[ตอนฟรี] ตอนที่ 190 : นิมิตของกายาราชัน
จวินเซียวเหยาซัดกำปั้นเปล่าๆ ออกไปโดยไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะด้วยซ้ำ แค่แรงหมัด 3,700 ล้านจินที่ปะทุออกมา มันก็น่าสะพรึงกลัวกว่าทักษะระดับสูงเป็นไหนๆ แล้ว
กฎแห่งสวรรค์และปฐพีในดินแดนเบื้องล่างไม่อาจรับมือกับพลังมหาศาลขนาดนี้ได้ ส่งผลให้พื้นที่มิติเริ่มพังทลายลงอย่างช้าๆ
สีหน้าของจ้าวดาราอู๋จี๋ดูมืดมนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาเตรียมการมานานแสนนานกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ย่อมไม่อยากให้ความพยายามที่ผ่านมาสูญเปล่า
“ฝ่ามือประทับจักรวาล!”
จ้าวดาราอู๋จี๋ลงมืออีกรอบ เขาฟาดฝ่ามือออกไป มันก่อตัวเป็นจักรวาลอันวุ่นวายและเข้าปะทะกับพลังหมัดของจวินเซียวเหยา
ปัง!
ตามมาด้วยเสียงดังกึกก้องราวกับฟ้าผ่าลงดิน และคลื่นกระแทกอันรุนแรงที่แผ่ขยายออกไปทุกทิศทาง
ท่ามกลางการปะทะกันอย่างรุนแรง กลับเป็นฝ่ายจ้าวดาราอู๋จี๋ที่ถูกบังคับให้ถอยหลัง
แขนของเขาเลือดไหลอาบ แม้แต่กระดูกสีขาวโพลนก็แทงออกมาให้เห็น
ทว่าจ้าวดาราอู๋จี๋กลับไม่แสดงออกถึงความเจ็บปวด ราวกับว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ร่างกายของเขา
มีเพียงความตกตะลึงและความสิ้นหวังอยู่ในแววตาของจ้าวดาราอู๋จี๋
สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงคือ พลังของจวินเซียวเหยามันเกินความคาดหมายของเขาไปมาก
และสิ่งที่ทำให้เขาสิ้นหวังก็คือ จ้าวดาราอู๋จี๋ผู้ยิ่งใหญ่จะต้องมาถูกจำกัดพลังเพราะร่างกายของตัวเอง ทำให้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาไม่ได้
ร่างกายของเย่ซิงหยุนคือกายาราชันแห่งดวงดาว ซึ่งถือว่าเป็นร่างกายที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว
แต่เมื่อเทียบกับกายาเทพบรรพกาลของจวินเซียวเหยา มันเทียบกันไม่ติดเลย
จ้าวดาราอู๋จี๋ได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ และงัดท่าไม้ตายออกมาใช้
เขารู้ดีว่าถ้ายังไม่ยอมใช้พลังทั้งหมด มันมีโอกาสสูงมากที่เขาจะแพ้
ทั่วทั้งร่างของจ้าวดาราอู๋จี๋เริ่มปกคลุมไปด้วยแสงแห่งดวงดาวระยิบระยับ
จุดแสงนับไม่ถ้วนผุดออกมาจากภายในร่างกายของเขา ย้อมทั้งตัวจนเหมือนแผนภูมิดวงดาว
นี่คือนิมิตของกายาราชันแห่งดวงดาว
สี่ชั้นฟ้าดาราสวรรค์!
ท้องฟ้าชั้นแล้วชั้นเล่ากดทับลงมา ราวกับว่าพลังแห่งดวงดาวทั้งหมดในจักรวาลได้มารวมตัวกัน
ความผันผวนจากคลื่นพลังนั้นรุนแรงสุดขีด ถึงขนาดที่ทำให้อี้ยวี่และราชสีห์เก้าเศียรสัมผัสได้ถึงอันตราย
ตัวของเย่ซิงหยุนยังไม่เคยใช้นิมิตของกายาราชันแห่งดวงดาวมาก่อน
แต่สำหรับจ้าวดาราอู๋จี๋ที่เคยครอบครองกายาเทพแห่งดวงดาวมาก่อน ย่อมสามารถใช้มันได้อย่างราบรื่น
“นี่เหรอ นิมิตของกายาราชัน?”
จวินเซียวเหยามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่กำลังกดทับลงมา สีหน้าของเขายังคงนิ่งเฉยดังเดิม
ทันใดนั้น จวินเซียวเหยาก็เหยียบอากาศขึ้นไป
แสงสีทองศักดิ์สิทธิ์แผ่ขยายออกมาราวกับคลื่นยักษ์ พร้อมกับร่างเงาของเซียนที่ปรากฏในบริเวณรอบๆ
นิมิตของกายาเทพบรรพกาล การแสวงบุญของเหล่าเทพเซียน!
ทันทีที่นิมิตของกายาเทพบรรพกาลถูกปลดปล่อย แรงกดดันอันยิ่งใหญ่ก็แผ่ออกมาและปะทะเข้ากับสี่ชั้นฟ้าดาราสวรรค์ของจ้าวดาราอู๋จี๋
การปะทะกันของนิมิตทั้งสองถึงกับทำให้ทั่วทั้งพระราชวังสั่นสะเทือน
และเป็นอีกครั้งที่จ้าวดาราอู๋จี๋ต้องถอยหลัง
หากกายาราชันแห่งดวงดาวยกระดับเป็นกายาเทพแห่งดวงดาว เป็นธรรมดาที่เขาจะสามารถต้านทานนิมิตกายาเทพของจวินเซียวเหยาได้
แต่ตอนนี้ นิมิตของกายาราชันจะสู้กับนิมิตของกายาเทพได้อย่างไร
เมื่อเห็นว่าจวินเซียวเหยากลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกครั้ง อี้ยวี่และราชสีห์เก้าเศียรก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
เจ้านายที่พวกเขาติดตามไร้เทียมทานสุดๆ
ส่วนอีกด้านหนึ่ง โม่ฝานตะลึงงันเป็นที่เรียบร้อย
เขานึกไม่ถึงเลยว่าแม้แต่จ้าวดาราอู๋จี๋ก็ไม่อาจจัดการจวินเซียวเหยาได้
“อัจฉริยะถือกำเนิดในทุกยุคทุกสมัย พวกเขาแต่ละคนล้วนรุ่งเรืองและเฉิดฉายในช่วงเวลาของตน”
“ส่วนเจ้า จ้าวดาราอู๋จี๋ ยุคสมัยของเจ้ามันจบสิ้นไปแล้ว!”
จวินเซียวเหยาพูดพลางก้าวเดินอยู่บนอากาศ
เขาชกหมัดออกไปพร้อมกับกลิ่นอายแห่งการเวียนว่ายตายเกิด มันคือทักษะหมัดต้องห้าม หมัดหมุนเวียนหกภพ
กระแสน้ำวนแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอันน่ากลัวปรากฏขึ้นพร้อมกับแสงหมัด ราวกับจะฉุดกระชากเนื้อหนังมังสาและวิญญาณของมนุษย์เข้าไปและบดขยี้ให้สิ้นซาก
สีหน้าของจ้าวดาราอู๋จี๋เปลี่ยนไปในที่สุด
ทักษะหมัดนี้ทำให้เขารู้สึกถึงหายนะสุดขีด ราวกับจะถูกดึงเข้าไปในวัฏสงสารและถูกทำลายในที่สุด
แคร่ก!
