บทที่ 74 จงเบิกตาให้กว้าง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกเพลงกระบี่ หลอมโอสถ และหลอมอาวุธ จนลืมเรื่องการสอบประจำเดือนไปสิ้นเลย
ตามกฏข้อบังคับของสำนัก แต่ละชั้นเรียนจะต้องสอบทุกเดือนเพื่อประเมินผล
ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ เวลาที่เขาต้องออกเดินทางฝึกตามที่ห่างไกลก็ต้องเสียไป เพราะต้องคอยกลับมาทุกเดือนเข้าทดสอบเช่นนั้นหรือ ถ้าเป็นดั่งที่คิดจริงๆ คงลำบากไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนจะมีกฎที่เขียนเอาไว้ ว่าตราบใดที่มีศิษย์สามารถฝึกฝนทักษะการต่อสู้แต่ละอย่างจนบรรลุในขั้นฉลาดล้ำเลิศแล้ว ทุกๆ ภาคการศึกษา พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบประจำเดือน และมาเข้าร่วมทุกๆ เดือน
หยางเสี่ยวเทียนติดตามเจิ้งจื้อเผิงกลับห้องเรียนอย่างช่วยไม่ได้
แม้เขาจะไม่ได้มาที่นี่นานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว แต่ห้องเรียนก็ยังคงมีบรรยากาศเช่นเดิมมิเคยเปลี่ยน เว้นแต่สายตาแลวิธีของทุกคนที่มองเขาแปลกไป
ครั้งสุดท้ายที่หยางเสี่ยวเทียนมาที่นี่ เขาใช้เพลงกระบี่สือซานขั้นสมบูรณ์แบบเอาชนะเซี้ยฉู่จากห้องหนึ่งไป นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บรรดาศิษย์ทั้งชายและหญิง ต่างมองเขาเป็นสัตว์ประหลาดที่มีเพียงวิญญาณยุทธ์ขยะระดับสอง
เกาลู่ยังคงมีสีหน้าจงเกลียดจงชังหยางเสี่ยวเทียนเช่นเดิมเมื่อได้เห็นเขาอีกครั้ง
ล่าสุดก็มีข่าวลือแพร่ไปทั่วสำนัก ว่าหยางเสี่ยวเทียนไปหอคัมภีร์ทุกวันและเปลี่ยนคัมภีร์เคล็ดวิชากระบี่ทุกเล่ม เพราะอวดว่าตนสามารถเข้าใจเพลงกระบี่สือซานจนบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ มิมีใครเอาชนะได้ จึงใคร่อยากลองศึกษาเคล็ดวิชาเพลงกระบี่อื่นๆ ที่แม้จะไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับมันเลยก็ตาม
ที่ไร้สาระยิ่งกว่านั้น หยางเสี่ยวเทียนยังได้เปลี่ยนไปขอยืมเคล็ดวิชาเพลงกระบี่ขั้นเซียนสวรรค์ของสำนัก "เพลงกระบี่อัสนี" ล่าสุดวานนี้
เพลงกระบี่อัสนี เป็นเคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์ชั้นยอด
หยางเสี่ยวเทียนผู้มีเพียงวิญญาณยุทธ์ขยะระดับสอง ไม่สามารถแม้แต่จะเข้าใจเคล็ดวิชากระบี่ขั้นเซียนยุทธ์ชั้นยอด อย่างเพลงกระบี่ปีศาจและเพลงกระบี่ชางไห่ได้ แต่กลับต้องการเข้าใจเคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์ชั้นยอด เช่น เพลงกระบี่อัสนี
ช่างกล้าหาญอะไรปานนั้น!
เคยมีศิษย์ชั้นปีหนึ่งในสำนัก ถูกบังคับให้ฝึกวรยุทธขั้นเซียนสวรรค์ ต่อมา เขาก็อาเจียนเป็นเลือดด้วยถูกธาตุไฟเข้าแทรก แต่ยังหมกมุ่นอยู่กับมันจนเสียสติ
ศิษย์คนนั้น ยังคงฝึกฝนวรยุทธขั้นเซียนสวรรค์ชั้นกลาง ในขณะที่หยางเสี่ยวเทียนตอนนี้ กลับต้องการฝึกฝนวรยุทธขั้นเซียนสวรรค์ชั้นยอด สิ่งนี่ไม่เรียกว่าความกล้า
เกาลู่เริ่มฉุนเฉียวมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์กับคนเยี่ยงหยางเสี่ยวเทียน
หลังได้จ้องมองหยางเสี่ยวเทียนผู้กำลังเดินหาที่นั่ง เกาลู่ที่พยายามสะกดอารมณ์ตนก็เปิดปากพูดกับศิษย์ทุกคนในห้องสี่
“ในเมื่อทุกคนมากันครบแล้ว เช่นนั้นก็มาเริ่มสอบประจำเดือนเลยเถอะ ผู้ใดจะอาสาเป็นคนแรก”
“อาจารย์ ให้ข้าก่อน” ในฐานะผู้ดูแลห้องสี่ เจิ้งจื้อเผิงยกมือขึ้นอาสา ก้าวออกไปเป็นคนแรก
“เมื่อเจ้าขันอาสา ก็มาเถิด” เกาลู่เอ่ย ขณะที่ศิษย์ทุกคนในห้องต่างยิ้มชื่นชมเมื่อเห็นเจิ้งจื้อเผิง
“ทุกคน จงเบิกตาให้กว้าง แล้วดูเพลงหมัดราชันพยัคฆ์และความพริ้วไหวจากเพลงกระบี่สี่ฤดูของจื้อเผิงผู้นี้ให้ดี” เกาลู่ย้ำกับศิษย์ทุกคนอีกครั้ง
เจิ้งจื้อเผิงกระโดดปราดมายังลานฝึกกลางห้องเรียน แล้วพุ่งหมัดชกออกไปอย่างทันที
“พยัคฆ์ชูซาน!”
