บทที่ 68 ใคร่ฝึกฝนเพลงกระบี่อัสนี
“ขอบคุณนายท่าน”
จู่ๆ หลัวชิงก็หลั่งน้ำตาทิ้งตัวคุกเข่าลง ขณะกล่าวคำขอบคุณน้ำเสียงปลื้มเปรมอันเอ่อล้นจากก้นบึ้งของจิตใจ
“หากไม่ใช่เพราะนายท่าน ข้าหลัวชิงผู้นี้ คงเป็นเพียงทาสในกรงขังที่ไร้ค่า มิแตกต่างจากขยะแต่อย่างใด”
หยางเสี่ยวเทียนรีบพยุงหลัวชิงลุกขึ้นทันควัน พร้อมกล่าวด้วยความจริงใจ “ลุกขึ้นเถิด เจ้าไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้ข้าอีกต่อไป”
ได้ยินเช่นนี้ หลัวชิงก็ยกมือขึ้นกำหมัดผสานแน่นด้วยความเคารพ กล่าวว่า “ขอรับ นายท่าน”
“จากนี้ไป อย่าเรียกข้าว่านายท่านอีก เรียกข้าว่านายน้อยก็พอ” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวน้ำคำเคร่งขรึม
หลัวชิงลังเลอยู่ครู่ ก่อนเห็นสีหน้าเขาจริงจัง จึงต้องพยักหน้า “ขอรับ นายน้อย”
จากนั้นหยางเสี่ยวเทียนจึงให้อัตและอาลี่ออกไปซื้อสุราดีๆ เพื่อเฉลิมฉลอง เมื่อทั้งสองรู้ว่าตันเถียนของหลัวชิงฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์พร้อมกับได้รับพลังยุทธ์คืนมา ก็ต่างรู้สึกปิติยินดีต่อความสำเร็จของหลัวชิงเช่นกัน
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา อัตและอาลี่ล้วนได้รับการชี้แนะแนวทางฝึกฝนเคล็ดวิชาจากหลัวชิง ในความรู้สึกของพวกเขา หลัวชิงผู้นี้นับได้ว่าเป็นทั้งอาจารย์และสหายคนสำคัญ
ตลอดทั้งคืนนั้น หยางเสี่ยวเทียนรวมทั้งสามคน ต่างร่ำสุรากันเมามายจนดึกดื่น
วันรุ่งขึ้น หยางเสี่ยวเทียนก็นำคัมภีร์เคล็ดวิชากระบี่กลับไปหอคัมภีร์ของสำนักเสินเจี้ยน เพื่อแลกเปลี่ยนคัมภีร์วรยุทธเล่มต่อไปเช่นเดิม
แต่ครานี้ เขาตัดสินใจแลกเปลี่ยนเป็นเคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์
เพราะเขาฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ชั้นยอดขั้นเซียนยุทธ์ในหอคัมภีร์ของสำนักทั้งหมดแล้ว ตอนนี้ขั้นต่อไปที่เขาใคร่อยากฝึก คือเคล็ดวิชากระบี่ขั้นเซียนสวรรค์
“อะไรนะ! เจ้าต้องการแลกเปลี่ยนเป็นเคล็ดวิชากระบี่อัสนีงั้นรึ” เมื่อเห็นว่าหยางเสี่ยวเทียนต้องการเปลี่ยนเป็นเคล็ดวิชากระบี่อัสนีวันนี้ ลู่เจ๋อหลินจึงอุทานอย่างตกใจ
“เจ้าแน่ใจงั้นหรือ รู้หรือไม่ว่านี่คือเคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์”
ศิษย์ปีหนึ่งจะฝึกฝนเคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์ได้อย่างไร
นี่คงไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเรื่องตลก
“ข้ารู้” หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้าขณะกล่าวน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่สนใจสีหน้าแลวาจาคล้ายจะปรามาสจากอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
“ทั้งที่เจ้าก็รู้ แล้วยังจะยืมเคล็ดวิชากระบี่อัสนีอยู่อีก” ลู่เจ๋อหลินคิ้วขมวดไม่สบอารมณ์
เขากล่าวเสริม “หยางเสี่ยวเทียน แม้แต่เคล็ดวิชากระบี่ขั้นเซียนยุทธ์ชั้นยอดอย่าง เคล็ดวิชากระบี่ปีศาจแลเคล็ดวิชากระบี่ชางไห่ เจ้ายังไม่สามารถเข้าใจมันได้ แล้วตอนนี้เจ้ายังต้องการเคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์ไปไย”
“หนทางแห่งการบำเพ็ญเซียนนั้น หนึ่งก้าวทิ้งหนึ่งรอยเท้าเอาไว้ เริ่มต้นทีละก้าว อย่างไรก็พัฒนา หากเจ้ายังเดินไม่ได้ แล้วจะฝืนบินไปได้อย่างไร”
