บทที่ 69 สมาคมนักปรุงโอสถ
สมาคมนักปรุงโอสถ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเสินเจี้ยน และไม่ไกลจากสำนักเสินเจี้ยนมากนัก
หยางเสี่ยวเทียนจึงใช้เวลามาถึงโถงสมาคมนักปรุงโอสถอย่างรวดเร็ว
หอของสมาคมนักปรุงโอสถถูกสร้างขึ้นได้ยิ่งใหญ่คู่ควรต่อการเป็นสถานที่ของเหล่าผู้มีเกียรติ ทั้งกว้างขวางใหญ่โต พื้นผิวผนังภายนอกส่วนใหญ่ ล้วนก่อขึ้นจากผลึกศิลาหายากต่างๆ ได้เห็นเพียงเท่านี้ ก็ทำเอาประทับใจยิ่งกว่าสำนักเสินเจี้ยนเสียอีก
หยางเสี่ยวเทียนได้แต่ยืนนิ่งขณะทอดถอนหายใจกับภาพเบื้องหน้า รุ่งเรืองสมเป็นสมาคมนักปรุงโอสถจริงๆ
ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักปรุงโอสถ ล้วนแล้วแต่มั่งคั่งร่ำรวยกันทั้งนั้น ซึ่งหยางเสี่ยวเทียนเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี
เพราะตลอดทั้งเดือนนี้ เงินที่เขาได้รับจากการขายโอสถเพียงอย่างเดียว ก็ห้าถึงหกแสนเหรียญทอง
ขณะเขาเดินเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้าให้พอมีเวลาสังเกตโดยรอบ กระทั่งมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้หยางเสี่ยวเทียนประหลาดใจกว่านั้น เพราะด้วยความร่ำรวยแลล้ำค่าเช่นนี้ ประตูของโถงสมาคมนักปรุงโอสถกลับไร้ซึ่งผู้คุมกันใดๆ
หรือไม่มีสิ่งใดต้องกังวลว่าใครจะสร้างปัญหา ประตูจึงไม่จำเป็นต้องได้รับการพิทักษ์เช่นนั้นหรืออย่างไร
หยางเสี่ยวเทียนยังคงก้าวเท้าเข้ามาในโถงของสมาคมนักปรุงโอสถเรื่อยๆ พร้อมสอดส่องสายตาไปทั่วด้วยความตื่นตาเป็นที่สุด
งานประดับตกแต่งโถงหลัก ค่อนข้างดูมีเอกลักษณ์โครงสร้างภายในคล้ายคลึงกับสิ่งปลูกสร้างเชิงยุโรปโบราณ
ผนังทั้งสี่ด้านถูกแกะสลักด้วยจิตรกรรมโบราณ ยิ่งได้มองยิ่งทำให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาแลน่าเกรมขาม
แม้โถงใหญ่จะโล่งเตียนไร้ของตกแต่งใดๆ แต่กลับยิ่งเสริมให้ดูโอ่อ่าด้วยความว่างเปล่าแลกว้างใหญ่ของมัน
ภายใต้พื้นที่โล่งกว้างโอ่โถง กลับพบเพียงชายชราผมเงินยืนนิ่งอยู่โดยลำพัง เขาแหงนหน้าจ้องมองจิตรกรรมโบราณ ด้วยนัยน์ตาชื่นชมและหลงไหล ราวพวกมันเป็นสัญลักษณ์ที่น่าภูมิใจของบรรดานักปรุงโอสถทุกคน
ทันทีที่ชายชราผมสีเงินแว่วยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา จนเขาต้องละสายตาหันกลับมามองยังต้นเสียง ก่อนทันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อพบกับเด็กน้อยอายุแปดหรือเก้าขวบ
ไม่ช้า เขาก็เผยแย้มยิ้มอย่างเอ็นดู แล้วกล่าวกับเด็กน้อยผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าน้ำเสียงเมตตา
“ลูกเอ๋ย ที่นี่คือโถงสมาคมนักปรุงโอสถ เจ้าหลงทางมางั้นหรือ”
หยางเสี่ยวเทียนส่ายศีรษะพลันตอบว่า “ข้ารู้ว่าที่แห่งนี้คือโถงสมาคมนักปรุงโอสถ จึงมาที่นี่ เพื่อขอทดสอบเป็นนักปรุงโอสถ”
“ทดสอบเป็นนักปรุงโอสถงั้นหรือ” ชายชราผมเงินสะดุ้งทันทีที่ได้ยิน
แล้วเขาก็หัวเราะออกมาเต็มเสียงจวนไหล่ไหวสั่น “ฮ่า ฮ่า ฮ่า… เจ้าเด็กน้อย เจ้าน่ะหรืออยากสอบเป็นนักปรุงโอสถ”
ส่วนมากนั้น ผู้ที่มาขอทดสอบเป็นนักปรุงโอสถ อายุน้อยสุดก็สิบสี่หรือสิบห้าปีขึ้นไป
ซึ่งไม่เคยมีเด็กอายุแปดขวบ ดั่งเช่นหยางเสี่ยวเทียนมาขอทดสอบเป็นนักปรุงโอสถมาก่อน
เด็กอายุเพียงแปดขวบ จะสามารถทำอะไรได้กัน แค่เรื่องสัมผัสทางจิตวิญญาณก็คงไม่รู้กระมัง
ในวัยเท่านี้ เกรงว่าคงจะไม่รู้จักสมุนไพรบางชนิดหรือจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ กระนั้น เขายังจะอยากทดสอบเป็นนักปรุงโอสถอีกงั้นหรือ
ไม่น่าแปลกใจที่ชายชราผมเงินผู้นี้จะหัวเราะออกมา
