แก่นเวทย์ และ จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ
กองไฟลุกโชนอยู่บนพื้นดินที่ถูกถางหญ้าเอาไว้เพื่อไม่ให้ไฟลามไปไกล มีร่างชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งย่างเนื้อเสียบไม้ เพื่อจะได้กินเป็นอาหารสำหรับค่ำนี้
“เจ้านี่เรียกว่าแก่นเวทย์รึ ?” ชายหนุ่มถือก้อนคริสตัลสีฟ้าในมือพลิกไปมาก่อนจะกล่าวถาม เขาได้รับแก่นเวทย์มาจากการผ่าร่างของมอนสเตอร์หมูป่าตามคำแนะนำของหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“ใช่แล้ว สำหรับผู้ปลุกพลังมันมีประโยชน์มากเลยล่ะ มันช่วยฟื้นฟูหรือเพิ่มพลังเวทย์ให้ได้ แต่ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนจะไม่ใช้งานมันโดยตรง” หญิงสาวที่ได้ยินชายหนุ่มกล่าวออกมาเธอเลยอธิบายให้ฟังเพิ่มเติม
หลังจากที่พวกเขาจัดการมอนสเตอร์หมูป่าลงได้สำเร็จ ก็ได้ช่วยกันตัดร่างของพวกมันเพื่อหาแก่นพลังเวทย์ โดยตอนแรกนั้นชายหนุ่มไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย แต่หญิงสาวก็พยายามคะยั้นคะยอให้เขาเก็บมันเอาไว้ แต่ด้วยความที่ชายหนุ่มยังไม่ได้เป็นผู้ปลุกพลังจึงยังไม่มีมิติเก็บของ
หญิงสาวจึงรับฝากไว้ให้ก่อน ถึงในเมืองแล้วจะคืนให้ชายหนุ่มทั้งหมด ถึงชายหนุ่มจะบอกให้เธอเก็บไว้ใช้เอง แต่เธอก็ไม่มีสิทธิทำอย่างนั้นหรอก เพราะเขาเป็นคนช่วยชีวิตเธอไว้ เธอจะไปเอาเปรียบเขาได้ยังไง
“อืม ดูเหมือนจะกินได้สินะ” ชายหนุ่มหยิบเนื้อที่สุกแล้วขึ้นมากัดดู หลังเคี้ยวไปสักพักเขาก็กล่าวออกมา
“แน่นอนสิ พวกมอนสเตอร์ส่วนใหญ่ล้วนกินได้ทั้งนั้น ถ้ามันไม่ใช่สัตว์มีพิษ” เซรีนที่ได้ยินเลยกล่าวออกมา เธอนำเนื้อที่ย่างสุกแล้วมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วค่อยกินเข้าไป
“นอกจากนี้พวกมันช่วยเพิ่มพลังเวทย์กับความแข็งแกร่งให้ได้นิดหน่อยด้วยนะ ผู้คนส่วนใหญ่เลยนิยมกินกัน ความจริงถ้าเราขนมันออกไปได้ก็น่าจะขายได้ราคาดีเลยล่ะ แต่เสียดายที่ในตอนนี้ป่าแห่งนี้มันอันตรายกว่าปกติ” หญิงสาวกล่าวต่อ เธอไม่คิดเลยว่าป่าแห่งนี้จะมีมอนสเตอร์ระดับสูงโผล่ออกมาได้ เพราะแค่มอนสเตอร์ระดับหนึ่งและสองก็น่ากลัวมากแล้ว แต่วันนี้เธอกลับได้เจอมอนสเตอร์ระดับสามเป็นสิบตัว
“เจ้าช่วยอธิบายเรื่องแก่นเวทย์ให้ข้าฟังอย่างละเอียดจะได้หรือไม่ ?” ชายหนุ่มยังไม่ละความสนใจจากก้อนผลึกในมือ เพราะเขารู้สึกว่ามันคล้ายกันอย่างมาก กับก้อนคริสตัลพลังงานที่ได้จากมอนสเตอร์ในโลกก่อนของเขา
“ได้สิ” หญิงสาวตอบรับก่อนจะอธิบายออกมาอย่างละเอียด
แก่นเวทย์เหล่านี้คือการตกผลึกของพลังเวทย์ภายในตัวของมอนสเตอร์ ซึ่งมันสามารถใช้ฟื้นฟูพลังเวทย์และเพิ่มพลังเวทย์ได้โดยตรงก็จริง แต่ก็ไม่มีคนใช้งานแบบนั้นสักเท่าไหร่ เพราะการใช้งานโดยตรงจะดูดซึมพลังเวทย์จากแก่นเวทย์ได้น้อยมาก
