บทที่ 24 การเปลี่ยนแปลง (1)
บทที่ 24 การเปลี่ยนแปลง (1)
[แฟนเพจBamแปลNiyay:ลงแบบราคาถูกโคตรในmy-novelกับthai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นนอกจากสองเว็บนี้คือไม่ใช่ผมนะ ถ้าเจอคนอ่านก็อปดันเยอะกว่าก็ท้อเป็นนะครับ]
[ถ้าอ่านฟรีแบบเถื่อนไม่ว่าจะได้มายังไงนั้น ผมไม่ว่าเลยครับ และต่อให้ไม่มีคนอ่าน ผมก็ยังจะแปลต่อจนจบด้วย แต่ถ้าจะจ่ายเงินให้เว็บที่copyไปขายอีกที คุณมึงแม่งโคตรโง่เลยครับ]
“เรียนรู้ด้วยตัวเอง…จริงเหรอ?? ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย?”
หญิงสาวจากทีมงานเบื้องหลังยังคงยึดติดกับความหวัง คิดว่ามันคงเป็นแค่เรื่องตลกเพื่อคลายความตึงเครียดในห้องโถงอ่านบทละคร ทว่าคำตอบของคังวูจินนั้นกลับหนักแน่นและเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ใช่ ผมเรียนรู้ด้วยตัวเอง”
“จริงเหรอ? จริงเหรอคะ?”
"ใช่ จริง ๆ ครับ"
ผ่านไปครู่หนึ่ง หญิงสาวจากทีมเบื้องหลังก็ใช้มือข้างหนึ่งปิดปากของเธอ เป็นเพราะเธอประหลาดใจ เธอไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะได้ยินคำว่า ‘เรียนรู้ด้วยตนเอง’ สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นเช่นเดียวกับคนอีกหลายสิบคนที่เหลืออยู่ในห้องโถง
เหล่าพนักงานสายบันเทิง ทีมงานฝ่ายผลิต และผู้สื่อข่าวต่างก็เริ่มบ่นพึมพําออกมาจนได้ยิน
"เขาเพิ่งพูดอะไรออกมานะ?"
"เรียนรู้ด้วยตนเอง? เขาเรียนรู้การแสดงโดยการศึกษาด้วยตนเองเหรอ?"
“เป็นไปได้ด้วยเหรอ?เขาต้องล้อเล่นแหง เราเองก็เคยเห็นการแสดงของเขามาแล้วไม่ใช่งั้นเหรอ? นั่นมันไม่ใช่ฝีมือที่ได้จากการฝึกเองหรอกนะ”
"แต่สีหน้าของเขาจริงจังมากเลยนะ?"
แน่นอนว่าสถานการณ์ที่คล้ายกันนี้ก็เกิดขึ้นกับเหล่านักแสดง รวมถึงรยูจองมิน
ในความคิดของเขา...
‘เรียนรู้ด้วยตนเอง? เป็นไปไม่ได้น่า เรียนรู้ด้วยตนเองเนี่ยนะ???'
รยูจองมิน นักแสดงนําชายของ 'ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล' ดูตกใจอย่างที่สุด ยิ่งหลังจากได้เห็นการแสดงที่บ้าคลั่งของคังวูจิน นักแสดงรุ่นเก๋าที่นั่งอยู่รอบตัวเขาก็ดูแข็งทื่อเช่นกัน นักแสดงทุกคนต่างรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
ยกเว้นคนเดียว
ฟุบ!
