บทที่ 78 จะเกิดอะไรขึ้น หากเขาไม่ได้อยู่ในขั้นนักยุทธ์
ตอนนั้น ที่เขาพ่ายแพ้ให้แก่หยางเสี่ยวเทียนยังสนามประลอง ทักษะเพลงกระบี่สือซานของหยางเสี่ยวเทียนอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบซึ่งเหนือกว่าเขาหนึ่งก้าว
หลังสูญเสียชัยชนะอย่างน่าอับอาย เพลานั้น เขาคิดว่ายังพอมีโอกาสพลิกกลับมาชนะได้ แต่ตอนนี้ หยางเสี่ยวเทียนบรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทาน ส่วนเขายังย่ำอยู่กับที่
หลังการประลองนั้น มันเพิ่งผ่านพ้นไปเท่าไหร่กัน คนอย่างหยางเสี่ยวเทียนที่เพิ่งเข้ามายังไม่ถึงปี จะสามารถฝึกเคล็ดวิชาเพลงกระบี่ขั้นเซียนยุทธ์ได้ดีขนาดนี้เชียวหรือ
ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างนิ่งค้าง ตกตะลึงเกินจะบรรยายหรือเอื้อนเอ่ยทัดทานใดๆ ด้วยทุกอย่างคือเรื่องจริงอันได้ประจักษ์เห็นเองกับตา
ไม่มีใครกล่าว หรือคิดจะเปิดปาก
พวกเขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร จะถามอะไร จะเอ่ยโต้แย้งยังไง
เคล็ดวิชาขั้นเซียนยุทธ์ที่เป็นวรยุทธภาคบังคับสำหรับศิษย์ปีหนึ่ง หยางเสี่ยงเทียนได้บรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทานทั้งหมด โดยมิมีใครใคร่เคลือบแคลงอีกต่อไป
แล้วทั้งหมด ผ่านไปยังไม่ถึงสองเดือนเลยด้วยซ้ำที่เขาเข้าอยู่ในสำนักเสินเจี้ยนแห่งนี้ แต่ความสารถกลับนำหน้าศิษย์ผู้มีวิญญาณยุทธ์สมบูรณ์แต่กำเนิดในสำนักคนอื่นๆ ไปอย่างน่าพิกลนัก
หยางเสี่ยวเทียนผู้นี้ เป็นผู้มีเพียงวิญญาณยุทธ์ระดับสองจริงหรือ ตอนนี้ ความสงสัยใหม่เกิดขึ้นในใจของบรรดาอาจารย์แลศิษย์ทุกคน
เพราะผู้ที่สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาทั้งสามจนบรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทานได้ ดูเหมือนจะไม่มีมาหลายปีแล้ว
ครั้งสุดท้ายที่มีปรากฏ ก็เนิ่นนานนับหลายสิบปีก่อน
หยางเสี่ยวเทียนหันมองยังเกาลู่ที่ยืนนิ่งเงียบมาเป็นเวลานานไม่คิดเอ่ยพูดอันใด เขาจึงจะเอ่ยถามเรื่องการทดสอบ แต่ยังมิทันจะเดินเข้าไปหรือเปิดปาก หลินหยงกับเฉินหยวนก็พลันเดินปรี่เข้ามาขวางด้วยสีหน้าแลท่าทางตื่นเต้น
เมื่อทั้งสองถึงตัวหยางเสี่ยวเทียนยื่นมือจับไหล่กันคนฝั่ง แต่ก็ยังไม่รู้จะกล่าวอะไร หรือถามอย่างไร ในหัวขาวโพลนไร้ซึ่งคำถามเพราะทุกสิ่งนั้นได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว
“ลูกเอ๋ย เจ้า...” ในที่สุด ริมฝีปากของเฉินหยวนก็สามารถปริจากกันได้
“เจ้าฝึกวรยุทธทั้งสามนี้จนประสบความสำเร็จได้อย่างไร” เฉินหยวนรีบถามอย่างตื่นเต้นจนน้ำเสียงสั่นเครือ
ฝึกวรยุทธทั้งสามนี้จนประสบความสำเร็จได้อย่างไรงั้นหรือ?