ทันใดนั้น เสียงคำรามของพยัคฆ์ก็ก้องกังวานไปทั่วห้องเรียน
บรรดาศิษย์ห้องสี่ทุกคนต่างส่งเสียงเฮลั่นพร้อมปรบมือดังสนั่น
หยางเสี่ยวเทียนเห็นแล้วต้องลอบพยักหน้าชื่นชมเบาๆ ในฐานะผู้ดูแลห้องสี่ เจิ้งจื้อเผิงค่อนข้างมีฝีมือไม่ธรรมดา ด้วยตอนนี้ เพลงหมัดราชันพยัคฆ์ของเขาถือว่าได้บรรลุถึงขั้นฉลาดล้ำเลิศแล้ว
แม้จะเพิ่งบรรลุถึงขั้นฉลาดล้ำเลิศไม่นาน แต่ความสามารถเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง
เจิ้งจื้อเผิงยกยิ้มอย่างลำพองเมื่อรู้สึกถึงความปลาบปลื้มในสายตาของทุกคน เขายังคงเคลื่อนไหวโดยใช้เพลงหมัดราชันพยัคฆ์ แสดงท่วงท่าและต่อยออกไปอย่างหนักหน่วงไม่หยุดหย่อน ไม่ช้า การแสดงของเขาก็จบลง
จากนั้น เขาก็เริ่มร่ายรำเพลงกระบี่สือซานและเพลงกระบี่สี่ฤดูอย่างต่อเนื่อง
เพลงกระบี่สือซานของเขาตอนนี้ ก็บรรลุถึงขั้นฉลาดล้ำเลิศเช่นกัน
แต่ทว่า ในบรรดาเคล็ดวิชาขั้นเซียนยุทธ์ทั้งสามนั้น เพลงกระบี่สี่ฤดูถือว่ายากต่อการฝึกให้เชี่ยวชาญนัก
เขาจึงฝึกฝนจนบรรลุถึงขั้นสำเร็จเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งยังห่างไกลจากขั้นฉลาดล้ำเลิศอยู่มากโข
ถึงกระนั้น ศิษย์ห้องสี่ก็ยังปรบมือดังสนั่นคล้ายเสียงฟ้าร้องให้เขาอยู่ดี
เกาลู่ยังกล่าวชม “เยี่ยม! เยี่ยม! จื้อเผิง ข้าไม่คิดเลยว่า เจ้าจะสามารถฝึกฝนเพลงหมัดราชันพยัคฆ์ จนบรรลุถึงขั้นฉลาดล้ำเลิศเช่นนี้ ไม่เลว! ไม่เลว!”
“ศิษย์มิกล้า อาจารย์ชมเกินไปแล้ว” เจิ้งจื้อเผิงกล่าวอย่างสุภาพ
จากนั้น ก็ถึงคราวของบรรดาศิษย์คนอื่นๆ หลายคนในชั้นเรียน ที่ต้องแสดงผลของการหมั่นฝึกฝนของตน
อย่างไรเสีย ทักษะวรยุทธทั้งสามของศิษย์ส่วนใหญ่ โดยทั่วไปจะอยู่ในขั้นสำเร็จเล็กน้อยเท่านั้น หากเทียบกับเจิ้งจื้อเผิง พวกเขายังมีฝีมือห่างชั้นอยู่มากทีเดียว
ในขณะที่ทุกคนกำลังลังเลว่าผู้ใดจะเป็นคนต่อไป เจิ้งจื้อเผิงที่เห็นหยางเสี่ยวเทียนนั่งนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน จึงมาดมั่นว่าเขาไม่เคยฝึกเพลงหมัดราชันพยัคฆ์ หรือเพลงกระบี่สี่ฤดูแต่อย่างใด
เจิ้งจื้อเผิงเริ่มแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา เผยปากพูดด้วยรอยยิ้มอย่างฉันมิตร “หยางเสี่ยวเทียน เพลงกระบี่สือซานของเจ้านั้น บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบเชียวนะ แล้วเจ้าจะไม่รู้จักเพลงหมัดราชันพยัคฆ์และเพลงกระบี่สี่ฤดูได้อย่างไร”
“เจ้าช่วยแสดงเพลงหมัดราชันพยัคฆ์และเพลงกระบี่สี่ฤดู เพื่อเป็นการเปิดหูเปิดตาแก่พวกเรา ให้ประจักษ์ต่อฝีมือของเจ้าได้หรือไม่”