ฮงฮเยยอนเป็นคนเดียวที่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ท่ามกลางนักแสดงหลายสิบคน เธอเป็นคนเดียวที่ดูเฉยเมย เพราะเธอรู้อยู่แล้ว
‘ทุกคนคงตกใจกันสินะ ก็เข้าใจได้ กระทั่งฉันเองที่รู้อยู่แล้วยังทึ่งเลย’
นอกจากเธอแล้ว PDซงมันวูและนักเขียนพัคอึนมี ผู้ซึ่งนั่งเคียงข้างกันที่โต๊ะรูปตัว ᄆเพียงแค่สังเกตสถานการณ์โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
บรรยากาศในห้องโถงขนาดใหญ่ตึงเครียดถึงขีดสุด
คําว่า 'เรียนรู้ด้วยตนเอง' ที่คังวูจินพูดเป็นเพียงคําเดียว ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและการตีความคลาดเคลื่อนมากมายกำลังแพร่กระจายไปทั่ว การจะอธิบายทีละอย่างคงเป็นไปไม่ได้
ตอนนี้ตัวเอกของเรื่องอย่างคังวูจิน ผู้จุดประกายทั้งหมดนี้กำลังคิดในใจอยู่
'ใจเย็น ๆ ไว้คังวูจินเอ๋ย'
เขาพยายามทำหน้านิ่งที่สุด เพื่อสร้างบรรยากาศที่เข้ากับคําว่า 'เรียนรู้ด้วยตนเอง' ที่ซึ่งเขาคิดจะใช้มันเพื่อจุดประสงค์ในการทําให้ดูเท่
'ควบคุมสีหน้า ต้องควบคุมสีหน้าไว้'
แม้ตอนแรกมันอาจจะเป็นแค่การสร้างภาพ เบี่ยงเบนความสนใจเพื่อกลบเกลื่อนความอายของเขา แต่ตอนนี้คำว่า 'การเรียนรู้ด้วยตนเอง' กลายเป็นภาพลักษณ์ประจำตัวของคังวูจินไปแล้ว ซึ่งทั้งPDซงมันวูกับนักเขียนบทพัคอึนมิต่างก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว
'มันอาจจะดูหยิ่งไปหน่อย แต่มันไม่สําคัญหรอก เพราะฉันดันพูดไปแล้วนี้สิ"
ความสม่ำเสมอเป็นสิ่งจําเป็นในการรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ คังวูจินคิดอย่างนั้น การกลับคำพูดไปมารังแต่จะทําให้เขาดูเป็นไอ้บื้อ ถึงเขาอาจจะติดกระดุมผิดตั้งแต่เริ่มต้น แต่มันจะทำอะไรได้กัน ดูสิว่าตอนนี้เขาดึงดันเรื่องนี้มาขนาดไหนแล้ว?
ยิ่งไปกว่านั้น
'มันก็ไม่ใช่เรื่องโกหกไม่ใช่เหรอ? ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนโกหก แต่ฉันเรียนรู้ด้วยตนเองจริง ๆ นะ เพราะงั้นคงไม่เป็นไรหรอก'
ในอีกทางหนึ่ง คำพูดของคังวูจินไม่มีอะไรโกหกเลย ถึงมันจะเป็นแค่ช่วงเวลาที่สั้นมาก แต่เรื่องที่เขาฝึกด้วยตัวเองเป็นเรื่องจริง คังวูจินปลอบใจตัวเองอย่างต่อเนื่องด้วยความคิดนี้ อาจเพราะบริเวณห้องโถงแห่งนี้เต็มไปด้วยนักแสดงชั้นนํา การพูดกระชับสั้นอย่างตรงไปตรงมาย่อมดีกว่า
ทว่า....
'อ่า ฉันชักประหม่าแล้วสิ ฉันน่าจะต้องรีบหนีไปได้แล้ว'
สายตาที่จ้องมองของนักแสดงรุ่นเก๋าและนักแสดงใหม่คนอื่น ๆ นั้นเสียดแทงเกินไป มันเป็นภาระหนักอึ้งมากสำหรับคังวูจิน ผู้ชายที่เป็นเพียงคนธรรมดาดาษดื่น แถมการแบกภาพลักษณ์แบบนี้ต่อหน้าพวกเขามันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก เขาเหนื่อยเหลือเกินที่จะต้องทำท่าทางแบบนี้มากกว่าครึ่งวันแล้ว ดังนั้นวูจินจึงเลือกที่จะวิ่งหนีไปซะดีกว่า
ครืด
คังวูจินที่มีสีหน้านิ่งเฉยค่อย ๆ ลุกขึ้นจากที่นั่งและโค้งคํานับเล็กน้อยให้กับทีมงานที่อยู่ข้างหน้าเขา
"ผมขอโทษนะครับ ผมพูดไม่ค่อยเก่ง"
จากนั้น ทีมงานก็ตอบรับอย่างเก้อเขินและหลีกทางให้เขา ตอนนี้ในหัวของคังวูจินเต็มไปด้วยความคิดที่จะเดินตรงไปข้างหน้าเท่านั้น คนที่เหลืออยู่ในห้องโถงต่างเฝ้ามองเขาเดินออกไป
ในขณะนั้นเอง
"เฮ้ ฮงฮเยยอน"
รยูจองมิลุกขึ้นจากที่นั่ง เข้าหาฮงฮเยยอนและพูดนด้วยสีหน้าจริงจังว่า
"คุณรู้อยู่แล้วใช่ไหม? เพราะคังวูจินมากับคุณ"
ฮงฮเยยอน ผู้ซึ่งกําลังเตรียมตัวจะไปก็ปัดผมยาวของเธอวนไปมาและตอบว่า
“ใช่ ขอโทษด้วยนะคะ พอดีคุณPDขอฉันเอาไว้”
"คังวูจินคือใครกันครับ? เขามาจากสังกัดของคุณหรือเปล่า?"
"ไม่ใช่ค่ะ"
"คุณรู้ไหมว่าเขาเคยทําอะไรมาก่อน? ที่บอกว่าเรียนรู้ด้วยตนเองมันไม่สมเหตุสมผลเลยนะครับ"
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้สึกเหมือนจู่ ๆ เขาก็โผล่เข้ามาเลย ไว้ค่อยถามคุณPDตอนงานเลี้ยงอาหารเย็นอะไรทำนองนั้นดูสิคะ?"
เมื่อตอบคำถามอย่างชาญฉลาดแล้ว ฮงฮเยยอนก็หยิบบทละครขอแล้วเดินเข้าไปหาคุณชเวซองกุน ซีอีโอที่อยู่ใกล้ ๆ กัน เมื่อเธออยู่ห่างจากรยูจองมินพอสมควรแล้ว ชเวซองกุนก็กระซิบกับถามฮงฮเยยอนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
"เฮ้ ฮงฮเยยอน เรื่องที่ผู้ชายคนนั้นพูดก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ? ไอ้ที่บอกว่าเรียนรู้ด้วยตัวเองน่ะ"
"จริงสิค่ะ ถึงพี่จะใช้เส้นสายหาข้อมูลในแวดวงละครเวที พี่ก็คงหาอะไรไม่ได้หรอก การแสดงเป็นเพียงแค่งานอดิเรกของเขา เขายังเคยไปออกในรายการ 'สุดยอดนักแสดง' เล่น ๆ อีกต่างหากนะ"
"อะไรนะ... มันเป็นไปได้ยังไงกัน? การแสดงไม่ใช่แค่วิชาท่องจํานะ แล้วส่วนเรื่องที่ไปต่างประเทศล่ะ?"
"ฉันบอกพี่แล้วไงว่าอดีตของเขามันไม่ชัดเจน จำได้ไหม? มันคงไม่มีใครรู้อะไรเรื่องพวกนี้หรอก...เอาไว้คุยกันในห้องฉันดีกว่า"
ยามนั้นเอง ผู้คนทุกคนที่เหลืออยู่ในห้องโถงต่างก็พูดคุยกันอย่างคึกคักเกี่ยวกับเรื่องคังวูจิน
ในขณะเดียวกัน
คังวูจินเดินออกจากห้องโถงใหญ่ไปเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว ตอนนี้เขากำลังเดินลงไปตามทางเดิน สีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะมีทีมงานเดินผ่านไปมาหลายคน แต่เขาก็ไม่สามารถคลายความระมัดระวังลงได้ในสนามรบแห่งนี้ ความตึงเครียดที่สะสมอยู่จึงได้ทำให้ทุกย่างก้าวหนักอึ้ง
'อ่า - ฉันเหนื่อยแล้วนะ อยากจะรีบไปนอนพักที่ห้องสักที'
คังวูจินที่รักษาท่าทีของตัวเองมาตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้รู้สึกเหนื่อยมาก ร่างกายของเขารู้สึกคล้ายแบกน้ำหนักเป็นตัน ทั้ง ๆ ที่อยากกินเนื้อ แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเองควรจะรีบกลับไปนอนพักในห้องสักชั่วโมงก่อน
ขณะที่เขากําลังเดินข้ามล็อบบี้ชั้นหนึ่งไป
"คุณคังวูจินครับ"
มีคนเรียกคังวูจินจากด้านหลัง มันเป็นเสียงผู้ชาย เมื่อหันกลับไปมองเห็นชายร่างท้วมทักทายด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ
"สวัสดีครับ ผมประทับใจการแสดงของคุณในบทรองหัวหน้าพัคมากเลยครับ คุณเล่นได้สมบทบาทกว่าคนอื่นหมดเลย"
"ขอบคุณครับ"
คังวูจินตอบรับคำชมด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ในขณะที่พยายามนึกให้ออกว่าผู้ชายคนนี้คือใคร เขาจำหน้าคนไม่ได้เสียที เพราะมันมีผู้คนมากมายเหลือเกิน โชคดีที่ชายร่างอ้วนยื่นนามบัตรให้คังวูจิน
“ผมคิมนัมกู ผู้จัดการของบีเอชเอ็มเอ็นเตอร์เทนเมนท์ครับ”
อ๋อ เป็นคนจากบริษัทนายทุนบันเทิงสินะ วันนี้มีเจ้าหน้าที่ฝั่งบันเทิงมาร่วมการอ่านบทมากกว่านักแสดงถึงสองเท่าตัว จากนั้นผู้จัดการคิมนัมกูก็ยังคงพูดคุยด้วยรอยยิ้ม
“ผมสนใจคุณมากเลยนะครับ คุณคังวูจิน คุณมีสังกัดแล้วหรือเปล่าครับ?”
