บทที่ 82 ประเพณีระหว่างศิษย์สองสำนัก
ครั้นหยางเสี่ยวเทียนกลับถึงจวน เขาก็รีบปรี่ไปยังลานฝึกยุทธ์แล้วเริ่มฝึกฝนเพลงหมัดโลหิตมังกรทันที
แม้เพลงหมัดโลหิตมังกรจะฝึกฝนยากสุดในบรรดาคัมภีร์วรยุทธขั้นเซียนสวรรค์ชั้นยอด แต่หยางเสี่ยวเทียนก็สามารถจดจำการเปลี่ยนแปลงของแต่ละกระบวนท่าทั้งหมด หลังอ่านจบไปเพียงครั้งเดียว
ด้วยวิธีนี้ ในวันต่อๆ มาหยางเสี่ยวเทียนก็จะหมั่นฝึกฝนวรยุทธขั้นเซียนสวรรค์ชั้นยอดทุกเช้า ขณะช่วงบ่ายกลับมานั่งหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการในห้อง และตกตอนเย็นเข้าฌานบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่ม
สิบวันผ่านไปชั่วพริบตา
แสงแดดจัดจ้านยามบ่าย
ดวงตาหยางเสี่ยวเทียนเปล่งประกายด้วยรู้สึกประหลาดใจยิ่ง เมื่อเห็นเม็ดสีแดงใสบริสุทธิ์ไร้ร่องรอยสิ่งสกปรกของโอสถวิญญาณสี่ประการตรงหน้า กลิ่นหอมจากมันช่างเย้ายวนอย่างมีเสน่ห์
หลังมุ่งมั่นฝึกฝนหลอมอย่างหนักนับสิบวัน ในที่สุด ข้าก็หลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์ได้สมบูรณ์
หยางเสี่ยวเทียน ถือโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์ไว้ในฝ่ามืออย่างระมัดระวัง ความตื่นเต้นปรากฏขึ้นบนใบหน้ามิอาจปกปิดได้
ด้วยพลังของโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์เม็ดนี้ ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นทวีอย่างท่วมท้นและรวดเร็วเป็นแน่
ใจเขาร้อนรุ่มไปด้วยความกระหายอยาก ร่างขยับรีบปรี่ไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงหยกเย็น เพราะทนรอที่จะกลืนโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์ไม่ไหว ไม่ช้าเขาก็ใส่มันเข้าปากทันที
ทันใดนั้น พลังวิญญาณอันอบอุ่นก็เริ่มแผ่ขยายไปทั้วกายภายใน ฤทธิ์จากโอสถซึมซาบไปอย่างรวดเร็วแลเพิ่มขึ้นมหาศาล หลังจากไม่ได้สัมผัสมันมาเนิ่นนานพาลให้หัวใจเขาสำราญนัก
วันรุ่งขึ้น เมื่อหยางเสี่ยวเทียนขัดเกลาพลังจากการกลืนโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์เสร็จ พลังยุทธ์เขาก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ระดับสี่ขั้นปลายได้สำเร็จ
ยามนี้ หยางเสี่ยวเทียนเผยยิ้มกับตนเองอย่างปิติ หลังลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าพลังยุทธ์ตน ทะลวงเข้าสู่จุดสูงสุดของระดับสี่ขั้นเซียนสวรรค์
โอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์นั้น ช่างมีพลังสมคำล่ำลือ
หาไม่แล้ว หากเขาฝึกฝนตามปกติ ก็อาจต้องบ่มเพาะพลังอย่างหนัก ไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือนจึงจะมีพลังเพิ่มได้ขนาดนี้
จากนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็ไม่ได้ไปยังหอคัมภีร์ของสำนักเสินเจี้ยนเพื่อยืมคัมภีร์เล่มอื่นใดๆ ในวันนี้ แต่ยังคงหันกลับมานั่งหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์ต่อไป
เขาเพียรพยายามไม่หยุดยั้งเป็นเวลาหลายชั่วยาม จนที่สุดโอสถวิญญาณสี่ประการอีกสามเม็ดก็ถูกหลอมขึ้นมาอย่างสมบูรณ์
หยางเสี่ยวเทียนเร่งเรียกหาหลัวชิง อัต และอาลี่ ให้มาพบเขายังเรือนหลักทันที
ไม่ช้า ทั้งสามก็มาถึงเรือนหลักของหยางเสี่ยวเทียน ซึ่งทันทีที่พวกเข้าเดินเข้ามาถึงด้านใน ทั้งสามก็ได้กลิ่นหอมอบอวลอันมีเสน่ห์ของโอสถส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่ว
หัวใจหลัวชิงเต้นระรัว หลังได้เห็นโอสถในมือหยางเสี่ยวเทียน
“นี่ นี่คือโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์!” เขาเปิดปากโพล่งออกมาขณะทั้งร่างสั่นไหว
ในฐานะอดีตเจ้าสำนัก เขาจึงคุ้นเคยกับโอสถใช่น้อย ครานี้ได้เห็นโอสถในมือหยางเสี่ยวเทียน เลยแจ่มแจ้งอย่างรวดเร็วว่ามันคือโอสถชนิดใด ระดับไหน
เพราะรู้ว่ามันคือโอสถอะไร แล้วใครเป็นผู้หลอม ทั้งยังอายุของผู้หลอมมันอีก จะไม่ให้เขาอุทานอย่างตกใจได้อย่างไร
แม้อาณาจักรเทียนโต้วจะมีนักปรุงโอสถจำนวนมาก แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์ได้
สำมะหาอะไรกับอาณาจักรเสินไห่ที่มีนักปรุงโอสถแทบนับจำนวนคนได้ บางทีอาจมีเพียงนักปรุงโอสถผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่เท่านั้น ที่สามารถหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์ได้
แต่ต่อหน้าเขา หยางเสี่ยวเทียนได้หลอมมันสำเร็จ ทั้งที่อายุยังน้อยกว่านักปรุงโอสถผู้อุทิศทั้งชีวิตหลายพันคนเหล่านั้น กลับไม่สามารถทำเช่นเขาได้ด้วยซ้ำ
ในช่วงหลายวันมานี้ เขารู้ดีเสมอว่าหยางเสี่ยวเทียนหมั่นฝึกฝนหลอมโอสถอย่างหนักทุกยามเว่ย (ช่วงบ่าย) แต่เขาไม่คิดว่าระดับการหลอมโอสถของหยางเสี่ยวเทียนจะก้าวหน้าได้รวดเร็วขนาดนี้
แม้อัตและอาลี่จะไม่มีความรู้เกี่ยวกับโอสถมากนัก แต่พวกเขาก็เคยได้ยินเรื่องการหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการมาบ้าง และรู้ด้วยว่าการหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการนั้นยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด
ดังนั้น ทั้งสองจึงรู้สึกประหลาดใจมิด้อยไปกว่าหลัวชิงขณะนี้
หยางเสี่ยวเทียนยิ้มให้หลัวชิงและคนอื่นๆ แล้วกล่าวทันที “ใช่แล้ว มันคือโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์ ข้าจะมอบมันให้พวกเจ้าใช้ฝึกฝนเพื่อทะลวงระดับพลังยุทธ์”
