ตอนที่แล้วบทที่ 18: พลิกผัน (3)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 20: การอ่าน (1)  

บทที่ 19: พลิกผัน (4)


บทที่ 19: พลิกผัน (4)

[ขอแก้ชื่อหนังสั้นจาก การไล่ผี เป็น ปราบผี นะครับ]

เมื่อนักแสดงทุกคนต้องอยู่บนทางแยกของการตัดสินใจเลือกผลงานการแสดง พวกเขาล้วนจำเป็นต้องมีคุณสมบัติอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ สายตาที่มองเห็นแก่นแท้ของผลงาน สิ่งนี้มักถูกเรียกว่าสัญชาตญาณหรือเซนส์ บางทีก็เรียกว่าสายตาอันเฉียบคม จนบ่อยครั้งมันมักจะมีนักแสดงบางคนที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในทุกผลงานที่พวกเขาร่วมแสดง

ทว่า มันไม่ใช่สิ่งที่พัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน

มันแทบไม่ต่างจากพรสวรรค์ที่ควรจะมีมาตั้งแต่เกิด เป็นพลังของสัญชาตญาณที่สามารถโค่นล้มเหตุผลได้อย่างง่ายดายในพริบตา ถ้าหากนักแสดงมีสิ่งนี้อยู่ติดตัว พวกเขาจะโชคดีมาก จนอาจถึงขั้นเรียกว่าเป็นตัวตนซึ่งไม่อาจหาเหตุผลมาอธิบายได้เลยกระมัง?

อย่างไรก็ตาม มีนักแสดงเพียงไม่กี่คนที่ครอบครองสิ่งที่ว่านี้ จะว่าไปพักหลังมานี้ก็ไม่ค่อยมีนักแสดงอย่างที่ว่านักหรอก

PDซงมันวู ผู้คร่ำหวอดในวงการมานานกว่าทศวรรษก็เคยเจอเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่จู่ ๆ คังวูจินก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันในวงการบันเทิง สัตว์ประหลาดอัจฉริยะผู้นี้จะมีสัญชาตญาณอย่างที่ว่ามาจริง ๆ หรือ?

ไม่นานนัก PDซงมันวูก็ถามคังวูจินอีกครั้งอย่างใจเย็น เพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายเข้าใจ

"คุณกำลังจะบอกว่า...คุณเลือกหนังสั้น 'ปราบผี' แค่...เพราะสัญชาตญาณงั้นเหรอครับ?"

คังอูจินหัวเราะคิกคักเบา ๆ ด้วยท่าทีอันแสนมาดมั่น ในใจผุดคำถามหนึ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำไมพวกเขาถึงต้องดูแปลกใจขนาดนั้นกัน? แค่บอกว่าใช้สัญชาตญาณ มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดขนาดนั้นเลยเหรอ? ก็เห็นเป็นคำทั่วไปที่ใช้กันทุกที่ไม่ใช่เหรอ? ด้วยความที่ยังไม่คุ้นเคยกับแวดวงบันเทิง คำถามแบบนี้จึงดูเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา แต่เขาคงไม่รู้เลยว่า "สัญชาตญาณ" นั้นมีค่าสำหรับนักแสดงมากแค่ไหน

แต่ไม่ว่ายังไง เขาพลั้งปากพูดออกไปแล้ว คังวูจินจึงได้แต่เพียงเสริมแต่งคำพูดของเขาต่อ

"เนื้อหาของ 'ปราบผี' ดีครับ แต่สิ่งที่กระตุ้นผมเลยคือสัญชาตญาณ"

"...ว่ายังไงนะ? สัญชาตญาณแบบไหนกัน? คุณคิดว่า 'ปราบผี' จะประสบความสำเร็จงั้นเหรอ?"

เอาอีกแล้ว มีคำถามถูกถามมาอีก แต่ตอนนั้นเอง คังวูจินก็แสร้งทำเป็นมั่นใจอย่างโอ้อวด เพราะเขาคิดว่าอันดับที่มิติว่างเปล่าบอกเขามา มันอาจจะสามารถคาดการณ์ความสำเร็จของตัวบทได้

"ครับ ถึงมันอาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จดังเปรี้ยงปร้าง แต่ 'ปราบผี' น่าจะไปได้สวยครับ"

"ความมั่นใจแบบไหนกันเนี่ย..."