“ยังไม่มีครับ”
“โอ้! จริงเหรอครับ?!”
คังวูจินพยักหน้าอย่างเย็นชา แม้ภายในใจจะตื่นเต้นอยู่พอสมควร
'ว้าว- นี่มันแมวมองหรือนี่? เยี่ยมไปเลยแฮะ'
คิมนัมกู ผู้ที่ไม่รู้ว่าคังวูจินกำลังคิดอะไรในใจก็เกาะตัวเขาแจเลย
"ได้โปรดนะครับ! ช่วยติดต่อเราด้วย ผมอยากจะคุยกันยาว ๆ ที่บริษัทหลังจากการอ่านบทจบ คุณคังวูจิน คุณชวนให้น่าค้นหามากเลยจริง ๆ ทั้งบรรยากาศประหลาดนี้และฝีมือการแสดงสุดยอดของคุณเมื่อกี้”
“อ๋อ ครับ”
"ฮ่าฮ่า อย่างที่คุณรู้ บีเอชเอ็มเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ของเราน่ะ..."
ผู้จัดการร่างอ้วนยังคงคุยโวเกี่ยวกับบริษัทของเขาต่อไป ดูเหมือนจะเป็นบริษัทบันเทิงขนาดใหญ่ แน่นอนว่ามันเป็นแค่เรื่องน่าเบื่อสำหรับวูจินที่ไม่รู้จักตลาดนี้ดีนัก โชคดี ผู้จัดการได้สังเกตเห็นสีหน้าของอูจิน จึงรีบสรุปอธิบายออกไป
"ไว้คุยกันต่อที่บริษัทนะครับ ติดต่อเรามาได้เลยนะครับ กับคุณคังวูจิน เราพร้อมยื่นข้อเสนอที่พิเศษให้ทันที"
คังวูจินไม่รู้ความหมายของคำว่า 'พิเศษ' แต่ก็พยักหน้ารับขณะที่เก็บนามบัตรลงในกระเป๋า
"ครับ ผมจะพิจารณาดูครับ"
ทันทีที่พูดจบ คังวูจินก็เริ่มเดินอีกครั้ง เขาอยากจะกลับไปที่ห้องพักโดยเร็วที่สุด แต่พอคังวูจินมาถึงหน้าลิฟต์...
“คุณคังวูจิน!”
มีเสียงเรียก เขาหยุดอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นเสียงผู้หญิง
“คุณมีสังกัดหรือเปล่าคะ?!”
หลังจากนั้นอีกหลายสิบนาที
ปกติแล้วใช้เวลาเพียง 5 นาทีก็ถึง แต่กว่าคังวูจินจะถึงห้องตัวเองก็ปาไปเกือบ 30 นาทีผ่านไป ซึ่งทันทีที่เขาปิดประตูห้อง...
ตุ้บ!
คังวูจินทรุดตัวลงกับพื้น ขาเขาหมดแรง ร่างทรุดตัวลงกับพื้น
"เฮ้อ... ฉันต้องตายแน่ ๆ "
สถานที่ไม่คุ้นเคย ดาราดังที่ไม่รู้จัก คนแปลกหน้ากว่าร้อยคนที่เขาเห็นเป็นครั้งแรก ฯลฯ และการแสดงตั้งแต่เช้าจนเลยเที่ยง แรงกดดันสูงมาก และเขาก็ต้องรักษาสติไว้ให้ได้ในด้วย มันเหนื่อยมากจริง ๆ
จากนั้นเอง คังวูจินก็เอนหัวพิงประตูด้วยความรู้สึกว่างเปล่า
"······ฉันทำอะไรไปบ้างนะวันนี้?"