จ้าวดาราอู๋จี๋ถูกหมัดนี้ซัดเข้าเต็มที่จนร่างกายแตกหักและเลือดสาดกระจาย
กายาราชันแห่งดวงดาวไม่สามารถต้านทานหมัดของจวินเซียวเหยาได้เลย
ไม่เพียงเท่านี้ บนหน้าอกของจวินเซียวเหยายังเรืองแสงออกมาในเวลาเดียวกัน จากนั้นแสงแห่งสังสารวัฏสีดำและขาวก็สว่างขึ้นมา
ทันทีที่แสงสีดำกวาดผ่าน ร่างกายของเย่ซิงหยุนก็เริ่มแก่ชราอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าแก่นแท้พลังชีวิตกำลังถูกดูดออกไป
“สุดยอดกระดูก!” จ้าวดาราอู๋จี๋อดไม่ได้ที่จะคำรามออกมา
กายาเทพบรรพกาลผสานกับสุดยอดกระดูก มันได้ให้กำเนิดร่างกายที่น่าทึ่งที่สุดแล้ว
ไม่ว่าจ้าวดาราอู๋จี๋จะแข็งแกร่งและมีประสบการณ์มากมายแค่ไหน แต่ยังไงเขาก็ไม่สามารถปลดปล่อยพลังเต็มที่ของร่างกายของเย่ซิงหยุนได้อยู่ดี
ดังสำนวนที่ว่า แม้แต่สตรีที่ฉลาดและมีความสามารถก็ไม่สามารถทำอาหารได้หากไม่มีข้าว
ด้วยรากฐานร่างกายของเย่ซิงหยุน จ้าวดาราอู๋จี๋จึงมีแต่กำลังใจ ไม่มีกำลังกาย
“บัดซบ ร่างของไอ้หนุ่มเย่ซิงหยุนนี่มันห่วยแตกจริงๆ” จ้าวดาราอู๋จี๋สบถอยู่ในใจ
ถ้าวิญญาณของเย่ซิงหยุนบนสวรรค์ได้ยินเข้า สงสัยว่าเขาคงจะโกรธจนเทพแถวนั้นต้องหนีไปเกิด ไม่ก็หนีขึ้นสวรรค์ชั้นอื่นกระมัง
ไอ้สันขวาน แย่งร่างข้าไปไม่พอ ยังมีหน้ามาบ่นว่าร่างของข้าห่วยแตกอีกเหรอ?
“ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้...” แววตาของจ้าวดาราอู๋จี๋เปลี่ยนไป
เขามองไปที่จวินเซียวเหยา จากนั้นความคิดก่อนหน้าก็ค่อยๆ มั่นคงมากขึ้น
ร่างกายของจวินเซียวเหยาสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว
มีเพียงการยึดครองร่างกายของจวินเซียวเหยาเท่านั้น เขาถึงจะมีโอกาสเปิดเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
“จ้าวดาราอู๋จี๋เอ๋ย จากเถ้าสู่เถ้า จากธุลีสู่ธุลี อย่าได้ใฝ่หาชีวิตที่สองเลย จงพักผ่อนให้สงบเถิด”
จวินเซียวเหยาจ้องมองด้วยสายตาอันเย็นชา ดั่งเทพผู้ไร้ความปรานี
เขาถือดาบกาลเวลาผานหวางและแทงเข้าที่หว่างคิ้วของจ้าวดาราอู๋จี๋ หวังทำลายวิหารศักดิ์สิทธิ์
แต่ทันใดนั้น แสงดาวจุดหนึ่งก็พุ่งออกมาจากคิ้วของเขาและมุ่งตรงไปที่หว่างคิ้วของจวินเซียวเหยา
“นายท่าน!”
“เจ้านาย!”