ไม่เข้าใจเคล็ดวิชากระบี่ปีศาจและเคล็ดวิชากระบี่ชางไห่ด้วยซ้ำงั้นรึ
หยางเสี่ยวเทียนตะลึงงันอยู่ครู่
ในสายตาของลู่เจ๋อหลินผู้นี้ คิดว่าที่เขาเปลี่ยนเคล็ดวิชากระบี่อยู่บ่อยครั้ง เป็นเพราะไม่เข้าใจอย่างนั้นเองหรือ
หยางเสี่ยวเทียนเพียงทำเฉย ไม่คิดชี้แจงใดๆ แล้วกล่าวออกไป “ทางสำนักไม่ได้มีกฏชัดเจนว่าห้ามศิษย์ปีหนึ่งเรียนรู้เคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์มิใช่หรือ”
ลู่เจ๋อหลินอ้ำอึ้งมิอาจกล่าวโต้แย้งอันใดได้อีก นอกจากส่ายศรีษะแล้วพลางถอนหายใจอย่างเอือมระอา จากนั้นยื่นคัมภีร์เคล็ดวิชากระบี่อัสนี ให้กับหยางเสี่ยวเทียนอย่างมิเต็มใจนักแต่ก็หาได้มีทางเลือกอื่นไม่
เขาทำได้เพียงยืนมองหยางเสี่ยวเทียนเดินจากไปพร้อมกับเคล็ดวิชากระบี่อัสนีจนลับตา ก็ส่ายศรีษะอีกครั้งก่อนนำเรื่องนี้ไปบอกหูซิง
หลังได้ยินสิ่งนี้ หูซิงก็หัวเราะลั่น “หยางเสี่ยวเทียนต้องการฝึกฝนเพลงกระบี่อัสนีจริงนะหรือ ฮ่า ฮ่า…”
เฉิงเป้ยเป้ยและหยางจงก็อยู่ที่นั่นด้วย นางยิ้มเยาะเย้ยแล้วกล่าวว่า “หยางเสี่ยวเทียนคนนี้หลงผิดคิดว่าตนเป็นอัจฉริยะด้านวรยุทธหรืออย่างไร! เพียงหนึ่งเดือนหลังจากเข้าสำนักก็จะฝึกฝนเพลงกระบี่ขั้นเซียนสวรรค์เสียแล้ว!”
หยางจงยิ้มเจื่อนพลางกล่าวขึ้น “ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเชี่ยวชาญเพลงกระบี่อัสนีขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นได้”
มีเพียงคนไม่กี่คนหัวเราะออก เพราะเรื่องนี้เกินสิ่งที่ศิษย์ส่วนใหญ่คิดไว้มาก
หูซิงจึงนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวกับหลินหยงอาจารย์เขา
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ศิษย์นำมารายงาน หลินหยงและเฉินหยวนก็เป็นอีกผู้ที่ตกตะลึงด้วยยากจะเชื่อ
“อะไรนะ! เขาเปลี่ยนคัมภีร์เคล็ดวิชาขั้นเซียนยุทธ์ชั้นยอดทุกวัน ตอนนี้เขายังเปลี่ยนคัมภีร์เคล็ดวิชาขั้นเซียนสวรรค์งั้นหรือ” หลินหยงเป็นเจ้าสำนักมานานหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยได้ยินเรื่องเช่นนี้
เฉินหยวนส่ายศรีษะพลางฉีกยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าไม่เคยคิดเลย ว่าเด็กคนนี้จะมีความทะเยอทะยานมากขนาดนี้”
จากนั้นเขาจึงหันไปกล่าวกับหลินหยง “ไว้ข้าจะหาโอกาสไปตักเตือนเขาให้”
หากเป็นศิษย์คนอื่น เขาจะไม่ใส่ใจกับมันเลย แต่หยางเสี่ยวเทียนคือคนที่เขาต่อสู้เพื่อให้อยู่ในสำนักต่อได้
อีกทั้งเขายังไม่ต้องการให้เด็กคนนี้หลงทางในการฝึกวรยุทธ จึงอาจต้องไปแนะนำแนวทางการฝึกยุทธ์ให้กับหยางเสี่ยวเทียนเสียหน่อย
เมื่อหยางเสี่ยวเทียนออกจากหอคัมภีร์ไปพร้อมกับเคล็ดวิชากระบี่อัสนี เขายังไม่คิดจะกลับจวนอย่างเช่นทุกครา แต่มุ่งหน้าต่อไปยังโถงสมาคมนักปรุงโอสถประจำเมือง
เป็นเพลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่เขาอยู่ ณ เมืองเสินเจี้ยนแห่งนี้
เนื่องด้วยเวลาอันมีจำกัดแลใช้ไปกับการฝึกปรือทุกวัน จุดมุ่งหมายที่ตนตั้งใจอยากทำแต่เดิมที เลยทำได้เพียงต้องเลื่อนออกไปก่อน
พอเรื่องยุ่งอยู่กับการหลอมโอสถและฝึกเพลงกระบี่คลายเบาลง วันนี้ เขาจึงถือโอกาสมาทำการทดสอบเป็นนักปรุงโอสถ