[ตอนฟรี] ตอนที่ 187 : สัตว์อสูรระดับเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์
เมื่อประตูของพระราชวังแห่งดวงดาวเปิดออก พลังแห่งดวงดาวอันเข้มข้นก็ทะลักออกมาทันที
กลิ่นอายที่แผ่ออกมาทำให้เย่ซิงหยุน ผู้ซึ่งครอบครองกายาราชันแห่งดวงดาวรู้สึกสบายตัวอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีเวลามาโอ้เอ้อยู่ตรงนี้ และรีบเข้าไปในพระราชวังแห่งดวงดาวทันที
โม่ฝานเองก็ติดตามเข้าไปด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน จวินเซียวเหยาและผู้ติดตามก็มาถึง
“นี่คือคลังสมบัติของพระราชวังแห่งดวงดาวงั้นเหรอ? ดูเหมือนจะถูกเปิดออกแล้วด้วย”
จวินเซียวเหยาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นพระราชวังที่ตั้งอยู่ใต้ดิน แถมมีแสงดาวล้อมรอบเต็มไปหมด
เขารู้ว่าคงจะเป็นเย่ซิงหยุนกับโม่ฝานที่มาถึงก่อน
แต่จวินเซียวเหยาไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ตราบใดที่พระราชวังแห่งดวงดาวยังตั้งอยู่ที่นี่ ยังไงสมบัติก็หนีไปไหนไม่ได้
“ไปกันเถอะ” จวินเซียวเหยานำหน้าอี้ยวี่และราชสีห์เก้าเศียรเดินเข้าไปในคลังสมบัติ
ต่อมา โอรสดาราสวรรค์ จ้าวเลี่ย ฉู่หงอี และอัจฉริยะคนอื่นก็มาถึง
เมื่อพวกเขาเห็นพระราชวังแห่งดวงดาว พวกเขาถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว เพราะเกรงว่าจะไม่สามารถคว้าเอาสมบัติมาได้
สำหรับอัจฉริยะที่เหลือ มีจำนวนน้อยถึงน้อยที่สุดที่สามารถมาถึงพื้นที่แห่งนี้ได้
ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ล้วนตกตายไปก่อน ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เห็นพระราชวังแห่งดวงดาว
ภายในคลังสมบัติของพระราชวังแห่งดวงดาว
จวินเซียวเหยาและผู้ติดตามกำลังเคลื่อนตัวผ่านไป
ทั่วทั้งคลังสมบัติแบ่งออกเป็นหลายมิติ แต่ละมิติล้วนอัดแน่นไปด้วยสมบัติหายากมากมายหลายประเภท
“นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคลังสมบัติแบบนี้อยู่ในดินแดนเบื้องล่าง” ราชสีห์เก้าเศียรอดไม่ได้ที่จะตะลึง
เจ้าราชสีห์เก้าเศียรเองก็มีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน มันได้รับทรัพยากรนับไม่ถ้วนมาตั้งแต่เด็ก ทว่า สมบัติในนี้มันก็มากมายมหาศาลเกินไป ช่วยไม่ได้ที่เจ้าราชสีห์เก้าเศียรจะตาลาย
“ของพวกนี้คุณภาพต่ำที่สุดแล้ว อย่าไปเสียเวลากับพวกมันเลย” จวินเซียวเหยาส่ายหัวเบา ๆ
มาตรฐานของเขานั้นสูงกว่าเจ้าราชสีห์เก้าเศียรเสียอีก เขาไม่แยแสของพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่มีค่าอย่างแท้จริงของคลังสมบัติแห่งนี้ย่อมอยู่ในจุดที่ลึกที่สุด
โอรสดาราสวรรค์และคนอื่น ๆ ก็เข้ามาแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นสมบัติมากมายกองอยู่บนพื้น พวกเขาถึงกับตัวแข็งค้างตาม ๆ กันไป
“หือ? ข้าสัมผัสได้ถึงพลังแห่งดวงดาวอันเข้มข้นอยู่ด้านหน้า!” แววตาของโอรสดาราสวรรค์ลุกวาวและมุ่งหน้าไปยังห้องเก็บสมบัติแห่งหนึ่ง
จ้าวเลี่ยและฉู่หงอีเห็นดังนั้นก็รีบตามไป
ในห้องเก็บสมบัติแห่งนี้ดูราวกับเป็นห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่
มันมีคริสตัลจำนวนมากที่มีรูปร่างเหมือนดวงดาวกำลังเปล่งประกายอยู่ภายใน
“นั่นมัน... แก่นดวงดาว!” ดวงตาของโอรสดาราสวรรค์เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
แก่นดวงดาวคือแก่นแท้ของดาวเคราะห์ ซึ่งอัดแน่นไปด้วยพลังงานที่เข้มข้น
กล่าวได้ว่าพลังงานของแก่นดวงดาวหนึ่งเม็ด เทียบแบบหยาบ ๆ ได้เท่ากับศิลาปราณอมตะเกรดต่ำเลย
และที่แห่งนี้ มองไปทางไหนก็มีแต่แก่นดวงดาว นับแล้วคงมีมากกว่าพันเม็ด!