หลังได้ยินคำถาม หยางเสี่ยวเทียนก็พลางขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นแตะปลายคางใคร่ครวญ ด้วยไม่รู้จะบอกกล่าวเช่นไรดี
เพราะคำถามเช่นนี้ค่อนข้างตอบยาก จะตอบตามตรงพวกเขาก็คงไม่เชื่ออยู่ดี
แต่หากให้ตอบตามตรง เขาก็เพิ่งอ่านมันเพียงครั้งเดียวแล้วแตกฉานจริงๆ ถ้าพูดไป พวกเขาจะยอมรับกันได้หรือไม่เล่า
“ข้าไม่จำเป็นต้องมาสอบทุกเดือนแล้วใช่หรือไม่” หยางเสี่ยวเทียนเลี่ยงการตอบคำถามนี้ โดยถามคำถามอื่นเพื่อเปลี่ยนประเด็น
เฉินหยวนและหลินหยง สะดุ้งทันที
“แน่นอน แน่นอน ลูกเอ๋ยเจ้าไม่จำเป็นต้องมาสอบทุกเดือนแล้ว” เฉินหยวนสั่นศีรษะพร้อมตอบด้วยยิ้ม
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้น ศิษย์ขอตัวก่อน” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวพร้อมยกมือขึ้นประสานแสดงความนับถือ เขายืมเคล็ดวิชาฝ่ามือเยือกแข็งนิลกาฬเช้านี้และจำต้องกลับไปฝึกซ้อม
หยางเสี่ยวเทียนออกจากประตูห้องสี่ท่ามกลางสายตาที่ซับซ้อน สังสัย ชื่นชมและริษยาของทุกคนไปอย่างไม่คิดสนใจเช่นทุกครา
หูซิงจับจ้องมองร่างที่จากไปของหยางเสี่ยวเทียน ด้วยความจงเกลียดจงชังอย่างไม่เคยปรากฏในสายตามาก่อน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา หูซิงโอ้อวดว่าตนนั้นมีพรสวรรค์ด้านวรยุทธมากเพียงใด หามีใครในสำนักกล้าริอาจทัดเทียมเขาได้
แต่วันนี้พรสวรรค์ด้านวรยุทธของหยางเสี่ยวเทียนกลับสูงกว่าเขา แล้วจะให้ชื่นชมได้อย่างไร มีผู้ใดในใต้หล้าต้องการเห็นผู้อื่นนั้นเด่นกว่าตน
มีเพียงวิญญาณยุทธ์ระดับสองแท้ๆ ไฉนกล้ามีพรสวรรค์ด้านวรยุทธที่แข็งแกร่งเช่นนี้!