เขารู้สึกเหมือนผ่านสนามรบมา แต่พอหันกลับไปดู เขาก็นึกไม่ออกว่ามันผ่านไปแล้วกี่ชั่วโมง จากนั้นคังวูจินก็หยิบอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตของเขา
- ฉึบ ฉึบ
มีนามบัตรซ้อนกันหลายใบ คังวูจินวางนามบัตรเหล่านั้นไว้ตรงหน้าเขาอย่างไม่ใส่ใจ ดูเหมือนจะมีประมาณ 8 ใบ เขายังไม่ได้ดูมันด้วยซ้ำ เพราะทุกคนยื่นบัตรและอธิบายบางอย่างมา แต่เขาจำแทบไม่ได้เลย
“พวกเขาทั้งหมดมาจากบริษัทบันเทิงงั้นเหรอ? อ่า-จำได้ว่ามีหนึ่งใบมาจากทีมถ่ายทำด้วยแฮะ”
เขาไม่รู้อะไรแล้ว ตอนนี้คังวูจินแค่อยากจะนอนลงบนเตียง เขาต้องไปอาบน้ำ แต่สมองของเขาก็ต้องการพักผ่อนอย่างแรง ดังนั้นคังวูจินจึง
ตุ้บ!
เขาทิ้งร่างลงบนเตียง เขากำลังจะหลับ อ๊ะ ทำไม่ได้นะ ขณะที่เขากำลังจะหลับตา คังวูจินก็ตั้งนาฬิกาปลุกบนโทรศัพท์ของเขาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงต่อมา
ในไม่ช้า
“เฮ้อ เหนื่อยชะมัดยาก…”
คังวูจินหลับสนิท
ประมาณสองชั่วโมงต่อมา ประมาณ 19:00 น.
ที่ลานจอดรถกลางแจ้งด้านหลังของคอนโด1 งานปาร์ตี้บาร์บีคิวที่คึกคักกำลังดำเนินไปอย่างเต็มที่ในพื้นที่โล่งแจ้งขนาดใหญ่ แน่นอนว่ามันคือทีม 'ผู้เชี่ยวชาญนิติจิตวิทยาเสเพล' โต๊ะและเก้าอี้ชั่วคราวถูกจัดวางบนสนามหญ้าเทียม พร้อมอุปกรณ์สำหรับย่างเนื้อวัวและสามชั้นหมู ฯลฯ
มีผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดประมาณ 50%
รวมถึง PDซงมันวูพนักงานฝ่ายผลิตเกือบทั้งหมดเข้าร่วมด้วย ยกเว้นนักเขียนพัคอึนที่หายไปไหนไม่รู้ คนวงการบันเทิงจำนวนมากมารวมตัวกัน นักแสดงบางคนได้ออกจากคอนโดไปตามตารางเวลาหรือไม่ก็เลือกที่จะพักผ่อน ส่วนนักแสดงรุ่นใหญ่พวกเขาโผล่หน้ามาแค่ในตอนแรกเท่านั้น แล้วจึงไปอยู่ในห้องของพวกเขาเป็นส่วนใหญ่
ดังนั้นมันจึงเหลือคนประมาณ 50 คน
ปัญหาคือ ไม่มีใครเห็นคังวูจินที่อยากกินเนื้อวัวเลย เหตุผลนั้นง่ายมาก
ตอนนี้คังวูจินสลบไปโดยไม่รู้ตัว
ขณะเดียวกัน รยูจองมินที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกับนักแสดงอีกแปดคน เขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ความคิดของเขามีแต่เรื่องของคังวูจิน