คำพูดของคังวูจินที่ปราศจากความลังเลแม้แต่น้อยนั้นดูซื่อตรงยิ่ง อย่างน้อยPDซงมันวูกับนักเขียนพัคอึนมีที่ได้เห็นคังอูจินก็รู้สึกเช่นนั้น ซึ่งทางด้านนักเขียนพัคอึนมี ผู้ที่มักต้องสร้างสรรค์ผลงานอยู่ตลอดด้วยสัญชาตญาณอยู่แล้วย่อมรู้สึกอดไม่ได้ที่จะสงสัย

'ทำไมเขาถึงดูแน่วแน่มากขนาดนั้นได้กัน?'

คังวูจินดูแปลกเป็นอย่างมาก สิ่งที่เขาพูดออกมาหาได้แฝงไปด้วยความหยิ่งยโสหรือความกล้าบ้าบิ่น มันเหมือนเขามั่นใจอย่างบริสุทธิ์ นักเขียนพัคอึนมีจึงถอดที่คาดผมออกแล้วโน้มตัวไปหาคังวูจิน

"คุณไม่คิดว่าประมาทเกินไปหน่อยเหรอ? ตอนนี้ที่ต้องรับบทละครใหญ่ของเรา มันเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณไม่ใช่หรือคะ?"

“เหรอครับ?”

มีเพียงนักเขียนพัคอึนมีเท่านั้นที่ดูจริงจัง ทางด้านคังวูจินกลับดูเฉยเมยยิ่ง เมื่อได้ยินคำตอบแบบนี้ เธอจึงได้แต่เดาะลิ้นเบา ๆ

'ผู้ชายคนนี้...เขาบ้าไปแล้ว! มีนักแสดงแบบนี้ที่ไหนบนโลกกัน!'

เขาแตกต่างจากนักแสดงที่มีอยู่อย่างดาษดื่นทั่วไป ซึ่งอีกฝั่งหนึ่ง PDซงมันวูก็พินิจวิเคราะห์วิธีการตัดสินใจของคังวูจินอย่างใจเย็น

'อดีตของเขาไม่ชัดเจน เขาฝึกฝนทักษะการแสดงมานานหลายปี อาจมากกว่าสิบปี และจะโผล่มาแสดงก็ต่อเมื่อเขาต้องการเท่านั้น โดยอ้างว่ามันเป็นแค่งานอดิเรก”

นอกจากนี้แล้ว คังวูจินยังเข้าร่วมสองงานทันทีหลังจากปรากฏตัวขึ้นมา มีทั้งละครฟอร์มยักษ์และหนังสั้น

'ไม่ว่าเรื่องราวมันจะเป็นยังไง ก็คงไม่มีทางหรอกที่นักแสดงหน้าใหม่คนไหนจะสามารถทำอะไรแบบนี้ได้'

หากมีดาวรุ่งพุ่งแรงที่ว่ากันว่ากำลังมีกระแส พวกเขาก็มักจะระมัดระวังเป็นพิเศษในทุกย่างก้าวแรกเสมอ ทำให้ในช่วงเวลานั้น ทางต้นสังกัดจะค่อนข้างละเอียดรอบคอบในการพิจารณาผลงานที่จะรับเขามาพอสมควร

แต่ตอนนี้ คังวูจินยังไม่มีสังกัด

ถึงอย่างนั้น คังวูจินกลับยังคงมั่นใจในสัญชาตญาณของเขา และเลือกผลงานด้วยตัวเขาเอง

'แต่ผลงานที่เขาเลือกมาอย่างมั่นใจคือ 'ปราบผี' หนังสั้นที่ปกติแล้วมักจะไม่ถูกพิจารณาด้วยซ้ำ'

สำหรับนักแสดงหน้าใหม่หรือไร้ชื่อเสียง โอกาสที่ได้ร่วมงานในโปรเจคใหญ่ย่อมดีกว่าเสมอ แถมหากได้ร่วมงานใหญ่แบบ 'ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล' ต่อจากนี้ต่อให้คังวูจินจะนอนอยู่เฉย ๆ ก็สามารถรอคอยโอกาสอื่นที่จะโผล่เข้ามายังได้เลย