ใช่ วิญญาณยุทธ์ขยะระดับสอง
หูซิงเหยียดยิ้ม เริ่มรู้สึกดีขึ้นเมื่อนึกถึงวิญญาณยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียน ที่เป็นเพียงวิญญาณยุทธ์เต่าขยะระดับสอง
วิญญาจารย์ที่มีวิญญาณยุทธ์ระดับต่ำ ถูกลิขิตให้ไม่อาจทะลวงเข้าสู่ขั้นราชันยุทธ์ได้แน่นอน แม้พรสวรรค์ด้านวรยุทธของหยางเสี่ยวเทียนตอนนี้จะเก่งกาจชั่วร้ายแค่ไหน สุดท้ายมันก็ไร้ค่า
เมื่อหยางเสี่ยวเทียนพ้นออกจากหอการศึกษา ลู่เจ๋อหลินอาจารย์บรรณารักษ์ประจำหอคัมภีร์ก็ได้ทราบข่าวว่าหยางเสี่ยวเทียนฝึกปรือเพลงหมัดราชันพยัคฆ์ เพลงกระบี่สี่ฤดู และเพลงกระบี่สือซาน จนบรรลุขั้นวรยุทธไร้เทียมทานทั้งหมด
ทันทีที่เขารู้เรื่องราวจากข่าว ลู่เจ๋อหลินก็เบิกตาโพลงตกตะลึงอยู่นานสองนาน
ในเวลาเดียวกัน ก็มีเรื่องหนึ่งผุดเข้ามาในหัว เมื่อเช้าที่เขาถามหยางเสี่ยวเทียนว่าฝึกเพลงกระบี่อัสนีเป็นอย่างไรบ้าง
และถ้าจำไม่ผิดหยางเสี่ยวเทียนตอบ ว่าเขาฝึกฝนจนบรรลุเพียงขั้นฉลาดล้ำเลิศเท่านั้นเอง
“หรือจะเป็นเรื่องจริง!” จู่ๆ ลู่เจ๋อหลินก็สะดุ้งจนเกือบตกเก้าอี้ แล้วรู้สึกขนลุกชูชันยันหนังศีรษะ
จากนั้นไม่นาน หูซิงก็มายังหอคัมภีร์ ลู่เจ๋อหลินเร่งปรี่บอกกล่าวถึงเรื่องราวที่เขาสนทนากับหยางเสี่ยวเทียนให้หูซิงได้ทราบทันที
ซึ่งแน่นอนว่าคนเยี่ยงหูซิงคงมีปฏิกิริยาเช่นเดิม เขาส่ายศีรษะไม่เชื่อแล้ววาจายังคงปรามาสในตัวหยางเสี่ยวเทียนอย่างทุกครั้ง
“หยางเสี่ยวเทียนผู้นั้นน่ะรึกล่าวแบบสบายๆ ว่าฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ขั้นเซียนสวรรค์ชั้นยอด อย่างเพลงกระบี่อัสนีจนบรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศ แล้วอาจารย์เชื่อเขาเช่นนั้นจริงหรือ”
“เป็นไปได้อย่างไรที่วิญญาจารย์ขั้นนักยุทธ์จะสามารถฝึกเคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์! ทั้งยังเป็นเพลงกระบี่ขั้นเซียนสวรรค์ชั้นยอดอย่างเพลงกระบี่อัสนีอีก”
จู่ๆ ลู่เจ๋อหลินก็กล่าววาจาพิลึก “จะเกิดอะไรขึ้นหากหยางเสี่ยวเทียน ไม่ได้อยู่ในขั้นนักยุทธ์”
หูซิงตะลึงไปครู่กับความคิดเพี้ยนๆ ที่ไม่คาดจะได้ยินจากปากผู้เป็นอาจารย์หอคัมภีร์ หลังนิ่งพินิจไปพัก จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะสะบัดความคิดจะเป็นไปได้เหล่านั้นทิ้งในทันที
“ท่านคงไม่ได้จะกล่าวว่าหยางเสี่ยวเทียนผู้นี้อยู่ในขั้นเซียนสวรรค์ใช่หรือไม่ เซียนสวรรค์ที่อายุเพียงแปดขวบน่ะหรือ”
ลู่เจ๋อหลินตื่นจากภวังค์นึกคิดพิกลเมื่อครู่ เพราะรู้ว่ามันช่างไร้สาระนัก หยางเสี่ยวเทียนผู้นี้เพิ่งปลุกวิญญาณยุทธ์ได้เมื่อสองสามเดือนก่อน แล้วจะเป็นวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์ได้อย่างไร
ต่อให้เป็นผู้มีวิญญาณยุทธ์ขั้นสูง ก็ไม่สามารถฝึกฝนด้วยความเร็วเช่นนี้ได้ แล้วยิ่งเป็นเพียงวิญญาณยุทธ์ขยะระดับสองเช่นนี้อีก ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