“คังวูจินเป็นนักแสดงประเภทที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ไม่ว่าจะมองยังไง ผมก็ประเมินเขาไม่ออก ทั้งยังเรื่องการเรียนด้วยตัวเองอีกล่ะ”
รยูจองมินถือเป็นนักแสดงชั้นแนวหน้า แม้กระทั่งในกลุ่มของนักแสดงระดับชั้นนำ เขามีประสบการณ์ร่วมงานกับนักแสดงมากมายมาแล้วนับพันคน แต่สำหรับนักแสดงอย่างคังวูจินนั้น เขากลับไม่อาจประเมินได้เลย อีกฝ่ายเป็นคนที่ช่างแตกต่างสิ้นเชิง สีหน้าและการกระทำที่คาดเดาไม่ได้ แววตาว่างเปล่าแต่หนักแน่น บรรยากาศที่ดูมีความมั่นใจในตัวเองสูง และฝีมือการแสดงที่ไม่อาจอธิบายได้ ล้วนแปลกประหลาดไปหมด
มีเพียงสิ่งเดียวที่แน่ชัด
'อืม การบอกว่าเรียนรู้ด้วยตัวเองคงแค่พูดเล่นไปเท่านั้น เพราะฝีมือการแสดงบทของ 'รองหัวหน้าพัค' ไม่มีทางได้มาจากการเรียนรู้ด้วยตัวเองได้แน่'
ตัวละคร 'รองหัวหน้าพัค' คือหนึ่งในบทที่กระทั่งนักแสดงรยูจองมินยังคิดว่ามันยากเลย
ในขณะนั้นเอง
"แต่มันแปลกไปนิดนะคะ"
นักแสดงหญิงที่นั่งอยู่ที่โต๊ะของรยูจองมินบ่นเล็กน้อย
“คือแบบว่า คุณคังวูจินไม่คิดมาร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำเหรอคะ? เขาเพิ่งทำให้การอ่านบทยุ่งเหยิง แถมเขาก็ยังเป็นนักแสดงใหม่ด้วยนะคะ”
เธอดูไม่พอใจมาก
“เขาดูจะหยิ่งไปหน่อยไหมคะ แค่พอแสดงได้นิดหน่อยเอง? ฉันรู้สึกอึดอัดกับคนแบบนั้นมากเลย สายตาเขาดูเย็นชาเกือบตลอดเวลา และดูเหมือนนิสัยเขาจะไม่ค่อยดีเท่าไรเลยด้วย”
ไม่นานนัก นักแสดงคนอื่น ๆ ที่โต๊ะก็ดูเหมือนจะเห็นด้วย บรรยากาศเริ่มคล้อยตาม แต่ที่น่าแปลกใจคือ รยูจองมินที่เป็นคนเอ่ยปากขึ้นมา
“สำหรับผม การแสดงของเขามันดูน่าสะพรึงกลัวมากกว่าแค่เก่งเฉย ๆ นะ แล้วอย่าลืมนะครับว่าตั้งแต่แรก คุณPDก็แจ้งแล้วว่างานเลี้ยงต้อนรับไม่บังคับ มันไม่ใช่ยุค 90 แล้ว สมัยนี้อยากจะไม่มาก็ได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“แต่ว่า…!”
“ยิ่งไปกว่านั้นนะครับ”
รยูจองมินปัดผมยาวของเขาไปข้าง ๆ แล้วพูดต่ออย่างใจเย็น
“พวกคุณไม่ได้ดูการแสดง ‘รองหัวหน้าพัค’ ก่อนหน้านี้เหรอ? หลังจากดึงอารมณ์ที่ลึกซึ้งออกมาขนาดนั้น มันไม่ใช่ความรู้สึกที่สามารถคลายหายไปภายในแค่ไม่กี่ชั่วโมงหรอก บางทีจากมุมมองของคุณคังวูจิน การไปงานเลี้ยงมันอาจจะเป็นภาระก็ได้นะครับ?”