'แต่เขากลับเลือก 'ปราบผี' อย่างมั่นใจ’

ตอนนี้เอง PDซงมันวูจ้องมองไปที่ดวงตาอันแน่วแน่ของคังวูจินที่อยู่ตรงข้ามเขา ไม่มีใครสามารถการันตีความสำเร็จของ 'ปราบผี' แต่ถ้า 'ปราบผี' ประสบความสำเร็จจริง ๆ ล่ะก็

'การแสดงที่น่าสะพรึง…นักแสดงผู้มีเสน่ห์อันประหลาด ทั้งความกล้าและสัญชาตญาณอันเฉียบคม'

คังวูจินจะกลายเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมในอนาคตได้อย่างไม่ต้องสงสัย คงไม่มีใครเทียบได้อย่างแน่นอน PDซงมันวูอดไม่ได้ที่จะชื่นชมตัวตนอันแสนประหลาดที่กำลังอยู่เบื้องหน้าเขา

นี่มันจะเกินไปแล้วนะ

'ไอ้หนุ่มคนนี้ขี้โกงเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”

จากนั้น PDซงมันวูก็หัวเราะออกมา

"ฮ่าฮ่า ดูท่าตอนที่ผมจัดตั้งบริษัทรับผลิตสื่อขึ้นมา ผมคงจะต้องไปหาตัวคุณวูจินมาเลือกบทให้แล้วสิ"

ทันใดนั้น นักเขียนพัคอึนมีก็คว้ามือของคังวูจินที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธออย่างกะทันหัน เธอดูตื่นเต้นพอสมควร

“คุณคังวูจินคะ! คิดว่า ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล’ ของเราจะเป็นยังไงคะ?? แต่จะว่าไป เป็นพวกเราต่างหากที่ดึงตัวคุณคังวูจินเข้ามา ไม่ใช่คุณคังวูจินเลือกเอง”

อีกด้านหนึ่ง คังวูจินกลับรู้สึกขยะแขยงเล็กน้อยในใจ นักเขียนคนนี้เคยชินกับการจับมือคนอื่นหรือเปล่าเนี่ย? แต่เพื่อรักษาน้ำใจ เขาจึงค่อย ๆ ผละมือที่ถูกจับไว้อย่างแยบยลแล้วตอบไปว่า

“เรื่องนี้มีพวกคุณสองคนอยู่ มันจะไม่ประสบความสำเร็จได้ยังไงล่ะครับ?”

“คุณพูดอะไรน่ะ! คุณรู้ไหมว่าวงการละครมันยากแค่ไหน! แม้แต่ละครที่มีนักแสดงเบอร์ต้น ๆ ก็ยังแป้กได้เลยนะ!”

อ้าว จริงเหรอ? คังวูจินเองก็ไม่ได้รู้จักวงการละครมากนัก พอเห็นแบบนี้ เขาจึงคิดว่าตัวเองควรจะทำให้พัคอึนมี นักเขียนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาใจเย็นลงหน่อย เพราะเขาเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเรื่อง ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล’ จะประสบความสำเร็จเช่นกัน

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคำตอบของคังวูจินจึงดูเรียบง่าย และค่อนข้างจริงใจด้วย

“ที่ผมรับเล่นเรื่องนี้ เพราะผมคิดว่ามันจะประสบความสำเร็จเช่นกันครับ”

ในตอนนั้นเอง ความรู้สึกโล่งอกและยินดีก็แล่นเข้ามาในใจของนักเขียนพัคอึนมี

“....แบบนี้เองสินะ ถึงว่าทำไมคนเขาถึงนับถือศาสนากัน”

ครู่ต่อมา

PDซงมันวูและนักเขียนพัคอึนมีที่กำลังจี้คังวูจินก็แทบจะดึงกลับเข้าสู่ประเด็นพูดคุยหลักกันไม่ได้ ที่จริงพวกเขาทั้งสองเรียกคังวูจินมาเพราะเรื่องบทละคร หลังตั้งสติสักพักหนึ่ง พัคอึนมีจึงสวมที่คาดผมอีกครั้งและเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาก่อน

“เดิมทีบทมีการเขียนไว้จนถึงตอนที่สี่ แต่ล่าสุด เราได้ปรับบทตั้งแต่ตอนที่สองไป ซึ่งก็คือตอนที่สองถึงสี่”

"คุณปรับบทใหม่งั้นเหรอครับ?"