ผู้ปลุกพลังพยายามคิดหาวิธีมาเนิ่นนาน จนได้รู้ว่าการนำมันไปสังเคราะห์ในรูปแบบต่าง ๆ ถึงจะได้รับประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าการทำเป็นยา ทำวงจรเวทย์ ทำอาวุธ ชุดเกราะ ล้วนเป็นวิธีดึงพลังเวทย์ในแก่นเวทย์ออกมาได้จนถึงขีดสุด
ทำให้แก่นเวทย์เป็นของที่ซื้อของกันอย่างแพร่หลายในราคาที่สูง ยิ่งรับของแก่นเวทย์สูงมากเท่าไหร่ ราคาซื้อขายก็ยิ่งสูงมากกว่านั้น
‘คล้ายกันมากจริง ๆ แต่ในโลกของเราไม่มีพวกทักษะ วิชา การใช้พลังแบบนี้’ ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ในใจ บนโลกของเขาแก่นเวทย์พวกนี้มีประโยชน์อย่างมากเช่นกันในฐานะแหล่งพลังงาน พวกเขาใช้แก่นเวทย์เหล่านี้เป็นก้อนพลังในการขับเคลื่อนปืนเลเซอร์ อาวุธ ชุดเกราะ รวมถึงจ่ายไฟให้ฐานทัพต่าง ๆ
“แล้วข้าจะใช้พลังเวทย์ได้ยังไง ?” ชายหนุ่มกล่าวถามออกมาด้วยความสนใจ
ก่อนหน้านี้เขาได้เห็นหญิงสาวเรียกไฟออกมาจากมือเพื่อใช้ในการก่อกองไฟ โดยเธอได้บอกกับเขาว่าเธอเป็นผู้ปลุกพลังที่ได้คุณสมบัติเป็นการใช้ไฟ
ครึ่งหลัง
“นายยังไม่เคยเข้ารับการปลุกพลังเลยใช่ไหม ?” หญิงสาวถามขึ้นมาอีกครั้ง ถึงก่อนหน้านี้จะได้คำตอบมาแล้วแต่เธอก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่
“เจ้าช่วยอธิบายคำว่าผู้ปลุกพลังให้ข้าฟังได้หรือไม่ ?” ชายหนุ่มจึงถามกลับไป เขาได้ยินคำนี้มาหลายรอบแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรอยู่ดี
“อืมม นี่นายจำอะไรไม่ได้เลยใช่ไหม” หญิงสาวมองชายตรงหน้าอย่างประหลาดใจ
“ใช่ ข้าตื่นมาก็จำได้แค่ชื่อตัวเองและเรื่องบางอย่างเท่านั้น ถ้าไม่รบกวนจนเกิดไปเจ้าช่วยเล่าเรื่องของโลกใบนี้ให้ข้าฟังอย่างละเอียดทีเถอะ ทั้งเรื่องมอนสเตอร์เหล่านี้ ผู้ปลุกพลัง สิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นจะต้องรับรู้” ชายหนุ่มกล่าวออกมาถึงสิ่งที่เขาต้องการจะรู้
“ได้สิ นายตั้งใจฟังให้ดีล่ะ” หญิงสาวกล่าวออกมา
แม้จะติดใจอยู่บ้างแต่ชายตรงหน้าบอกว่าเขาความจำเสื่อม แถมเรื่องพวกนี้บอกเล่ากันไปก็ไม่ใช่ความลับอะไร นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ช่วยชีวิตเธอเอาไว้อีกด้วย เธอเลยยินดีที่จะบอกเขาทุกอย่างเท่าที่ทำได้
“โลกใบนี้ก็เป็นโลกปกตินั่นแหละ มีเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ สังคมการใช้ชีวิตแบบธรรมดา จนกระทั่งเมื่อสิบปีก่อน ได้มีเหตุการณ์โกลาหลเกิดขึ้นทั่วโลก มันเป็นวันแห่งฝันร้ายเลยล่ะ...” หญิงสาวเกริ่นขึ้นมาก่อนจะนิ่งไปเล็กน้อย เธอนึกย้อนกลับไปเมื่อวันนั้น วันที่เธอได้สูญเสีย พี่ชายของเธอไป ทำให้ครอบครัวของเธอเหลือเพียงแค่พ่อแม่ ตัวเธอ และน้องชายอีกคนเท่านั้น
“วันนั้นได้มีหอคอยสีดำทมิฬ ความสูงของมันสูงจนเกือบออกนอกโลกปรากฏขึ้นบนหลายประเทศในโลกแห่งนี้ อาวุธทุกชนิดของมนุษยชาติไม่อาจทำอะไรหาคอยแห่งนี้ได้ มันตั้งตะหง่านท้าทายทุกสายตาโดยไม่ไหวติง”