หลังพูดอย่างนั้น เขาก็มอบโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์สามเม็ด ให้ทั้งสามคนตามลำดับ
ทั้งสามเบิกตามองหน้าหยางเสี่ยวเทียน แทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่
“นายท่าน ท่านจะให้พวกเราใช้มันฝึกฝนจริงงั้นหรือ” อัตถามย้ำเสียงดังอีกครั้ง
หยางเสี่ยวเทียนโบกมือสบายๆ ราวโอสถนี้หลอมออกมาง่ายๆ “ข้ากลืนมันเมื่อคืนนี้ เจ้าไม่ต้องกังวลไป หากข้าต้องการมันเมื่อไหร่ ข้าจะหลอมมันกี่ครั้งก็ย่อมได้”
เมื่อเห็นหยางเสี่ยวเทียนบอกปัดไปแบบนั้น หลัวชิงพร้อมทั้งสองต่างไม่รู้จะว่ากล่าวอะไรต่อ ทำได้เพียงมองหน้ากันไปมาอย่างไม่สบายใจ
เพราะทั้งสามรู้ดีว่าโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์นั้น มีราคาอย่างต่ำก็สองหมื่นเหรียญทองซึ่งนับว่าแพงใช่น้อย
ย้ำว่า นั่นคือราคาอย่างต่ำที่สุด หากนำไปขายให้ทางสมาคมการค้า ย่อมได้ราคาสูงกว่านี้แน่นอน
“ขอบคุณนายน้อย” หลัวชิงสูดหายใจลึกแล้วก้มคำนับขอบคุณหยางเสี่ยวเทียน
เขาจับจ้องมองดูเด็กน้อยเบื้องหน้า ในใจพลางรู้สึกว่าเขาโชคดีแค่ไหนที่ได้พบกับหยางเสี่ยวเทียน หากไม่พบกันในวันนั้น ไฉนเลยเขาจะมีวันนี้ได้
หลังทั้งสามรับโอสถจากเขาแล้ว พวกเขาก็ต่างแยกย้ายกันกลับไปยังเรือนพักของตนเพื่อกลืนมันและเริ่มบ่มเพาะพลัง
รุ่งสาง ดวงอาทิตย์ยามเช้าเริ่มสองแสงรำไรลอดผ่านพงไพรฉายต้องจวนหลัก พอได้มองจากระยะไกล มันช่างงดงามแลดูยิ่งใหญ่นัก
หยางเสี่ยวเทียนกลับไปที่หอคัมภีร์ของสำนักเสินเจี้ยน เพื่อยืมคัมภีร์วรยุทธเล่มใหม่
ซึ่งทันทีที่เขามาถึงสำนัก หยางเสี่ยวเทียนก็พลันได้ยินบรรดาศิษย์พูดถึง ศิษย์ใหม่จากสำนักเสินไห่จะมาเยี่ยมเยือนยังสำนักเสินเจี้ยนในวันพรุ่งนี้ เพื่อประลองแลกเปลี่ยนความรู้กัน
สำนักเสินไห่ เป็นหนึ่งในสี่สำนักหลักแห่งอาณาจักรเสินไห่ มีชื่อเสียงเป็นรองจากสำนักเสินเจี้ยนเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
และโดยทั่วไป สำนักเสินไห่มักจะรับเฉพาะลูกหลานขุนนางและบรรดาราชวงศ์ รวมถึงผู้มีอำนาจมากมายในอาณาจักรเป็นศิษย์
จักรพรรดิทุกพระองค์ของอาณาจักรเสินไห่ ล้วนสำเร็จการศึกษาจากสำนักเสินไห่ทั้งนั้น
ซึ่งสำนักเสินเจี้ยนและสำนักเสินไห่ จะมีประเพณีตอนรับศิษย์ใหม่ โดยนำศิษย์จากทั้งสองสถาบันมาร่วมประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้กันและกันทุกปี
“พรุ่งนี้หรือ”
หยางเสี่ยวเทียนรู้สึกฉงนใจ ด้วยปีก่อนหน้า การประลองฝีมือของศิษย์ใหม่ระหว่างสำนักเสินไห่ และสำนักเสินเจี้ยน ดูเหมือนจะจัดขึ้นในช่วงกลางภาคเรียนของทุกปีเท่านั้น แต่เหตุใดปีนี้ถึงได้มาเร็วกว่าปกติ