แน่นอนว่าเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเขา ไม่ได้มีเจตนาร้ายแอบแฝงแต่อย่างใด เพียงรู้สึกเอ็นดูกับวาจาไร้เดียงสาของเด็กผู้นี้เท่านั้น
ซึ่งชายชราผมเงินนี้ มิใช่ใครอื่นนอกจากหลี่เหวิน หนึ่งในผู้นำของสมาคมนักปรุงโอสถผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่แห่งอาณาจักรเสินไห่
หลี่เหวินผู้นี้ ยังเป็นถึงปรมาจารย์อาวุโสใหญ่ ของหอหลักสมาคมนักปรุงโอสถ แห่งอาณาจักรเสินไห่อีกด้วย
ซึ่งหลินหยวน ปรมาจารย์ของสมาคมนักปรุงโอสถแห่งเมืองเสินเจี้ยน ก็เป็นหนึ่งในศิษย์สายตรงของเขา
เนื่องจากหลี่เหวินเพิ่งมาถึงเมืองเสินเจี้ยนเช้านี้ อีกทั้งยังมิใคร่เปิดเผยการมาเยือนของตน จึงไม่มีใครทราบเรื่องนี้ นอกเสียจากหลินหยวนศิษย์เขา
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าบอกว่าต้องการทดสอบเป็นนักปรุงโอสถ เช่นนั้น รู้หรือไม่ว่าต้องมีเงื่อนไขอะไรบ้าง จึงจะสามารถเป็นนักปรุงโอสถได้”
หลี่เหวินมองหยางเสี่ยวเทียน ขณะแสดงรอยยิ้มในดวงตาหาเด็กน้อยผู้มีใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลา แลดวงตาคมคายแฝงด้วยความสุขุม ดูเฉลียวฉลาดไม่เหมือนเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน
หยางเสี่ยวเทียนเปิดปากตอบ “ข้ารู้ ต้องมีความเข้าใจในสมุนไพรนานาชนิด มีสัมผัสทางจิตวิญญาณ และสามารถสัมผัสถึงไฟแห่งสวรรค์และโลกได้”
หลี่เหวินหัวเราะเบาๆ พลางปรบมือและกล่าวว่า “ฮ่า ฮ่า… ดี ดีมาก ดูเหมือนเจ้าจะมีความรู้ค่อนข้างมากทีเดียว”
เวลานี้เอง หลินหยวนปรมาจารย์ของหอสมาคมนักปรุงโอสถแห่งเมืองเสินเจี้ยน ก็เดินเข้ามาทันประสบกับความประหลาดใจ เมื่อเห็นอาจารย์ของตน ยืนสนทนาอย่างสนุกสนานกับเด็กน้อยอายุราวแปดขวบ
ครั้นที่ย่างกรายเข้ามาร่วมสนทนา หลินหยวนก็เผยยิ้มเมตตาเฉกเช่นเดียวกันกับหลี่เหวิน ทันทีที่ได้ทราบว่าหยางเสี่ยวเทียนมาขอทดสอบเป็นนักปรุงโอสถ
“ลูกเอ๋ย หากเจ้าสามารถหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับต่ำสำเร็จได้ภายในสามชั่วยาม ข้าจะให้ข้อยกเว้นแก่เจ้าเป็นกรณีพิเศษ และยินดีรับเจ้าเข้าร่วมสมาคมนักปรุงโอสถ” หลี่เหวินแย้มริมฝีปากให้หยางเสี่ยวเทียนด้วยใคร่ชื่นชมต่อความเด็ดเดี่ยว
ตามกฎของสมาคมนักปรุงโอสถ หากสามารถหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณให้สำเร็จภายในหนึ่งชั่วยามครึ่ง จะถือว่าผ่านการทดสอบและกลายเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่งดาว
ซึ่งเมื่อพินิจจากอายุของหยางเสี่ยวเทียน หลี่เหวินจึงให้เวลาแก่หยางเสี่ยวเทียนมากถึงสามชั่วยาม เพื่อหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณให้สำเร็จ
“ท่านไม่จำเป็นต้องละเว้น” เมื่อหยางเสี่ยวเทียนได้ยินสิ่งนี้ ก็ส่ายศีรษะปฏิเสธทันที
แล้วกล่าวอีกว่า “เมื่อกฏของสมาคมกำหนดไว้ว่าหนึ่งชั่วยามครึ่ง เช่นนั้นข้าก็จะใช้หนึ่งชั่วยามครึ่งเหมือนคนอื่นๆ เช่นกัน”
อีกอย่าง ตอนนี้เขาสามารถหลอมโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับสวรรค์จนสำเร็จได้ โดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งในสี่ชั่วยามเท่านั้น สำมะหาอะไรกับโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับต่ำ ไยต้องใช้เวลามากมายขนาดนั้นด้วยเล่า
ด้วยทักษะการหลอมโอสถเพลานี้ของเขา การจะหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับต่ำให้สำเร็จได้ เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว
หลี่เหวินได้ยินหยางเสี่ยวเทียนกล่าวปฏิเสธรับข้อละเว้น จึงหันมองหน้าหลินหยวนพลางยิ้มชื่นชมถึงความชอบธรรมของเขายิ่งนัก