“อืม…”
“อย่าลืมสิครับว่าบทบาทของนักแสดงมันจะก่อให้เกิดอารมณ์อินไปตามเนื้อเรื่อง แต่นั่นมันบทฆาตกรต่อเนื่องไซโคพาธ การที่เขาต้องแสดงมันออกมาตั้งแต่ต้นของตอน 1 มันย่อมสร้างภาระแก่เขาอยู่แล้วล่ะครับ”
ตอนนี้เอง นักแสดงเหล่านั้นก็เริ่มเข้าใจ
“ก็จริงนะ คุณคังวูจินดึงอารมณ์ลึกซึ้งขนาดนั้นออกมาได้ในเวลาอันสั้นไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ เขาคงต้องควบคุมจิตใจตัวเองอย่างหนักก่อนการอ่านบทเลยล่ะ”
“มันยอดเยี่ยมจนพวกเราอ้าปากค้าง แต่สำหรับเขา มันคงเหมือนอารมณ์ภายในใจกำลังปะทะกันครั้งใหญ่เลย”
รยูจองมินกลับมาเป็นผู้นำการสนทนาอีกครั้ง
“ถึงมันจะดูเหมือนว่าเขาสามารถฟื้นฟูอารมณ์ให้กลับมาเป็นอย่างเดิมได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อหลังจากการแสดง แต่เปลือกนอกมันอาจกำลังหลอกลวงเราอยู่นะครับ ภายในของเขามันคงยุ่งเหยิงพอสมควร ในสภาพแบบนั้น การพูดคุยกับคนอื่นมันคงยากไปหมดแน่”
“ฉันก็เคยเป็นแบบนั้นเหมือนกันนะคะ ตอนที่อารมณ์รุนแรง ฉันจะรู้สึกหงุดหงิดกับคนรอบข้างโดยไม่ตั้งใจเลย”
“จะว่าไปก็จริงแฮะ คุณคังวูจินดูเครียด ๆ พอสมควร ดูไม่มีอารมณ์สนใจอะไรตลอดเวลาเลย เขาคงต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองอยู่แน่”
“ผมคิดว่ามันอันตรายเกินไปหน่อยไหม? การแสดงของคังวูจินเหมือนเมธอดแอคติ้งอยู่นะ แต่ผมว่านี้มันเกินไปหน่อยแล้ว”
“ก็บทบาทตัวละครนี้มันค่อนข้างละเอียดอ่อน แถมเป็นพวกฆาตรกรต่อเนื่องไซโคพาธยิ่งแล้วใหญ่ แม้ว่าแยกแยะความจริงกับโลกละครได้ดี แต่มันคงจะเป็นเรื่องท้าทายสำหรับเขาพอสมควร”
ตามที่คาดไว้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการแสดงต่างก็แสดงความเห็นกันอย่างราบรื่น รยูจองมินจึงเป็นคนปิดท้ายบทสนทนา
“พวกคุณอาจจะไม่รู้ แต่ตอนนี้เขาคงกำลังทรมานอยู่คนเดียว พยายามเยียวยาอารมณ์ของตัวเอง”
พวกเขาเข้าใจผิดกันถ้วนหน้า เพราะตัวต้นเรื่องกำลัง…
“เราทุกคนเคยประสบปัญหานี้กันใช่ไหมล่ะ? การฟื้นฟูอารมณ์จากบทน่ะมันยาก”
เขากำลังนอนหลับโดยไม่สนใจอะไรเลย
รุ่งเช้าวันต่อมา ในห้องของคังวูจิน
คังวูจินในชุดเมื่อวันก่อนยังหลับอยู่ โทรศัพท์ของเขาที่อยู่ข้างศีรษะเริ่มดังขึ้นมา
-ตืด ตืด♬♪
เมื่อเสียงดังขึ้น คังวูจินก็ลืมตาขึ้นทันที เขาเช็ดน้ำลายขณะตื่นนอน
“หือ? ฉันหลับไปหรือเปล่าเนี่ย? ตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้วนะ?”
ขณะที่พึมพำกับตัวเอง เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เป็นสายเรียกเข้า ผู้โทรคือฮงฮเยยอน นักแสดงสาวแถวหน้า เขาเช็คเวลาทันที
“7 โมงเย็นแล้ว?? ว้าว นี่ฉันนอนไป 2 ชั่วโมงจริงเหรอเนี่ย ทำไมรู้สึกสบายตัวแบบนี้?”
จากนั้นคังวูจินก็กำลังจะรับสายอย่างรีบร้อน แต่ก็ลังเล เพราะเขาต้องเตรียมเสียงของเขาให้พร้อมก่อน
"ครับ สวัสดีครับ?"
เสียงปลายสายเป็นฮงฮเยยอนผสมเสียงหัวเราะ
"คุณตื่นหรือยังคะ? ออกมาหน่อยสิ ไปซื้อของกันค่ะ"
"ครับ เข้าใจแล้ว"
ติ๊ด
ทันทีที่วางหู คังวูจินก็นึกถึงเนื้อวัว งานเลี้ยงดินเนอร์เริ่ม 7 โมงเย็น ดูเหมือนจะยังไม่สายมาก ฮงฮเยยอนเองก็จะออกไปด้วย คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
จากนั้น คังวูจินก็ต้องหยุดชะงัก
"หือ? ทำไมมันสว่างขนาดนี้?"
แสงสว่างลอดผ่านม่านเข้ามาส่องที่พื้นเล็กน้อย แสงแบบนี้ไม่ใช่แสงของยามเย็น ด้วยความสงสัย คังวูจินจึงรีบดึงม่านออก
"อ๊าก"
แสงแดดที่ส่องสว่างจ้ายังกะฟ้าแลบ มันพุ่งเข้าใส่เขา ตอนนี้เองคังวูจินจึงเริ่มเอะใจ
"หา? เป็นไปไม่ได้หรอกน่า"
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้า วูจินก็เอามือปิดหน้าด้วยความตกใจ
"มันคือ 7 โมงเช้า ไม่ใช่ 7 โมงเย็น อ้าว ฉันพลาดแล้วสิ"
เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองพลาดเนื้อวัวไปเพราะนอนเพลิน
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา
ที่จอดรถกลางแจ้งหน้าคอนโดมีเนียมคึกคักไปด้วยผู้คน ทีมงานกำลังเก็บของกัน นักแสดงกำลังขึ้นรถตู้ ซึ่งในบรรดาเหล่านั้น PDซงมันวูผู้ที่เพิ่งทักทายคังวูจินเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาก็อยู่ที่นั่นด้วย
แน่นอนว่า ข้าง ๆ เขามีนักเขียนพัคอึนมีที่สวมที่คาดผมอยู่
ทั้งสองมองไปยังรถตู้สีขาวคันใหญ่ข้างหน้า นั่นคือรถตู้ของฮงฮเยยอน ตอนนี้คังวูจินและฮงฮเยยอนอยู่ในรถตู้ และผู้โดยสารคนต่อไปคือซีอีโอชเวซองกุนแห่งบีดับบิลเอ็นเตอร์เทนเมนต์
เมื่อเห็นเช่นนั้น นักเขียนพัคอึนมีก็กอดอกและเอ่ยปากพูด
"ตอนมาก็ไม่ได้มาด้วยกัน แต่หลังจากเห็นการแสดงของคังวูจิน ซีอีโอชเวซองกุนเลยคิดจะไปกับเขาด้วยเลยสินะ"
PDซงมันวูหัวเราะคิกคัก
“ดาราฮงฮเยยอนคงสนใจคังวูจินมาก แถมซีอีโอชเวซองกุนกับฮงฮเยยอนก็สนิทกันมากอีก พวกเขาน่าจะมีเรื่องต้องพูดคุยกันมากมายเลย ผมคิดไว้แล้วว่ามันอาจจะเกิดขึ้น โอ้ จะว่าไปฮงเยยอนกับบีดับบิลเอ็นเตอร์เทนเมนต์ข้องเกี่ยวกันในฐานะสมาชิกและนักลงทุนไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันได้ยินมาว่าคังวูจินได้รับนามบัตรจำนวนมากจากสังกัดมากมายเมื่อวันก่อนนี้ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะตั้งแต่ที่เป็นนักเขียนมา ที่ฉันได้เห็นนักแสดงโนเนมได้นามบัตรในวันอ่านบท”
“คังวูจินไม่ใช่นักแสดงโนเนมธรรมดาไงครับ มันต่างกันมากเลยล่ะครับ ผมว่าเขาคงจะกลายเป็นนักแสดงโนเนมคนแรกที่ได้รับโบนัสเซ็นสัญญาด้วยซ้ำมั้งครับ”
“โบนัสเซ็นสัญญางั้นเหรอคะ?”
พอจะตอบคำถามนั้น PDซงมันวูก็ยิ้มกว้าง
“หลังจากให้เวลาเขาประเมินมูลค่าของตัวเอง เขากลับเจรจากับผมเพื่อขึ้นค่าตัว ฉลาดเป็นกรดเลยล่ะครับ”
เขาเล่าถึงวันที่ทำสัญญากับคังวูจิน PDซงมันวูจดจำมันได้อย่างขึ้นใจ
“เขาเป็นคนที่กล้าขนาดนี้ คงไม่มีทางไม่ได้ค่าเซ็นสัญญาหรอก”
ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay , ลงแค่ในThai-novelและMy-Novelเท่านั้น