ใบหน้าของอี้ยวี่และราชสีห์เก้าเศียรเปลี่ยนไป
ในขณะเดียวกัน ภายในวิหารศักดิ์สิทธิ์ของจวินเซียวเหยา
วิญญาณของจ้าวดาราอู๋จี๋ปรากฏขึ้น
เขามีทักษะวิญญาณหวนคืนอยู่ ซึ่งยอดเยี่ยมในการยึดครองร่างคนอื่นมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม เมื่อจ้าวดาราอู๋จี๋มาถึงวิหารศักดิ์สิทธิ์ของจวินเซียวเหยา เขากลับรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“นี่...นี่มัน...” ดวงตาของจ้าวดาราอู๋จี๋เบิกกว้าง
ตามหลักแล้ว จิตของเขานั้นแข็งแกร่งมาก แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแสดงท่าทางแบบนี้ออกมา
แต่ตอนนี้ จ้าวดาราอู๋จี๋รู้สึกตกตะลึงอย่างแท้จริง
สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเขาคือวิหารศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่และโอ่อ่าอย่างถึงที่สุด
ทั่วทั้งวิหารศักดิ์สิทธิ์ราวกับเป็นพระราชวังแห่งสรวงสวรรค์ อบอวลไปด้วยจิตวิญญาณอมตะ
พลังวิญญาณรอบๆ ตัวเขาถึงกับควบแน่นกลายเป็นของเหลวที่ไหลบ่าอย่างรุนแรง
“นี่มัน...วิหารศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์คนหนึ่งงั้นเหรอ?” จ้าวดาราอู๋จี๋รู้สึกโง่งมโดยสมบูรณ์ กระทั่งสงสัยในชีวิตของตัวเอง
ก่อนหน้านี้ที่เขายึดร่างของเย่ซิงหยุน วิหารศักดิ์สิทธิ์ของเย่ซิงหยุนมีขนาดแค่บ้านหลังหนึ่งเท่านั้น
ถ้าจะเทียบให้เห็นภาพ วิหารศักดิ์สิทธิ์ของเย่ซิงหยุนก็เหมือนกับกระท่อมมุงจาก
ส่วนวิหารศักดิ์สิทธิ์ของจวินเซียวเหยาก็คือวิมานบนสรวงสวรรค์ที่เหล่าเทพเจ้าอาศัยอยู่!
ระหว่างทั้งสองไม่มีทางเปรียบเทียบได้เลย
“มันเป็นไปได้ยังไง คนที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานจะมีวิหารศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ได้ยังไง?” จ้าวดาราอู๋จี๋แทบคลั่ง!
ต่อให้บ่มเพาะพลังวิญญาณตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่ มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้วิหารศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ขนาดนี้
เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่รู้ว่าจวินเซียวเหยาบ่มเพาะพลังวิญญาณด้วยวิถีเทพเกลาวิญญาณตั้งแต่อายุสามขวบ แถมไม่เคยหยุดพักแม้แต่วันเดียว
ซึ่งวิหารศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่แห่งนี้ก็คือผลลัพธ์ของจวินเซียวเหยานั่นเอง
“จ้าวดาราอู๋จี๋ ข้าควรจะพูดว่าเจ้าฉลาดหลักแหลมหรือโง่เขลาที่คิดจะยึดร่างของข้าดี?”
ภายในวิหารศักดิ์สิทธิ์ จิตวิญญาณที่แท้จริงของจวินเซียวเหยาปรากฏขึ้น ร่างของเขาเปล่งประกายเจิดจ้าราวกับเทพเจ้า
“ฮึ จริงอยู่ที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าอยู่เหนือความคาดหมายของข้า แต่โชคดีจริงๆ ที่ทุกอย่างกำลังจะกลายเป็นของของข้า!”
จ้าวดาราอู๋จี๋ยกมือขึ้น เตรียมพร้อมที่จะลบล้างจิตวิญญาณที่แท้จริงของจวินเซียวเหยา
“เจ้าคนโง่เขลา...” จวินเซียวเหยายิ้มเย้ยหยัน
เขาดีดนิ้วเพียงครั้งเดียว
ทันใดนั้น ท่ามกลางเมฆหมอกบนท้องฟ้า เงาดำขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นทันที
ตามมาด้วยแรงกดดันทางวิญญาณ
“นี่...นี่คือ...”
จิตวิญญาณของจ้าวดาราอู๋จี๋สั่นสะท้านและรู้สึกหวาดกลัวสุดขีดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน!