่สบอารมณ์อยู่กับที่เพราะฉุนเฉียว จนเขาเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของหอคัมภีร์ เพื่อค้นหาคัมภีร์วรยุทธอย่างไม่แยแสหรือรอว่านางจะเอ่ยปากว่าอะไรเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นหยางเสี่ยวเทียนไม่สนใจ เฉิงเป้ยเป้ยจึงตะคอกตามหลังเขาทันที
“หยางเสี่ยวเทียน เจ้าอย่าได้ใจให้มันมากนัก ก็แค่ฝึกฝนวรยุทธทั้งสามจนบรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทาน หาใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไรไม่ ถึงอย่างไร เจ้าก็เทียบซูหลี่ไม่ได้แม้หนึ่งในหมื่น!”
“ซูหลี่เป็นบุตรชายของป้าข้า”
“พรุ่งนี้ ข้าจะให้เขาสั่งสอนเจ้า! ทุบตีเจ้าเหมือนหมู เจ้าได้ยินหรือไม่หยางเสี่ยวเทียน!”
แม้เสียงหวีดแหลมของนางจะดังสะท้านไปทั้งหอคัมภีร์ แต่หาได้ทำให้หยางเสี่ยวเทียนสนใจไม่ เขายังคงทำทีราวไม่ได้ยินเสียงนั้น และเดินหันหน้าเข้าหาชั้นคัมภีร์เคล็ดวิชาเล่มใหม่โดยไม่หันกลับมามองนางแม้เพียงหางตา ปานน้ำเสียงนั้นมิต่างจากลมพัดผ่านภูเขา
สีหน้าเฉิงเป้ยเป้ยเปลี่ยนเป็นม่วงด้วยโกรธมากขึ้น เมื่อไม่เห็นสัญญาณโต้กลับของหยางเสี่ยวเทียน ริมฝีปากบางพลางขบเม้มแน่น มือเล็กเรียวนั้นก็พลันกำจิกจวนถึงเนื้อ และยังจับจ้องแผ่นหลังหยางเสี่ยวเทียนบนชั้นสองอย่างแค้นเคือง
ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรก ครั้งแรกที่กล้ามีคนเมินเฉยต่อนางเช่นนี้
หูซิงเห็นร่างเล็กที่ยืนแข็งเกร็งเช่นนั้น ก็กล่าวกับเฉิงเป้ยเป้ยว่า “ไยต้องให้ความสำคัญกับเขาถึงเพียงนั้น มันเป็นแค่ผู้มีวิญญาณยุทธ์ขยะ ไม่ต้องลดตัวไปโต้เถียงหรือใส่ใจคนพรรค์นั้นหรอก”
ได้ยินหูซิงพูดเช่นนั้น นางก็ทิ้งตัวนั่งลงในกิริยากระฟัดกระเฟียดด้วยอารมณ์ยังมิคลายเดือดดาล จนกระทั่งหยางเสี่ยวเทียนเดินลงมา นางก็ยังมิปริปากแม้จะมีคำพูดมากมายอันแน่นรออยู่ในลำคอ และทำได้แค่จ้องมองเขาเดินผ่านไป
หลังหยางเสี่ยวเทียนลงทะเบียนยืมเคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์ชั้นยอดเสร็จ เขาก็กรายตัวออกไปขณะหยิบคัมภีร์ขึ้นมาอ่านอย่างใจเย็น โดยลืมไปเลยว่ายังมีคนเหล่านั้นถมึงตาจ้องมองอยู่