บทที่ 72 แอบอ้างเป็นนักปรุงโอสถ
หลินหยวนพินิจเงียบๆ แต่สีหน้าก็เผยความประหลาดใจออกมาอยู่ดีหลังคิดเช่นนั้น
หยางเสี่ยวเทียนผู้นี้จะสามารถหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์สำเร็จ ได้ตั้งแต่อายุเพียงสิบสามปี ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งน่าทึ่งมากสำหรับเขา
ขณะหยางเสี่ยวเทียนกำลังจะก้าวพ้นจากประตูโถงสมาคม ก็พลันประจันหน้ากับเฉิงเป้ยเป้ยและหยางจง ซึ่งอยู่มิไกลจากประตูหน้าของหอสมาคมนักปรุงโอสถเท่าไรนัก
สังเกตจากท่าทางของทั้งสองแล้ว ก็คงจะมาที่หอสมาคมนักปรุงโอสถเช่นกัน
เมื่อทั้งสองพบหยางเสี่ยวเทียนยืนอยู่ในพื้นที่ของสมาคม เฉิงเป้ยเป้ยพร้อมหยางจงจึงเริ่มแสดงสีหน้าประหลาดใจ
และพลันนึกถึงวาจาของหยางเสี่ยวเทียนวนเวียนเข้ามาในหัว ที่ครั้งหนึ่งเคยกล่าวเอาไว้ ว่าจะผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงโอสถครั้นถึงเมืองเสินเจี้ยน
ทันทีที่คาดว่าเป็นเช่นนั้น ปากของนางก็เผยอเอ่ยเหน็บแนมทันควัน “หยางเสี่ยวเทียน เจ้าไม่ต้องการสอบเป็นนักปรุงโอสถแล้วงั้นหรือ”
หยางเสี่ยวเทียนทำทีผิวปากฮัมเพลงก่อนจะกล่าววางท่า “ไยต้องทดสอบให้เมื่อยอีกเล่า ในเมื่อข้าผ่านแล้ว”
เฉิงเป้ยเป้ยและหยางจงยืนตะลึงนิ่งอยู่ครู่ มิช้าเฉิงเป้ยเป้ยก็หัวร่อคิกคักออกมาเสียงดัง “เจ้าน่ะรึ ผ่านการทดสอบ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
หยางจงแสยะยิ้มเหยียดสายตามองคนตรงหน้าอย่างเย้ยหยัน “หยางเสี่ยวเทียน ในเมื่อเจ้าบอกว่าผ่านการทดสอบ เช่นนั้นเจ้าใช้เวลานานเท่าไหร่ในการหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณงั้นหรือ”
“ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
อะไรนะ! ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา!
เฉิงเป้ยเป้ยพลันอมยิ้ม ครั้นเห็นใบหน้าจริงจังของหยางเสี่ยวเทียนยามพ่นวาจาโอ้อวด
“ตอนแรกข้าอารมณ์ไม่ดีนัก แต่เมื่อได้ฟังวาจาของเจ้าแล้ว ข้าก็รู้สึกดีขึ้นมากเลย” เฉิงเป้ยเป้ยยิ้มขณะกล่าว ทำราวสนทนาอยู่กับตัวตลก
ไม่ช้า นางก็หันมากล่าวกับหยางจง “เข้าไปข้างในกันเถอะ”
จากนั้นทั้งคู่ก็เมินหยางเสี่ยวเทียนแล้วหันหน้าเดินเข้าไปยังโถงสมาคมนักปรุงโอสถ
แน่นอนว่า ที่นางมาเยือนสมาคมนักปรุงโอสถในครานี้ มิใช่เพื่อทดสอบเป็นนักปรุงโอสถแต่อย่างใด
แม้นางจะโอ้อวดนักหนาว่าตนนั้นมีพรสวรรค์ในการหลอมโอสถ แต่นางก็พึงแก่ใจดีว่ายามนี้ ตัวนางเองยังไม่ถึงระดับที่จะทดสอบเป็นนักปรุงโอสถได้
ที่นางออกจากสำนักในครานี้ ก็เพื่อตั้งใจมาพบกับพี่สาวของนาง เฉินจื่อหานเท่านั้น
พี่สาวนางเป็นศิษย์ของหลินหยวน ทั้งยังเป็นถึงนักปรุงโอสถระดับหนึ่งดาวของสมาคมนักปรุงโอสถ
เฉินจื่อหานมีชื่อเสียงพอๆ กับชิวไห่ชิว ณ อาณาจักรเสินไห่แห่งนี้ นางเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนักปรุงโอสถผู้มากความสามารถสุดในรุ่นเดียวกัน
หลังจากนั้นไม่นาน เฉิงเป้ยเป้ยก็มาถึงที่พำนักของเฉินจื่อหาน ทั้งสองสนทนากันอย่างสนุกสนานก่อนเริ่มเปลี่ยนไปเรื่องอื่น
เฉิงเป้ยเป้ยกล่าวถึงหยางเสี่ยวเทียนที่ได้พานพบเมื่อคราจะเข้ามาในสมาคม ตรงประตูทางเข้าโถง
ทันทีที่นางบอกว่าหยางเสี่ยวเทียนผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงโอสถแล้ว เฉินจื่อหานก็ส่ายศีรษะทันควัน “แม้แต่อาณาจักรเทียนโต้ว หรืออาณาจักรมังกรสวรรค์ ก็ไม่อาจค้นพบอัจฉริยะเช่นนี้ได้”
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั่วทั้งอาณาจักรเสินไห่ของเรา ก็ไม่เคยมีเด็กอายุเพียงแปดขวบสามารถทดสอบผ่านเป็นนักปรุงโอสถได้สำเร็จ”
นางหันไปยังหยางจงพร้อมพูดเชิงสั่งว่า “เนื่องจากเด็กผู้นั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้า เจ้าก็ควรกลับไปตักเตือนเขา ว่าอย่าแอบอ้างเป็นนักปรุงโอสถของทางสมาคมเช่นนี้อีก!”
