[ตอนฟรี] ตอนที่ 186 : คลื่นสัตว์อสูรดวงดาว
เขตมืดนั้นเป็นเขตแดนต้องห้ามของทวีปดวงดาวนับแต่โบราณกาล และมีคนเพียงน้อยนิดที่เคยก้าวเข้าไป
แต่วันนี้ ความเงียบสงบอันยาวนานก็พังทลายลง
ร่างหนึ่งในชุดขาวบริสุทธิ์ ปกคลุมไปด้วยละอองแสงราวกับเทพเซียนที่ลงมาเยือนโลกมนุษย์ มอบแสงสว่างให้กับพื้นที่อันมืดมิดแห่งนี้
“สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ของเขตมืดดูเหมือนจะไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่น่าจะเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์บางคน”
ทันทีที่จวินเซียวเหยาเดินเข้าไปข้างใน เขาก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของสนามพลังที่กำลังทำงานอยู่
จนถึงจุดนี้ จวินเซียวเหยาก็มั่นใจมากขึ้นหลายส่วนว่าภายในเขตมืดนี้อาจมีคลังสมบัติของจ้าวดาราอู๋จี๋ซ่อนอยู่
จวินเซียวเหยาก้มลงไปมองบนพื้นและเห็นกระดูกขาวโพลนกระจัดกระจายอยู่ ดูแล้วคงเป็นกระดูกของคนที่เคยเข้ามาในเขตมืดก่อนหน้า
นอกจากนี้ยังมีกระดูกของสัตว์ที่ดูไม่ออกว่าเป็นของสัตว์ชนิดใดด้วย
นี่แสดงให้เห็นว่าในเขตมืดแห่งนี้ก็มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เช่นกัน
ขณะที่จวินเซียวเหยากำลังคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ จู่ ๆ พื้นก็เริ่มสั่นสะเทือน
ครืนนน!
ทั่วทั้งเขตมืดเริ่มสั่นสะเทือน
“เกิดบ้าอะไรขึ้น?”
“บัดซบ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เหล่าผู้บ่มเพาะจากทวีปดวงดาวที่ตามเข้ามาต่างพากันแสดงสีหน้าวิตกกังวล
หากไม่มีจวินเซียวเหยานำหน้า พวกเข้าคงไม่มีความกล้าที่จะเข้ามาแม้แต่น้อย
ไกลออกไป ปรากฏคลื่นสีดำทมิฬกำลังพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
“สัตว์อสูร! มันเป็นสัตว์อสูร!” ผู้บ่มเพาะบางคนที่เห็นเข้าก็ตะโกนร้องด้วยความกลัว
“ไม่จริง! พวกมันไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดา!” อัจฉริยะบางคนสังเกตเห็นความผิดแปลกบางอย่าง
ร่างกายของสัตว์อสูรเหล่านั้นปกคลุมไปด้วยจุดดวงดาวที่แผ่ซ่านพลังแห่งดวงดาวอันเข้มข้นออกมา
สัตว์อสูรเหล่านี้ พวกมันทั้งหมดคือสัตว์อสูรดวงดาวที่สามารถบ่มเพาะพลังด้วยการอาศัยพลังแห่งดวงดาว
และสัตว์อสูรประเภทนี้ย่อมทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวกว่าสัตว์อสูรธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด
คลื่นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งขนาดนี้ รวมถึงข้อจำกัดของเขตมืดที่ผู้บ่มเพาะเหนือกว่าขอบเขตเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถย่างกรายเข้ามาได้
สองสิ่งนี้จึงส่งผลให้เขตมืดกลายเป็นแดนมรณะไปโดยปริยาย!
