บทที่ 73 ราชันวิญญาณยุทธ์
หลังปราณแท้มังกรทั้งสี่ถูกปลุก ความแข็งแกร่งและพลังการป้องกันของหยางเสี่ยวเทียน ก็มาถึงระดับอันน่าอัศจรรย์
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากจะกล่าว แม้ตอนนี้ เขาจะทำเพียงยืนนิ่งอยู่กับที่ แล้วถูกโจมตีโดยกลุ่มวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์ระดับสี่หรือห้า พวกเขาเหล่านั้นก็มิอาจทำเขามีรอยขีดข่วนได้แม้แต่น้อย
ด้วยปราณแท้มังกรทั้งสี่ตอนนี้ หยางเสี่ยวเทียนก็เทียบเท่ากับสวมชุดเกราะหลายชิ้น ที่ไม่ต่างจากอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์ห่อหุ้มรอบกาย
เมื่อปลุกปราณแท้มังกรทั้งสี่ อานุภาพของพลังยุทธ์ในกายหยางเสี่ยวเทียนก็แข็งแกร่งทรงพลังมากยิ่ง
หากผู้ไม่รู้ว่าหยางเสี่ยวเทียนเป็นใคร พวกเขาคงคิดว่าเด็กน้อยผู้นี้คือวิญญาจารย์ที่ถือกำเนิดจากเผ่ามังกร
ครั้นผลลัพธ์จากการหมั่นบ่มเพาะแลฝึกวรยุทธเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นที่น่าพอใจเช่นนี้ หยางเสี่ยวเทียนก็ยังคงนั่งเข้าฌานหลับตาบนเตียงหยกเย็นต่ออีกจวนข้ามคืน
พอรุ่งสาง เขาก็หันมาฝึกฝนเพลงกระบี่อัสนีต่อยังลานฝึก ท่วงท่าร่ายรำขณะกวัดแกว่งกระบี่ ดูพลิ้วไหวงดงามต่อเนื่องมิมีสะดุดด้วยไร้ที่ติ ไม่ปรากฏให้เห็นถึงความเหน็ดเหนื่อยหรือคล้ายจะอิดออดบนใบหน้าขาวละเอียดของเด็กน้อยผู้นี้เลยสักน้อย
หลังฝึกฝนเพลงกระบี่อัสนีมาได้ระยะหนึ่ง หยางเสี่ยวเทียนก็เริ่มผ่อนปรนความเร็วในการเคลื่อนไหวของกระบวนท่าลงจวนหยุดนิ่ง
เมื่อยังไม่สามารถบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบได้ เขาจึงเลือกที่จะหยุดแล้วนำมันกลับไปคืนยัง หอคัมภีร์แห่งสำนักเสินเจี้ยน เพื่อแลกกับวรยุทธขั้นเซียนสวรรค์อีกชุดอื่น
แม้ครานี้จะยังบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบไม่ได้ แต่อย่างไร เขาก็คุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงของกระบี่ อันเป็นหัวใจหลักสำคัญของเคล็ดวิชาเพลงกระบี่อัสนีมากทวีแล้ว
ส่วนการจะฝึกฝนให้บรรลุขั้นสมบูรณ์แบบตอนนี้นั้น คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลา ซึ่งต้องใช้ความเพียรสั่งสมมันในภายภาคหน้าเท่านั้น
ณ หอคัมภีร์แห่งสำนักเสินเจี้ยน
ทันทีที่ลู่เจ๋อหลินเห็นหยางเสี่ยวเทียนเดินผ่านประตูหอคัมภีร์เข้ามา เขาก็รีบดีดตัวที่หดงอลุกนั่งหลังตรง ด้วยเฝ้ารอการกลับมาของเจ้าเด็กน้อยผู้นี้นำคัมภีร์เคล็ดวิชามาเปลี่ยนทุกรุ่งเช้า ซึ่งก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้เสมอ
“หยางเสี่ยวเทียน ได้ฝึกฝนเพลงกระบี่อัสนีแล้วเป็นอย่างไรเล่า” ลู่เจ๋อหลินถามสีหน้ายิ้มแย้ม
“ไม่เลว” หยางเสี่ยวเทียนตอบ ก่อนน้ำเสียงเรียบเฉยจะกล่าวเสริมขึ้นอีก
“แค่บรรลุเข้าขั้นฉลาดล้ำเลิศเท่านั้น”
ลู่เจ๋อหลินที่ได้ยินดังนั้น ก็กลั้วหัวเราะลั่นจนเนื้อตัวไหวสั่นพลางยกนิ้วให้หยางเสี่ยวเทียนทันที
“ดี ดีมาก! เจ้าสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์จนบรรลุถึงขั้นฉลาดล้ำเลิศในหนึ่งวัน พรสวรรค์ด้านวรยุทธเช่นนี้ของเจ้า ไม่เคยปรากฏมาก่อน นับเป็นประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง”
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะคิดหรือแสดงท่าทีปรามาสตนเช่นไร หยางเสี่ยวเทียนก็เพียงยกมุมปากยิ้มอย่างนึกสมเพชในใจ เพิกเฉยต่อการล้อเลียนดูถูกของเขา และยังคงเลือกที่จะเปลี่ยนคัมภีร์เป็นเคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์ต่อไปเช่นทุกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้เขาเอาแต่ฝึกฝนเพลงกระบี่เป็นส่วนใหญ่ ไม่เคยได้ลองฝึกทักษะการใช้ฝ่ามือสักครั้ง ดังนั้นในครั้งนี้ เขาจึงถือโอกาสเปลี่ยนเป็นเคล็ดวิชา "ฝ่ามือเยือกแข็งนิลกาฬ"