หยางจงพยักหน้ารัวๆ ด้วยเห็นชอบทันทีโดยไม่แม้จะปริปาก
หลังหยางเสี่ยวเทียนกลับจากสมาคมนักปรุงโอสถถึงจวน เขาก็มุ่งตรงไปยังลานฝึกยุทธ์เพื่อฝึกฝนเพลงกระบี่อัสนีเช่นทุกวัน
เขาเริ่มเปิดอ่านมันตั้งออกจากสมาคม ครั้นถึงจวนก็อ่านจบทั้งเล่มพอดี จนจดจำกระบวนท่าและการเปลี่ยนแปลงสำคัญของเคล็ดวิชากระบี่อัสนีจวนขึ้นใจ ไม่ช้า เขาก็ชักกระบี่ออกมาเตรียมพร้อมฝึก
ในลานฝึกเวลานั้นเอง กลุ่มเมฆบนท้องฟ้าก็เริ่มก่อขึ้นเหนือลานฝึก พร้อมส่งเสียงคำรามดังระงมไปถ้วนทั่ว ทุกครั้งที่หยางเสี่ยวเทียนฟาดฟันกระบี่ในมือ ลำแสงจากอัสนีจะพลันปรากฏเปล่งประกายวับขึ้น ยิ่งกวัดแกว่งมากเท่าไร อัสนีก็จะยิ่งทวีความรุนแรงตามไปด้วย
พอครั้นที่หยางเสี่ยวเทียนฝึกฝนจวนเพลาเข้าเที่ยงวัน กระบี่ก็ผสานเข้ากับอัสนีฟาดฟันออกไปไกลถึงสิบฉื่อ!
เพลงกระบี่อัสนี จะทำให้กระบี่มีความสามารถดูดซับพลังอัสนีจากสวรรค์และโลก คราใดที่ชักกระบี่ออกมาฟาดฟัน ปราณอัสนีจะพุ่งไปข้างหน้าด้วยพลังมหาศาลอย่างมิอาจหยุดยั้งได้
หากปราณอัสนีเพียงปรากฎขึ้น จะถือว่าการฝึกฝนบรรลุขั้นบทเรียนเริ่มต้น เมื่อปราณอัสนีถูกฟันออกไปไกลถึงสามฉื่อ จะถือว่าการฝึกฝนบรรลุขั้นสำเร็จเล็กน้อย
แต่หากยามใดที่ปราณอัสนีพุ่งออกไปไกลถึงสิบฉื่อ จะถือว่าการฝึกฝน บรรลุขั้นฉลาดล้ำเลิศ
หลังฝึกฝนเพลงกระบี่อัสนีจนบรรลุถึงขั้นฉลาดล้ำเลิศแล้ว หยางเสี่ยวเทียนก็หยุดเคลื่อนไหว เก็บกระบี่เข้าฝักแล้วเดินออกจากลานฝึกอย่างใจเย็น
พอก้าวเท้าผ่านเข้าห้องและปิดบานประตูลง หยางเสี่ยวเทียนก็ตระเตรียมสมุนไพรที่นำออกจากแหวนเตาหลอม วางเรียงกันบนโต๊ะไม้เนื้อดี แล้วเริ่มลงมือหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการ ตามกำหนดเวลาที่เขานิยามไว้ในแต่ละวัน
ตลอดทั้งเดือน เขาหลอมโอสถอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระดับการหลอมโอสถของหยางเสี่ยวเทียน ก้าวหน้าขึ้นมาก ทั้งยังสามารถควบคุมไฟแห่งสวรรค์และโลกได้เชียวชาญดั่งใจนึก
และทักษะการหลอมโอสถของเขาก็พัฒนาขึ้นมากเช่นกัน ดังนั้น ภายในหนึ่งชั่วยามครึ่ง เขาก็สามารถหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว
แม้ครานี้โอสถวิญญาณสี่ประการจะยังไม่ถึงระดับสวรรค์ แต่กลับบริสุทธิ์ยิ่งกว่าทุกครั้งมาก
อย่างไร หยางเสี่ยวเทียนก็มิคิดย่อท้อ เขาหยุดนั่งพักอยู่ครู่ แล้วจึงเริ่มลงมือหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการเม็ดที่สองต่อไปจนเสร็จ แต่กระนั้น โอสถเม็ดที่สองก็ยังคงเป็นระดับสูงสุด
พอหยางเสี่ยวเทียนเงยหน้าละสายตาจากเตาหลอม หันแลทางหน้าต่างที่เปิดกว้างและพบว่านภาพลันวิกาลแล้ว เขาจึงยันตัวลุกขึ้น กลับไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงหยกเย็น เริ่มบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่มทันที
กระแสลมรอบตัวพลันพัดวนจนน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง ไม่ช้าภาพธรรมมังกรสี่ตัวที่เป็นปราณแท้ ก็ปรากฎขึ้น แต่ละตัวมีขนาดสิบฉื่อ เคลื่อนตัววันเวียนข้างกายหยางเสี่ยวเทียนมิห่างหาย
เมื่อสองวันก่อน เขาได้ทะลวงเข้าสู่ระดับสี่ของขั้นเซียนสวรรค์ ทั้งยังปลุกปราณแท้มังกรตัวที่สี่ให้ตื่นขึ้นมาได้อีกต่างหาก