"ถูกค่ะ แต่เราไม่ได้รื้อโครงเรื่องทั้งหมด แค่ปรับบทให้น้ำหนักไปที่ตัวละครบางตัวมากขึ้น มันเลยอาจจะมีบางส่วนที่ดูขัด ๆ กับตอนแรกนิดหน่อย แน่นอนว่าตรงนั้นก็มีการปรับแก้แล้วเหมือนกันค่ะ"

บททั้งหมดมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย พัคอึนมียิ้มพร้อมรับกองกระดาษที่PDซงมันวูยื่นให้

“ที่จริง หลังได้ชมการแสดงเป็นรองหัวหน้าพัคของคุณคังวูจินแล้ว มันก็เหมือนสูตรโกงชั้นยอดเลยค่ะ มันช่วยจุดประกายความคิดให้ฉันเยอะเลยนะคะ ถ้าคุณลองดูตรงนี้ในช่วงที่สอง ตัวบทพูดและอารมณ์ของรองหัวหน้าพัคจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย...”

จากนั้น นักเขียนพัคอึนมีก็เริ่มอธิบายเกี่ยวกับบทที่ปรับใหม่ของ 'รองหัวหน้าพัค' ซึ่งมันถูกปรับบทมาใหม่อย่างเหมาะสม ดูสนุกอย่างมาก จนคังวูจินก็พลอยตั้งใจฟังไปด้วย มันเหมือนกับว่าเขากำลังเรียนคาบประวัติศาสตร์อันน่าเบื่อเลย…แต่เป็นคาบประวัติศาสตร์ที่สอนเรื่องน่าสนใจไม่หยอกอะไรอย่างนั้นมั้ง?

ผ่านไปหลายสิบนาที

“ฉันจะส่งบทอย่างเป็นทางการตั้งแต่ตอนสองถึงตอนสี่ให้คุณทันทีที่มันออกมานะคะ และนี่คือบทออย่างเป็นทางการสำหรับตอนแรกค่ะ”

นักเขียนพัคอึนมียื่นบทที่ดูค่อนข้างใหม่ให้คังวูจิน มันเป็นบทอย่างเป็นทางการสำหรับตอนแรกของ ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล’

“อย่างที่ฉันบอกไป ตอนแรกมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นกรุณาอ่านทวนอีกครั้งนะคะ”

“เข้าใจแล้วครับ”

เมื่อคังวูจินรับบทหนังสือที่มีช่องสี่เหลี่ยมดำมา PDซงมันวูก็ดูนาฬิกาข้อมือและเปลี่ยนเรื่องคุยต่อ

"คุณคังวูจินครับ ส่วนเรื่องการอ่านบทยังไม่ยืนยันนะครับ เพราะยังต้องจัดตารางนักแสดงอยู่ แต่ก็น่าจะทำเป็นแบบ MT"

การอ่านบทละครงั้นเหรอ? คังวูจินจำได้ว่าเคยค้นหาคำนี้ในเน็ตอยู่

'น่าจะเป็นการรวมตัวเพื่อปรับจูนจังหวะการแสดงของนักแสดงทุกคนก่อนเข้ากองถ่ายทำหลักสินะ?'

คังวูจินรู้สึกทั้งตื่นเต้นและกังวล มันรู้สึกวิเศษมากที่จะได้เห็นนักแสดง แต่เขาก็กังวลเพราะเป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเข้าร่วมงานประเภทนี้

ว่าแต่ MT นี่มัน…? คงไม่ใช่ม่านรูดใช่ไหมนะ?

คังวูจินพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปิดบังสีหน้า และยืนยันว่า MT ที่พูดถึงนี้ใช่อันที่เขารู้จักหรือเปล่า

"คุณบอกว่าแบบ MT ใช่ไหม?"