“แก่นดวงดาวที่เทียบได้กับศิลาปราณอมตะเกรดต่ำ!” ดวงตาของฉู่หงอีก็เผยให้เห็นความตื่นเต้น
จ้าวเลี่ยยิ่งอดไม่ได้ที่จะก้าวออกไปและเก็บแก่นดวงดาว
ทันใดนั้น คลื่นพลังอันน่าหวาดกลัวก็กวาดออกมา
ในห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาลที่เต็มไปด้วยแก่นดวงดาว หัวของสัตว์อสูรดวงดาวขนาดใหญ่ตัวหนึ่งพลันโผล่ออกมา
มันเป็นสัตว์อสูรดวงดาวที่ใหญ่โตเหมือนกับคุนยักษ์ (ลักษณะคล้ายวาฬ)
“ขอบเขตเพลิงศักดิ์สิทธิ์!”
เมื่อรับรู้ถึงกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากคุนยักษ์ จ้าวเลี่ยถึงกับหน้าถอดสีด้วยความกลัวสุดขีด
คุนยักษ์ตัวนี้ไม่ให้เวลาจ้าวเลี่ยตอบสนองเลยแม้แต่น้อย และกลืนเขาเข้าไปในคำเดียว
จ้าวเลี่ย ตาย!
“วิ่ง!”
โอรสดาราสวรรค์และฉู่หงอีตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง และรีบหันหลังวิ่งหนี
สัตว์อสูรระดับเพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีวันรับมือได้เลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม พริบตาต่อมา เสียงของบางสิ่งที่แหลกเหลวก็ดังขึ้น
เป็นโอรสดาราสวรรค์ถูกคุนยักษ์เขมือบเข้าไปอีกคน
ในที่สุดก็เหลือเพียงแค่ฉู่หงอี
ใบหน้าของนางซีดเป็นไก่ต้ม ต่อให้นางใช้พลังทั้งหมดของตัวเอง นางก็คงไม่รอดจากการเขมือบของสัตว์อสูรระดับเพลิงศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้อยู่ดี
ขณะที่สัตว์อสูรตัวนี้กำลังอ้าปากกว้าง และกำลังจะกลืนฉู่หงอีเข้าไป
ทันใดนั้น คมดาบที่แฝงไปด้วยพลังแห่งกาลเวลาก็พุ่งเข้ามา และฟันเข้าไปในปากของคุนยักษ์
คุนยักษ์ส่งเสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดทันที
ตามมาด้วยลูกศรเพลิงแผดเผาและตราประทับราชสีห์หาญกล้า
ฉู่หงอีเผยให้เห็นสีหน้าประหลาดใจหลังจากที่รอดพ้นจากเงามัจจุราช เมื่อนางหันไปมองทิศทางของดาบ นางเห็นเพียงร่างของชายหนุ่มในชุดสีขาวราวกับเทพเซียนกำลังเดินเข้ามา
เป็นจวินเซียวเหยานั่นเอง
จากนั้นอี้ยวี่และราชสีห์เก้าเศียรก็เริ่มผสานการโจมตีใส่คุนยักษ์จากทางด้านข้าง
“นึกไม่ถึงเลยแฮะ ว่าจะมีแก่นดวงดาวมากขนาดนี้” จวินเซียวเหยาไม่ได้สนใจฉู่หงอีเลยแม้แต่นิด
เหตุผลที่เขาลงมือก็เพราะเขาเผอิญเห็นแก่นดวงดาว
แก่นดวงดาวพวกนี้เทียบได้กับศิลาปราณอมตะเกรดต่ำ
แก่นดวงดาวพันเม็ดเทียบได้กับศิลาปราณอมตะจำนวนนับพันเลยทีเดียว
การชุบแข็งกระดูกอมตะเทวะไม่จำเป็นต้องใช้แค่ศิลาปราณอมตะเท่านั้น แต่สามารถใช้ทรัพยากรใดก็ได้ที่มีพลังงานในระดับเดียวกันกับศิลาปราณอมตะ
แก่นดวงดาวเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ขอบคุณท่านบุตรพระเจ้าที่ยื่นมือเข้าช่วย หงอีจะไม่ลืมพระคุณนี้เด็ดขาด!”