“ที่ชั้นล่างสุดของหอคอย มีประตูขนาดยักษ์อยู่บานหนึ่งในตอนแรกสุดไม่มีประเทศไหนกล้าเปิดมันออก จนวันหนึ่ง ประเทศเกาหลีของเราก็ได้เปิดมันออกจนได้” หญิงสาวเล่าถึงตรงนี้เธอก็หยิบน้ำเปล่าขึ้นมาจิบ ก่อนจะเรียกน้ำเปล่าอีกขวดจากมิติเก็บของออกมายื่นให้
“ขอบคุณ” ชายหนุ่มกล่าวออกมาพลางยื่นมือไปรับน้ำมาดื่ม
“หลังจากที่ใช้กำลังคนและเทคโนโลยีมากมาย ประเทศเกาหลีก็ได้เปิดประตูชั้นแรกของหอคอยได้ในที่สุด ก็เปิดมันออกได้ หอคอยแห่งนี้มีคนลองวัดโดยรอบแล้วมันมีเนื้อที่ประมาณ 35,000 ตารางวา” หญิงสาวทำมือให้ชายหนุ่มดูว่ามันใหญ่ขนาดไหน
“ชั้นแรกของหอคอยนั้นไม่มีอะไรเลย มันว่างเปล่าทั้งหมด พื้นก็เป็นเหมือนพื้นดินราบเรียบปกติ แต่ข้างในกลับมีแสงสว่างทั้ง ๆ ที่มันปิดทึบทุกด้าน มีเพียงสองสิ่งที่อยู่ข้างในนั้น มันก็คือแท่นวาร์ปขนาดใหญ่ และ แท่นปลุกพลัง ทั้งสองถูกต้องเอาไว้ห่างกันสิบเมตรตรงกลางห้องชั้นแรก”
“ในตอนแรกพวกเขาก็ส่งพวกโดรน หรือสิ่งไม่มีชีวิตเข้าไปในแท่นวาร์ปนั้นก่อน จึงพบว่าพวกมันหายไป! โดรนที่ส่งไปสัญญาณได้ขาดหายลงดื้อ ๆ จีพีเอสก็ไม่อาจระบุตำแหน่งได้”
“สุดท้ายจึงได้มีหน่วยกล้าตายถูกส่งเข้าไป หลังจากร่างของหน่วยกล้าตายได้ไปยืนบนแท่นนั้น พวกเขาก็ได้หายไป แต่ผ่านไปห้านาที พวกเขาก็กลับออกมาพร้อมกับข่าวใหญ่!”
“เบื้องหลังแท่นวาร์ปคือโลกอีกใบ! มันเป็นโลกที่มีพื้นดิน ท้องฟ้า มอนสเตอร์มากมาย หน่วยกล้าตายลองยิงปืน ขว้างระเบิด ใช้ทุกอาวุธไม่อาจทำอะไรมันได้ จึงได้หนีกลับมาผ่านแท่นวาร์ป โชคดีที่มันไม่อาจตามมาได้” มาถึงตรงนี้เธอก็ได้หยุดพักหายใจ เพื่อดูว่าชายหนุ่มมีคำถามอะไรไหม เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มพยักหน้าให้เล่าต่อเธอจึงกล่าวออกมา
“พวกเขาเลยพักเรื่องแท่นวาร์ปไว้ก่อน และหันไปสนใจในแท่นปลุกพลังด้านข้าง น่าเสียดายที่ไม่อาจทำความเข้าใจ รวมถึงใช้งานแท่นนั้นได้”
“หลังจากนั้นประเทศเกาหลีก็ได้ปิดข่าวเรื่องนี้เอาไว้ พวกเขาพยายามทุ่มเททรัพยากรทุกอย่างเพื่อสำรวจดินแดนหลังแท่นวาร์ปแห่งนั้น แต่นอกจากได้ต้นไม้ ใบหญ้า หรือน้ำในทะเลสาบกลับมาบางส่วน ก็ไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก แถมคนที่ถูกส่งไปก็ยังถูกมอนสเตอร์ฆ่าตายอีกด้วย”
“แต่ถึงจะเก็บข่าวไว้ดียังไง หลังผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ประเทศอื่น ๆ ก็ได้รู้ข่าวและเข้ายึดชั้นแรกของหอคอยกัน จนกระทั่งหอคอยแห่งสุดท้ายถูกเปิดออก มันก็เป็นชนวนให้เหตุการณ์แห่งหายนะได้เกิดขึ้น” หญิงสาวกล่าวจบก็หยิบเนื้อขึ้นมากินไปหนึ่งคำ เธอเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเหมือนกำลังดำดิ่งกับเรื่องราว
‘น่าสนใจจริง ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแตกต่างจากโลกของข้าอยู่บ้าง’ ชายหนุ่มคิดในใจ เขาก็หยิบเนื้อหมูป่าย่างขึ้นมากินเช่นกัน
ดูเหมือนโลกแห่งนี้จะมีปริศนาอีกมากมายนัก...