มองดูคลื่นสัตว์อสูรที่กำลังโถมเข้ามา เหล่าผู้บ่มเพาะต่างก็แสดงสีหน้าตื่นตระหนกและเริ่มใจเสีย
พวกเขาหันหลังกลับและหวังจะออกไปจากเขตมืด แต่ก็ต้องพบว่าพวกเขาไม่สามารถแยกแยะเส้นทางได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมิด
จวินเซียวเหยามองดูเหล่าผู้บ่มเพาะที่กำลังดิ้นรนด้วยความตื่นตระหนกด้วยสีหน้าเรียบเฉย
โลกนั้นยุติธรรม
หากปรารถนาที่จะเข้ามาและแสวงหาโชคโอกาส เจ้าก็ต้องเตรียมใจที่จะตายเอาไว้ด้วย
แน่นอน โลกใบนี้ก็ไม่ยุติธรรมด้วยเหมือนกัน
เพราะจวินเซียวเหยาไม่จำเป็นต้องมีสิ่งแลกกับโชคโอกาส นับประสาอะไรกับเอาชีวิตเข้าเดิมพัน
ในดินแดนเบื้องล่างนี้ ไม่มีสิ่งใดที่สามารถคุกคามเขาได้
ในไม่ช้า คลื่นสัตว์อสูรก็เข้าปะทะกับเหล่าผู้บ่มเพาะ
ในชั่วพริบตา เหล่าผู้บ่มเพาะจากทวีปดวงดาวก็ปลดปล่อยทักษะและเคล็ดวิชาออกมามากมาย
แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือ สัตว์อสูรเหล่านั้นก็โจมตีออกมาด้วยทักษะแห่งดวงดาวด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังทรงพลังถึงขีดสุดด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ท่ามกลางสัตว์อสูรดวงดาวมากมาย มันก็มีสัตว์อสูรขอบเขตทะยานสวรรค์อยู่หลายตัว และแม้แต่ขอบเขตเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็มีให้เห็น
ในระดับเดียวกัน สัตว์อสูรธรรมดาก็แข็งแกร่งกว่าผู้บ่มเพาะอยู่แล้ว นี่มันเป็นความรู้ทั่วไป
เพราะร่างกายของสัตว์อสูรนั้นแข็งแรงมากกว่าผู้บ่มเพาะอยู่หลายเท่า
เสียงการต่อสู้ เสียงกรีดร้อง เสียงของการเข่นฆ่าดังขึ้นจากทุกทิศทุกทาง
เลือดสาดกระเซ็น ไหลเจิ่งนองจนกลายเป็นสายธารโลหิต
มีเศษชิ้นส่วนของผู้บ่มเพาะที่ถูกฉีกกระชากอย่างโหดเหี้ยมของสัตว์อสูรดวงดาวกระจัดกระจายไปทั่ว
มีทั้งสัตว์อสูรดวงดาวที่หัวถูกเจาะเป็นรูโดยผู้บ่มเพาะเช่นกัน
ส่วนจวินเซียวเหยาน่ะหรือ?
เขาไม่จำเป็นต้องลงมือเลยแม้แต่น้อย
หากสัตว์อสูรตัวไหนกล้าเข้ามาใกล้
อี้ยวี่และราชสีห์เก้าเศียรจะเป็นคนจัดการปัญหาให้เอง
อี้ยวี่ง้างคันศร กลายเป็นเก้าลูกศรเพลิงอาทิตย์แผดเผา เจาะทะลวงสัตว์อสูรดวงดาวขนาดมหึมาตรงหน้าโดยตรง
ราชสีห์เก้าเศียรดุดันยิ่งกว่า เพียงเสียงคำรามกัมปนาทดังออกมา ร่างของสัตว์อสูรดวงดาวที่อยู่ตรงหน้าก็แหลกกระจายในทันที
อย่าได้ดูถูกเพียงว่าราชสีห์เก้าเศียรเป็นเพียงพาหนะของจวินเซียวเหยา แล้วก็มีนิสัยที่แปลก ๆ
หรือจะเชื่อฟังคำสั่งของจวินเซียวเหยาอย่างเคร่งครัด
แต่ในสายตาของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ราชสีห์เก้าเศียรคือสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและความน่าเกรงขาม
โอรสดาราสวรรค์และผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ที่กำลังต่อสู้อย่างหนักหน่วง พวกเขาต่างมองจวินเซียวเหยาจากหางตาด้วยความอิจฉา
พวกเขาสู้เกือบตาย
ในขณะที่จวินเซียวเหยาแทบไม่ต้องกระดิกนิ้ว
จวินเซียวเหยาและผู้ติดตามสองคนจึงเป็นกลุ่มที่คืบหน้าเร็วที่สุด
ถัดมาเป็นโอรสดาราสวรรค์ จ้าวเลี่ย ฉู่หงอีและคนอื่น ๆ
แม้จะเทียบกับจวินเซียวเหยาไม่ได้ แต่พวกเขาก็ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่เก่งกาจที่สุดในทวีปดวงดาวแล้ว
ส่วนอัจฉริยะที่เหลือ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถตีฝ่าออกมาได้อย่างทุลักทุเล และเกือบทั้งหมดก็ตกตายไป
ในขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง เย่ซิงหยุนและโม่ฝานเองก็เข้าสู่เขตมืดด้วยเหมือนกัน
เย่ซิงหยุนมีผู้พิทักษ์อย่างลุงฝูและคนอื่นอยู่ แต่พวกเขาไม่อาจเข้ามาในเขตมืดได้
ทั้งคู่ได้เผชิญกับสัตว์อสูรดวงดาวเช่นกัน แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ สัตว์อสูรดวงดาวเหล่านั้นแค่มองไปที่เย่ซิงหยุนและโม่ฝาน และไม่ได้ลงมือจู่โจม
กลับกัน พวกมันคุกเข่าลงบนพื้นแทน ราวกับกำลังต้อนรับการมาถึงของผู้เป็นเจ้านาย
“หึ เป็นอย่างที่ข้าคิด” เย่ซิงหยุนรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
เขาคือบุตรแห่งโชคชะตาอย่างแท้จริง
สายตาของโม่ฝานที่อยู่ข้าง ๆ แปรเปลี่ยนเล็กน้อยและกำหมัดแน่น
บุตรแห่งโชคชะตาเหรอ?