เมื่อได้ยินดังนั้น PDซงมันวูก็พยักหน้าทันที

“ถูกต้องแล้วครับ อย่างที่คุณรู้ การอ่านบทบางทีก็แค่ให้ทุกคนมารวมตัวกันในห้องอ่านบท แต่ถ้ามีนักแสดงและทีมงานเยอะ เราก็จะทำแบบ MT กันเพื่อให้ทุกคนสามารถประสานจังหวะกันได้”

“อ๋อ ครับ”

“แต่...เอ่อ จริง ๆ การอ่านบทเป็นแค่ข้ออ้าง มันก็เหมือนเป็นการไปเที่ยวพักผ่อนของนักแสดงกับทีมงานนั่นแหละค่ะ ฮ่า ๆ ๆ แล้วเรามีปิ้งย่าง กินเหล้าด้วยนะคะ”

ในตอนนั้นเอง นักเขียนพัคอึนมีตีไหล่ PD ซงมันอูเบา ๆ เพื่อเรียกสติกลับคืนมา ส่วนคังวูจิน ก็เผลอล่องลอยไปกับจินตนาการของตัวเองแล้ว

‘เดี๋ยวก่อนนะ…ฉันจะได้ไปเที่ยวกับคนดังงั้นเหรอ??’

กินปิ้งย่าง ดื่มเหล้ากับคนดังที่เหมือนอยู่คนละโลกกับเขาเหรอ? ครั้งก่อนที่เขาอ่านบท ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล’ เห็นว่ามีรายชื่อนักแสดงระดับแนวหน้าอยู่ งั้นก็รวมถึงฮงฮเยยอนด้วยน่ะสิ

คังวูจินรู้สึกตื่นเต้นมากที่เขาจะได้มีส่วนร่วมกับคนระดับนี้ ไปอยู่สถานที่เดียวกันกับพวกเขา

ต้องขอขอบคุณสำหรับโอกาสนี้ที่มอบให้เลย

'ว้าว ฉันไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลยแฮะ'

อาการประหม่าของคังวูจินเพิ่มขึ้นในทันที ถึงเขาไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่ร่างกายของเขากำลังกระวนกระวายอยู่ ตอนนั้นเอง PDซงมันวูก็พูดต่อ

“ทว่าวันที่มันยังไม่แน่นอนนะครับ เดาคร่าว ๆ อาจจะต้นมีนาคมหรือกลางมีนาคมของเดือนหน้า ถ้าเราไป คุณจะไปด้วยไหมครับคุณวูจิน? มันไม่นานหรอกครับ น่าจะ 2 วัน 1 คืนเองมั้งครับ?”

“....ผมไปได้ครับ”

“ตกลงครับ แล้วก็เราจะอ่านบทอย่างเป็นทางการไปจนถึงตอนสอง คุณเองควรทำความเข้าใจบทมาคร่าว ๆ ก่อนเลยนะครับ เพราะเราจะอ่านกันจนถึงตอนสองที่นั่น แต่ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณคังวูจินคงไม่มีอะไรต้องห่วง”

จากนั้นPDซงมันวูก็อธิบายให้คังวูจินทราบถึงรายละเอียดของตัวละครรองหัวหน้าพัค เรื่องเครื่องแต่งกาย บุคลิกภาพ และอื่น ๆ

“เราจะเตรียมให้เกือบทั้งหมดเลยครับ แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณต้องการอะไร คุณสามารถนำมาเองได้เลย  ถ้ามันใช้การหน้าฉากได้ เราก็จะใช้ครับ”

เมื่อการประชุมทั้งหมดเสร็จสิ้น เวลาก็ผ่านไปประมาณสามชั่วโมง ขณะที่คังวูจินกำลังจะออกจากสตูดิโอไป นักเขียนพัคอึนมีที่กำลังบอกลาเขาก็เดินเข้ามาหา

“คุณคังวูจินคะ ฉันยังไม่รู้เบอร์ของคุณเลยจนถึงตอนนี้ คุณบอกฉันได้ไหมคะ?”