หลังเปลี่ยนเป็นเคล็ดวิชาฝ่ามือเยือกแข็งนิลกาฬแล้ว ขณะเขาเดินเตร็ดเตร่อยู่ในหอคำภีร์ หยางเสี่ยวเทียนก็บังเอิญพบคัมภีร์เกี่ยวกับการทำความเข้าใจวิญญาณยุทธ์ในหอคัมภีร์ จึงลองเปิดศึกษาดู
ด้วยเขาไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณยุทธ์มากนัก จึงอยากลองอ่านศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ เผื่อได้รู้จักมันมากขึ้น
วิญญาณยุทธ์มีหลายประเภท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวิญญาณยุทธ์สัตว์ นอกจากวิญญาณยุทธ์สัตว์แล้ว ยังมีวิญญาณยุทธ์อาวุธ เช่น วิญญาณยุทธ์กระบี่ วิญญาณยุทธ์ดาบและอาวุธอื่นๆ และแม้แต่วิญญาณยุทธ์พืชก็มี
แต่โดยทั่วไปแล้ว เหล่าวิญญาจารย์ที่มีวิญญาณยุทธ์พืช ความแข็งแกร่งมักจะอยู่ในระดับที่ถือได้ว่าต่ำมาก
หยางเสี่ยวเทียนต้องใช้เวลานั่งอ่านมันถึงครึ่งชั่วยามจึงจะจบทั้งหมด ด้วยคัมภีร์เล่มนี้มีความหนาอยู่ไม่น้อย
แต่เมื่ออ่านจบ เขากลับรู้สึกตื่นเต้นมาก
เพราะสองสามหน้าสุดท้ายของคัมภีร์ ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงสุดต่างๆ
ซึ่งเขียนบอกไว้ว่า ผู้มีวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงสุดประเภทการเติบโต ซึ่งสามารถเติบโตต่อไปได้ผ่านการหมั่นฝึกฝนแลบ่มเพาะ จนที่สุดจะกลายเป็นราชันวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงสุด
โลกแห่งวิญญาจารย์นั้นกว้างใหญ่และไร้ขอบเขต พร้อมด้วยอัจฉริยะนับพันล้านคน อย่างไรก็ตาม ในเวลาหลายล้านปี จะมีผู้ที่ได้ครอบครองราชันวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงสุดเพียงคนเดียวเท่านั้น
ส่วนคนนั้นคือใคร หรือมีคุณสมบัติเช่นใด คัมภีร์ไม่ได้กล่าวไว้
หยางเสี่ยวเทียนไม่สามารถระงับความตื่นเต้นได้ หลังรู้ว่าวิญญาณยุทธ์ของเขาจะเติบโตไปเป็นราชันวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงสุด
หากไม่มีอะไรผิดพลาดเกินความคาดหมายเกิดขึ้น วิญญาณยุทธ์คู่ขั้นสูงสุดของเขานั้น พวกมันทั้งสองจะเติบโตเป็นราชันวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงสุดในอนาคต
ขณะเดินพ้นออกจากประตูหอคัมภีร์ได้เพียงสองก้าว เจิ้งจื้อเผิงผู้ดูแลชั้นเรียนที่เดินตามหาเขาทั่วทั้งสำนักก็เข้ามาประจันหน้า เพื่อแจ้งถึงเรื่องการทดสอบประจำเดือนที่จะเริ่มในวันนี้
ก่อนจากไป เขายังย้ำหยางเสี่ยวเทียนว่าต้องไปให้ถึงห้องเรียนก่อนยามซื่อ เพื่อทดสอบประจำเดือน หากเขาขาดการเข้าร่วมในครานี้ จะส่งผลต่อคะแนนประเมินของเขาและศิษย์ในห้องสี่ทุกคนในเดือนนี้ ซึ่งจะถูกลงบันทึกไว้ ด้วยถือเป็นความเสียหายร้ายแรงตามกฏข้อบังคับของสำนัก
หลังเจิ้งจื้อเผิงกล่าวจบ เขาก็หันหลังจากไปอย่างไม่แยแสหยางเสี่ยวเทียนทันที
หากอาจารย์เกาลู่ไม่สั่งให้เขามา มีหรือที่คนอย่างเขาจะอยากสนทนากับคนเยี่ยงหยางเสี่ยวเทียน
“การสอบประจำเดือนงั้นหรือ”
หยางเสี่ยวเทียนมองยังร่างเจิ้งจื้อเผิง ที่กำลังเดินห่างออกไปแล้วพึมพัมกับตัวเอง
ถึงผู้อ่านทุกท่าน
***วันนี้ขอลงหนึ่งตอนก่อนนะคะ เพราะติดธุระจริงๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเย็นจะลงให้ได้อ่านกันอีกเท่าเดิมค่ะ ต้องขออภัยนักอ่านทุกท่านด้วย อยากแปลให้ได้อ่านกันเยอะๆ จะได้มันส์ด้วยกัน ด้วยใจที่มุ่งมันแต่เวลาไม่อำนวย จึงแปลลงได้แค่วันละ 2-4 ตอนจริงๆ แง่…***