ฉู่หงอีเผยสีหน้าแห่งความปีติที่รอดพ้นจากความตายมาได้ แต่ก็มีความกังวลใจอยู่ด้วยเช่นกัน
สุดท้ายนางก็กัดริมฝีปากและก้าวออกมาเพื่อขอบคุณเขา
“อืม นั่นไม่จำเป็นหรอก ข้าแค่มาเอาแก่นดวงดาวพวกนี้น่ะ” จวินเซียวเหยาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
มุมปากของฉู่หงอีเผยรอยยิ้มอันขมขื่น
นางคือสตรีในฝันของชายหนุ่มนับไม่ถ้วนในทวีปดวงดาว
แต่ก็อย่างที่เห็น จวินเซียวเหยาไม่แม้แต่จะมองนางด้วยซ้ำ
ฉู่หงอีเองก็รู้ว่าสถานะของนางและจวินเซียวเหยานั้นอยู่กันคนละโลก ดังนั้น หลังจากที่นางกล่าวขอบคุณแล้ว นางก็จากไปอย่างเศร้าสร้อย
จวินเซียวเหยาไม่ได้สังเกตเลยว่าตัวเองได้หักอกสาวงามไปแล้ว
หรือต่อให้เขารู้ เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอยู่แล้ว
มีผู้หญิงมากมายที่มาชอบเขา จะให้เขาไปปลอบใจทุกคนเลยงั้นเหรอ? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นไปไม่ได้
ไม่นาน คุนยักษ์ก็ถูกฆ่าตายภายใต้การผสานการโจมตีของอี้ยวี่และราชสีห์เก้าเศียร
จวินเซียวเหยาจึงเก็บเอาแก่นดวงดาวเข้าแหวนมิติ
หลังจากที่เก็บเสร็จแล้ว จวินเซียวเหยาก็มองไปยังส่วนลึกของคลังสมบัติของพระราชวังแห่งดวงดาวและยิ้มเล็กน้อย
“เอาล่ะ มาให้ข้าดูหน่อยว่าโชคอะไรที่เย่ซิงหยุนนำมาให้ข้า...”
...
อีกด้านหนึ่ง เย่ซิงหยุนและโม่ฝานที่เข้ามาก่อนก็ไม่ได้ไปเสียเวลาที่ไหนเลย
แม้ว่าสมบัติเหล่านั้นจะดึงดูดสายตาของโม่ฝานมากก็ตาม
แต่เย่ซิงหยุนรู้ดีว่าโชคชะตาและมรดกที่สำคัญที่สุด จะต้องอยู่ในส่วนลึกของคลังสมบัติของพระราชวังแห่งดวงดาว
แน่นอนว่าเป็นพวกเขาที่มาถึงคนแรก
มองไปรอบ ๆ ปรากฏเป็นประตูสัมฤทธิ์หนาเตอะขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่
“โม่ฝาน ถึงตาเจ้าแล้ว” เย่ซิงหยุนพูด
โม่ฝานแอบรู้สึกโมโหที่เย่ซิงหยุนใช้งานเขาเหมือนกับเครื่องมือ
แต่โม่ฝานก็ไม่มีอะไรที่สามารถทำได้ เขาทำได้แค่ก้าวไปข้างหน้า และยื่นมือออกไปแตะกับประตูสัมฤทธิ์ขนาดมหึมา
พลังแห่งดวงดาวจากร่างแห่งดวงดาวถูกส่งออกมา ทันใดนั้นประตูสัมฤทธิ์ก็เปิดออกพร้อมกับเสียงดังก้อง
“ใกล้แล้ว อีกนิดเดียวข้าก็จะได้รับสิ่งที่สมควรเป็นของข้า เย่ซิงหยุนผู้นี้ จากนั้นข้าก็จะสามารถต่อกรกับจวินเซียวเหยาได้” เย่ซิงหยุนเริ่มหายใจหอบ
ในที่สุด ประตูสัมฤทธิ์ก็เปิดออกโดยสมบูรณ์ เผยให้เย่ซิงหยุนเห็นภาพที่อยู่ข้างหน้า
มันเป็นโถงพระราชวังที่ใหญ่โตมโหฬารอย่างยิ่ง
และมีหุ่นเชิดขนาดใหญ่หกตัวตั้งแถวหันหน้าเข้าหากันจากทั้งสองฝั่ง
หุ่นเชิดทั้งหกมีจุดดวงดาวปกคลุมอยู่ทั่วทั้งตัว ราวกับว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นจากแร่โลหะอุกกาบาตมหาดารา แถมยังมีกลิ่นอายจาง ๆ ของเซียนแผ่ออกมาอีกด้วย
“นี่มัน…หุ่นเชิดเทพผ่าดาว!” เย่ซิงหยุนตกตะลึง
หุ่นเชิดเทพผ่าดาวเป็นหุ่นเชิดระดับนักบุญ ต่อให้เป็นดินแดนอมตะ มันก็ถือเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก ๆ
ท้ายที่สุดแล้ว หุ่นเชิดที่มีพลังเทียบเท่าขอบเขตนักบุญนั้นถือว่าหาได้ยากมาก
และที่นี่ กลับมีหุ่นเชิดเทพผ่าดาวถึงหกตัว!
แต่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นสิ่งที่อยู่ ณ จุดศูนย์กลางของหุ่นเชิดเทพผ่าดาวทั้งหก
ตรงนั้นมีบัลลังก์แห่งดวงดาวสูงตระหง่านตั้งอยู่
บนบัลลังก์ ปรากฏร่างหนึ่งที่สวมอาภรณ์ที่ถักทอมาจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว กำลังนั่งอยู่อย่างน่าเกรงขาม!
มันคือร่างที่ปรากฏตัวในความทรงจำของเย่ซิงหยุนนับครั้งไม่ถ้วน!