เธอยิ้มและขอเบอร์คังวูจิน ที่จริงPDซงมันวูรู้เบอร์เขาอยู่แล้ว เธอจึงไม่เห็นต้องมาขอด้วยตัวเองเลย แต่สาเหตุที่เธอมาขอมันก็เพราะเธออยากทำด้วยตัวเอง

“นี่ครับ”

ด้วยเหตุนี้ เบอร์โทรศัพท์ของนักเขียนพัคอึนมีจึงถูกบันทึกไว้ในโทรศัพท์ของคังวูจิน เมื่อจำนวนของคนดังเพิ่มมากขึ้น มูลค่าของโทรศัพท์ของคังวูจินก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากไปอีก

หลังจากนั้น คังวูจินจึงเดินออกจากสตูดิโอแล้วขึ้นลิฟต์ไปทันที

“ว้าว นานแค่ไหนแล้วนะที่ฉันไม่ได้ไป MT”

เขาหลุดจากบทบาทที่สวมไว้ ความตื่นเต้นเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว

“ไปเที่ยวกับฮงฮเยยอนและคนดังคนอื่น ๆ งั้นเหรอ? ชีวิตของฉันมันจะสดใสอะไรปานนี้?”

เขาเองก็เคยไป MT สมัยเรียนมหาวิทยาลัยอยู่เหมือนกันนะ แต่คราวนี้มันต่างออกไปเพราะผู้เข้าร่วมมีแต่คนดัง ซึ่งในไม่ช้า ขณะที่คังวูจินกำลังเดินลงไปยังชั้นล่าง

-ตืด…ตืด

โทรศัพท์ของคังวูจินดังขึ้นในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตของเขา มันเป็นสายเรียกเข้า ผู้โทรคือผู้กํากับชินดงชุน ซึ่งไม่ได้ติดต่อกันมาสองสามวันแล้วตั้งแต่พบกันครั้งล่าสุดที่ร้านกาแฟ

-ตืด

เมื่อคังวูจินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ความจริงจังที่เขาโยนมันทิ้งไปก่อนหน้านี้ก็หวนกลับคืนมา

"ครับ ผู้กำกับ"

เสียงของผู้กำกับชินดงชุนปลายสายท่าทางไม่ค่อยดีนัก

“คุณคังวูจินครับ พรุ่งนี้เช้าเราเจอกันได้ไหมครับ? ผมมีเรื่องจะคุยเกี่ยวกับ ‘ปราบผี’”

น้ำเสียงเขาค่อนข้างมืดมน

"ผมจะส่งที่อยู่ให้คุณ คุณมาที่นี่ได้เลยครับ"

เช้าวันรุ่งขึ้น วันที่ 26 ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าจองจา ในบุนดัง

คังวูจินอยู่ในสำนักงานให้เช่า ชุดของเขาในวันนี้ดูสบาย ๆ อาจจะเป็นเพราะอากาศอุ่นขึ้นเล็กน้อยกระมัง เขาจึงใส่แจ็คเก็ตนักบินกับกางเกงยีนส์ คังวูจินนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานที่อยู่ในสำนักงานให้เช่าที่แสนคับแคบ และฝั่งตรงข้ามเขาคือผู้กำกับชินดงชุน สภาพอีกฝ่ายโทรมอย่างเห็นได้ชัด

ในไม่ช้า ผู้กำกับชินดงชุนก็หัวเราะอย่างเก้อเขินขณะที่เขามองดูสำนักงานให้เช่าโดยรอบ

"ผมรีบร้อนเช่าไปหน่อย มันคงไม่สบายเท่าไรใช่ไหมครับ?"

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”

จริง ๆ แล้ว สำนักงานให้เช่าแห่งนี้ ผู้กำกับชินดงชุนเป็นคนรีบหามา เพราะเขาได้แยกทางกับบริษัทภาพยนตร์บลูวิชั่นฟิล์มไปแล้ว อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถคุยกันในร้านกาแฟได้ตลอดเวลา ถึงแม้ที่นี่มันจะเล็ก แต่มันก็พอจะเป็นสถานที่เอาไว้ประชุมได้อยู่

ซึ่งแค่นี้ถือว่าดีแล้ว

“เอ่อ-คุณคังวูจินครับ”

ผู้กำกับชินดงชุนหยิบเอกสารใสหนาที่เขานำมาด้วยขึ้นมา แล้วก็เปิดปากพูดออกมาด้วยความยากลำบาก

“เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะครับ ผมพยายามหาบริษัทหนัง หาผู้ลงทุนทุกที่เลย แต่มันไม่ง่ายเลยครับ”