ไม่ใช่ข้ารึที่เป็นบุตรแห่งโชคชะตา?
โม่ฝานลอบขบฟันเงียบ ๆ
เขาอุตส่าห์รอดจากความตายมาได้ และกระทั่งหลอมรวมเข้ากับร่างแห่งดวงดาวอันลึกลับ
ตามหลักเหตุและผลแล้ว เขาควรจะเป็นตัวเอกที่ถูกลิขิตให้เป็นที่โปรดปรานของสวรรค์สิ
หากในเขตมืดแห่งนี้มีขุมสมบัติของพระราชวังแห่งดวงดาวที่จ้าวดาราอู๋จี๋ทิ้งไว้อยู่จริง ๆ
นั่นควรจะตกเป็นของเขา!
แล้วเย่ซิงหยุนมีสิทธิ์อะไรมาขโมยมันไป?
ถึงเย่ซิงหยุนจะบอกว่าเขาจะแบ่งสมบัติบางส่วนให้กับโม่ฝาน
แต่โม่ฝานก็รู้ดีว่าเย่ซิงหยุนคงให้มากสุดแค่เศษขนมปังเท่านั้น
แม้ว่าจะไม่ยินยอม แต่โม่ฝานก็ไม่ได้แสดงออก
เพราะตอนนี้สถานการณ์มันบังคับอยู่
เย่ซิงหยุนไม่ทันสังเกตเห็นความไม่ยินยอมในสายตาของโม่ฝาน
แต่ถึงจะสังเกตเห็น เขาก็คงไม่ได้ใส่ใจอะไร
เป็นธรรมดาที่คนที่มาจากดินแดนอมตะมักจะมีความรู้สึกสูงส่งมากกว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าคนจากดินแดนเบื้องล่าง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าในสายตาของเย่ซิงหยุน โม่ฝานนั้นไม่ต่างอะไรไปจากของใช้แล้วทิ้ง
“เอาล่ะ โม่ฝาน ไม่มีสัตว์อสูรดวงดาวมาขวางทางพวกเราแล้ว พวกเราน่าจะไปถึงจุดหมายก่อนคนอื่น ถึงตอนนั้น ประตูคลังสมบัติของพระราชวังแห่งดวงดาวก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เย่ซิงหยุนกล่าว
“ขอรับ โม่ฝานทราบแล้ว” โม่ฝานก้มหน้าลงพร้อมกับสายตาที่เย็นชา
จากนั้น ทั้งคู่ก็ออกเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด
ไม่นานนัก รอยแยกขนาดมหึมาบนพื้นก็ปรากฏต่อหน้าทั้งสอง
ด้านล่างสุดของรอยแยก มีพระราชวังอันโอ่อ่าให้เห็นอยู่ราง ๆ
ทั่วทั้งพระราชวังเปล่งประกายด้วยแสงแห่งดวงดาวที่สว่างไสวไปทั่ว
มันเป็นแสงสว่างเพียงจุดเดียวในเขตมืด และแสงสว่างจุดเล็ก ๆ ที่จวินเซียวเหยาและคนอื่น ๆ เห็นจากภายนอกเขตมืดก่อนหน้านี้ก็มาจากพระราชวังแห่งดวงดาวนั่นเอง
“ยอดเยี่ยม” เย่ซิงหยุนใจเต้นแรง
เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่เชื่อมโยงต่อกัน ซึ่งน่าจะเป็นโชคชะตาของตัวเขาเอง
ในขณะที่เย่ซิงหยุนกำลังตื่นเต้นสุดขีด ทันใดนั้น เสียงคำรามกึกก้องก็ดังขึ้นจากระยะไกล
ลูกศรเพลิงอาทิตย์พุ่งทะยานออกไปเป็นลำแสงสีแดง และเสียงคำรามของราชสีห์ก็ดังสนั่นหวั่นไหว
“บัดซบ ทำไมจวินเซียวเหยามันมาเร็วขนาดนี้!” ดวงตาของเย่ซิงหยุนดูมืดมน และกล่าวอย่างเร่งรีบ “โม่ฝาน เร็วเข้า รีบไปเปิดประตูของพระราชวังแห่งดวงดาว”
โม่ฝานพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นแสงดาวทรงกลมก็ลอยออกมา
นี่คือพลังที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างแห่งดวงดาวลึกลับในร่างกายของเขา
แสงดาวทรงกลมนี้ถูกหลอมรวมเข้ากับประตูคลังสมบัติของพระราชวังแห่งดวงดาวทันที
วินาทีถัดมา เสียงปลดล็อกของกลไกก็ดังขึ้น พร้อมกับประตูของพระราชวังแห่งดวงดาวที่เปิดออก!