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขายังคงวิ่งเต้นไล่ตามภาพลวงตา

“นอกจากนี้ ถึงผมจะไม่ค่อยแน่ใจ แต่ผมรู้เลยว่ามันยากขึ้นกว่าเดิม เหมือนกับว่าบริษัทจีจีโอเอนเตอร์เทนเม้นท์อาจจะเข้ามาแทรกแซง”

“กลางเดือนเมษายน”

“ครับ? อ๋อ ‘เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง' เหรอครับ? ใช่ครับ มันจะจัดขึ้นในกลางเดือนเมษายน เพราะงั้นเราต้องเริ่มถ่ายทำไม่เกินต้นหรือกลางเดือนมีนาคม…ผมขอโทษด้วยครับ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ผมจะพูดด้วยความมั่นใจ แต่สถานการณ์มันไม่ค่อยสู้ดีเลย”

อารมณ์ของผู้กำกับชินดงชุนมืดมัวลงอย่างกะทันหัน คังวูจินยังคงทำหน้านิ่งเฉย แต่ภายในใจก็รู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายมาก

‘มันเหมือนตอนที่ฉันทำงานอยู่ที่บริษัทออกแบบไม่มีผิด ฉันก็เคยเป็นแบบเดียวกับเขาเหมือนกัน ตอนที่ต้องร่างแบบส่งใหม่เจ็ดถึงแปดรอบ’

เพราะอย่างนั้นเอง เสียงทุ้มต่ำของคังวูจินจึงดังขึ้นมา

“ถ้ามีอะไรที่ผมช่วยได้...”

ผู้กำกับชินดงชุนส่ายหัวพร้อมฝืนยิ้มออกมา

“ไม่ต้องหรอกครับ แต่ผมขอโทษด้วยนะครับคุณคังวูจิน คุณแค่มุ่งความสนใจไปที่การแสดงเถอะครับ ผมจะจัดการเรื่องทุนสร้างและบริษัทหนังเอง”

จากนั้นเอง

-ตืด...ตืด♬♪

มีสายเข้าโทรศัพท์ของคังวูจิน อาจเพราะเขาไม่ได้ตั้งเป็นระบบสั่นไว้ เสียงจึงดังออกมาเป็นอย่างมาก

“อ่า ขอโทษทีนะครับ”

แล้วพอเห็นว่าใครโทรเข้ามา เขาก็รู้สึกลังเล

-คุณ..ฮง ฮเย-ยอน

เป็นสายจากนักแสดงสาวแถวหน้า คุณฮงฮเยยอน ดูสิไอ้คิมแดยอง แม้แต่คุณฮงฮเยยอนยังโทรมาหาฉันเหมือนเพื่อนเลยเห็นไหม? ถ้าเขาอยู่บ้านคงยิ้มออกมาแล้ว แต่ตอนนี้…

“………”

ผู้กํากับชินดงชุนยังคงอยู่ตรงหน้าเขา คังวูจินจึงต้องฝืนกลั้นความตื่นเต้นในใจของเขา

“ขอโทษนะครับ ขอตัวสักครู่”

"ได้ ได้ ได้ เชิญเลยครับ"

จากนั้นคังวูจินก็รับโทรศัพท์ด้วยท่าทีสุภาพ

“ครับ”

“คุณตอบเรียบจังนะคะ ปกติเขาต้องทักทายกันก่อนไม่ใช่เหรอคะ?”

“ครับ สวัสดีครับ”

"ช่างมันเถอะค่ะ ยังไงก็ไม่เห็นต้องสนใจเรื่องทักทายอะไรกันอยู่?  เอ่อ ว่าแต่ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนคะ?  ถ้าสะดวกฉันอยากเจอคุณค่ะ"

"ผมเหรอ? คุณอยากเจอผมเหรอครับ?" ถึงน้ำเสียงจะเรียบนิ่ง แต่พอฮงฮเยยอนบอกว่าอยากเจอเขา มันทำให้หัวใจของคังวูจินเต้นสูบฉีดขึ้นทันที

"มีอะไรเหรอครับ?"

"หือ? ฉันก็แค่มีเรื่องจะคุยกับคุณ"

"ตอนนี้คงไม่ได้ครับ ผมมีนัดแล้ว"

"อ๋อ! เป็นผู้กำกับชินดงชุนหรือเปล่าคะ?!"

“………?”

เธอรู้ได้ยังไงเนี่ย? คังวูจินแอบประหลาดใจเล็กน้อย เสียงหัวเราะของฮงฮเยยอนดังมาจากปลายสายทันที

"จริงสินะคะ? แต่ถ้าคุณรู้แล้วก็ดีเลย งั้นบอกที่อยู่คุณมาเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปหาเอง จริง ๆ แล้วฉันไม่มีเวลาว่างเลยนะ ยกเว้นแค่ตอนนี้"

ถ้างั้นฉันคงต้องรีบบอกที่อยู่ให้เธอรู้ไป แต่ฉันต้องวางตัวให้นิ่งเข้าไว้ คังวูจินบอกเธอคร่าว ๆ ถึงที่อยู่ของเขาตอนนี้ บทสนทนาจึงจบลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น คังวูจินและผู้กำกับชินดงชุนก็ได้มาพูดคุยอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับบทของ 'ปราบผี'

“คุณคังวูจิน ผมคิดว่าเราควรตัดฉากนี้ออกครับ”

“อย่างนั้นเหรอครับ?”

"ใช่ครับ ผมว่าเราจำเป็นต้องลดต้นทุนการผลิตลง ยิ่งลดมาก โอกาสที่จะหาผู้ลงทุนก็จะยิ่งได้มากขึ้นตามไปด้วย"

"แต่คุณภาพจะลดลงไหมครับ?"

"นั่นก็จริงอยู่ครับ แต่การถ่ายทำคือสิ่งที่สำคัญที่สุด"

บทสนทนากินเวลาไปประมาณ 45 นาที

-บัง!

ประตูของสำนักงานเช่าได้เปิดออกอย่างกระทันหัน ทั้งคังวูจินและผู้กำกับชินดงชุนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ

เพราะว่า...

“อ้าว มีที่แบบนี้ด้วยเหรอ?”

ผู้หญิงที่สวมแมสก์และหมวกดำเดินเข้ามาทางประตูที่เปิดอยู่ เธอใส่ฮู้ดดี้และเดรส สายตาจับจ้องมองไปที่คังวูจินและผู้กำกับชินดงชุน แล้วเธอก็ถอดแมสก์ออกทันที

-ฟึบ

ใบหน้าของเธอเผยออกมา ผิวพรรณไร้ริ้วรอยและงดงามไร้ที่ติ เมื่อเห็นผู้หญิงคนนั้น ดวงตาของผู้กำกับชินดงชุนถึงกับเบิกโพลง

"คะ-คุณฮงฮเยยอน?!"

ผู้หญิงคนนั้นคือฮงฮเยยอน เธอถอดหมวกออก เผยให้เห็นผมยาวสลวยตามธรรมชาติ เธอยิ้มให้กับผู้กำกับชินดงชุนที่กำลังตกตะลึงอยู่

"คุณPD ไม่สิ ตอนนี้เป็นผู้กำกับแล้วสินะคะ คุณผู้กำกับค่ะ ฉันอยากแสดงในหนังสั้น 'ปราบผี'"

ผู้กำกับชินดงชุนลุกพรวดขึ้นทันที คงเป็นเพราะเขาตกใจมากจนไม่อาจคุมสติอยู่

"เอ่อ?! เอ่อ-อา-เอ่อ?!?!? นะ-นี่มันอะไรกันเนี่ย?!"

ขณะนั้นเอง ฮงฮเยยอนก็หันหน้ากลับไป เธอเหลือบมองไปยังคังวูจิน ผู้ซึ่งนั่งอยู่ทางขวาของเธอ คังวูจินตะลึงจนแข็งค้างไปแล้ว แต่ใบหน้าของเขายังคงไร้อารมณ์เรียบเฉยเช่นเดิม ซึ่งทางฮงฮเยยอนไม่รู้เรื่องอะไรเลย เธอเพียงสบตากับคังวูจินและยิ้มออกมา

"คุณดูไม่แปลกใจเลยนะคะ? แต่ก็ตามนั้นแหละ ฉันอยากแสดงในหนังสั้น 'ปราบผี' ได้ไหมคะ?"

5 2 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด