ตอนที่ 177 คำสาปแช่ง และความหวาดกลัว (ฟรี)
ตอนที่ 177 คำสาปแช่ง และความหวาดกลัว
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ โปเทียนก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“สหายพูดถูก เมื่อเผ่ามนุษย์ตกเป็นเป้า ข้าไม่ได้ก้าวออกมา เช่นนั้นข้าก็ไม่ควรเข้ามายุ่งในตอนนี้”
“แต่ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะไม่ลงมือกับเผ่าอื่นๆ ที่ไม่กี่ยวข้อง”
เมื่อพิจารณาจากน้ำเสียงของโปเทียน อีกฝ่ายก็ยอมแพ้แล้ว
แม้ว่าเขาไม่รู้ว่าซูหยางแข็งแกร่งถึงระดับนี้ได้อย่างไร แต่เขาก็ได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายด้วยตัวเองแล้ว
อมตะเที่ยงแท้ผู้นี้ซึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏตัวในภูมิภาคดินดำมาจากภูมิภาคจักรวรรดิมนุษย์หรือไม่?
ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่
เขาไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับซูหยางเลย และด้อยกว่าในแง่ของความแข็งแกร่ง
เช่นนั้นก็ทำได้เพียงถอย และพยายามโน้มน้าวเท่านั้น
“เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าเป็นคนรักสงบ เผ่าเหล่านั้นปฏิบัติต่อเผ่ามนุษย์ของข้าอย่างไร ข้าจะปฏิบัติต่อพวกเขาในลักษณะเดียวกัน”
ซูหยางพูดอย่างใจเย็น
เมื่อโปเทียนปรากฏตัว ซูหยางได้ทำอนุมานบางอย่างโดยใช้พลังแห่งกรรม
หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจว่าคนตรงหน้าไม่ได้เปื้อนเลือดของเผ่ามนุษย์ และไม่ได้มีส่วนร่วมในการสังหารหมู่คนของเผ่ามนุษย์ เขาก็จะปล่อยอีกฝ่ายไป
โปเทียนย่อมรับรู้ได้ถึงความนัยที่ซูหยางสื่อออกมา
ซูหยางจะโจมตีเพียงเผ่าที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเผ่ามนุษย์เท่านั้น และจะไม่มีใครรอดพ้นไปได้
และโปเทียนก็รับรู้ได้ถึงอีกความหมายหนึ่ง
หากเผ่าใดกั้นทรัพยากรของเผ่ามนุษย์ ซูหยางก็จะกลับมาพร้อมการแก้แค้นเช่นกัน
เพียงว่าเขาคิดไม่ออกว่า ซูหยางจะแก้แค้นได้อย่างไร หรือจะฆ่าล้างเผ่าเหล่านั้นทั้งหมด?
อีกฝ่ายจะสามารถปล้นชิงทรัพยากรทั้งหมดได้หรือไม่?
ในมุมมองของโปเทียน ซูหยางไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยความแข็งแกร่งของตัวเอง
มากที่สุดคือ การปล้นทรัพยากรในพื้นที่หนึ่ง
โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปล้นชิงทรัพยากรทั้งหมดไป
เมื่อเขาเชื่อโดยไม่รู้ตัวว่าซูหยางไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ โปเทียนจึงไม่สนใจในประเด็นนี้มากนัก
หากซูหยางต้องการจัดการกับทุกเผ่าที่ศัตรูกับเผ่ามนุษย์
โปเทียนไม่มีทางหยุดยั้งอีกฝ่ายได้
ซูหยางเป็นอมตะเที่ยงแท้นั้นทำอีกฝ่ายให้ความแข็งแกร่งพอที่จะทำลายเมืองใดก็ได้ ยกเว้นนครเฮยหลง เขาไม่สามารถหยุดยั้งอีกฝ่ายได้ และเขาไม่มีเหตุผลที่จะหยุดด้วย
นตรเฮยหลง และเผ่ามนุษย์ไม่ได้เป็นศัตรูกัน
เผ่าอมนุษย์ไม่ได้รวมตัวกันเป็นหนึ่ง
เผ่าอมนุษย์เป็นเพียงชื่อที่ตั้งให้โดยเผ่ามนุษย์เพื่อใช้เรียกเผ่าต่างๆ รวมๆ กันในจักรวาล
มันไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องรุกรานอมตะเที่ยงแท้เพื่อประโยชน์ของเผ่าอื่น
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขารู้ดีว่าตนไม่สามารถจะทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองได้
อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่า หากซูหยางโกรธจริงๆ นครเฮยหลงของเขาอาจต้องทนทุกข์ทรมาน
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน”
โปเทียนสนทนาสั้นๆ กับซูหยาง และหลังจากได้รับข้อมูลที่เขาต้องการแล้ว เขาก็เลือกที่จะจากไป
หลังจากที่มองดูโปเทียนจากไป ซูหยางก็เดินทางต่อ
“ในเมื่อเมืองของเจ้าไม่เคยลงมือกับเผ่ามนุษย์ ข้าจะเมตตาตัดแหล่งทรัพยากรของเจ้าไปเพียงเก้าส่วนเท่านั้น”
ภายใต้พลังแห่งกรรม ซูหยางสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเผ่าใดบ้างที่เคยโจมตีเผ่ามนุษย์
เผ่าใดที่ได้ปิดกั้นทรัพยากรของเผ่ามนุษย์?
จนถึงตอนนี้เขายังไม่เคยเห็นเผ่าใดที่ไม่เคยปราบปรามเผ่ามนุษย์เลย
ไม่ว่าจะในแง่ของทรัพยากร การบุกรุก และปล้นชิงดินแดนของเผ่ามนุษย์
ซูหยางจะใช้แนวทางเดียวกันกับที่เผ่าเหล่านั้นเคยทำเพื่อโต้กลับ
ซูหยางจะสุภาพน้อยลงเมื่ออีกฝ่ายเคยปล้นดินแดนของเผ่ามนุษย์ และเคยสังหารหมู่
เขากำจัดเผ่านั้นๆ ออกไปจากแดนหงซิงโดยตรง
แม้ว่าซูหยางจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังต้องใช้เวลานานในการพิชิตที่ราบเฮยเสอทั้งหมด
ที่ราบเฮยเสอมีขนาดใหญ่มาก
ขณะนี้ผ่านไปครึ่งวันแล้ว และเขายังกวาดล้างไปไม่ถึงหนึ่งส่วนเลยด้วยซ้ำ
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการระหว่างทาง และเขาไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้
ซูหยางเพียงมองว่ามันเป็นการเดินทางครั้งใหม่
วางค่ายกลที่แหล่งทรัพยากร ทำลายเมือง และกวาดล้างถ้ำสถิตมาร
เขาก้าวไปข้างหน้าทีละน้อยอย่างมั่นคง
เขาจะไม่ยอมให้ใครรอดไปได้
หลังจากที่โปเทียนกลับไป เขาก็แจ้งข่าวให้กับเผ่าต่างๆ ได้ทราบ
ซูหยางจะจัดการกับทุกเผ่าที่เคยรุกรานเผ่ามนุษย์
เขาไม่สามารถห้ามปราบอีกฝ่ายได้ และจะไม่ห้าม เผ่าต่างๆ ต้องดูแลตัวเอง
เมื่อข่าวนี้แผ่กระจายไปทั่วที่ราบเฮยเสอ
เผ่าต่างๆ ที่รุกรานเผ่ามนุษย์ในที่ราบเฮยเสอต่างสิ้นหวังอย่างยิ่ง
อมตะเที่ยงแท้ของนครเฮยหลงไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไป
พวกเขาจะทำอะไรได้อีก?
มีเมืองอมนุษย์ขนาดเล็กมากกว่า 500 แห่งในที่ราบเฮยเสอ
ประมาณ 70 แห่งที่เคยได้เคยรุกรานเผ่ามนุษย์
ตอนนี้ประมาณ 20 แห่งถูกทำลายโดยซูหยางไปแล้ว
เจ้าเมืองของเมืองที่เหลืออีก 50 แห่งมารวมตัวกันเพื่อหารือกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ผลลัพธ์สุดท้ายของพวกเขาคือ การถูกทำลายทีละเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แดนหงซิงของกาแล็กซี่ซวนปี่จะไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเขาอีกต่อไป
ที่ราบเฮยเสอ เมืองอมนุษย์
ในราชวังแห่งหนึ่ง มีเจ้าเมืองจากเมืองขนาดเล็กทั้ง 53 คนมารวมตัวกัน
ในราชวังแห่งนี้ เนื่องจากมีคนจากหลากหลายเผ่ามารวมตัวกัน บรรยากาศจึงเงียบสงบอย่างน่าประหลาด
จะเห็นได้ว่าพวกเขาทุกคนต่างมีสีหน้าเป็นกังวล
ซูหยางกดดันพวกเขามากเกินไป
มันหนักหนามากจนพวกเขาทนรับแทบไม่ไหว ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่รออย่างเงียบๆ เพื่อให้มีดของคนขายเนื้อตกลงมา
เช่นเดียวกับนักโทษประหารที่รู้ว่าตนต้องตาย แค่ว่าจะเป็นตอนไหน
นี่คือ ความเจ็บปวดของการรอคอย
พวกเขาจึงต้องการหาทางเอาชีวิตรอดในแดนหงซิง
แต่ตอนนี้ พวกเขาเหมือนอยู่ในคุกสุญญากาศที่ไม่มีทางออก และทำได้เพียงรอความตายอย่างเงียบๆ
“ทุกคน เราควรจะทำยังไงกันดี?”
“เราไม่สามารถปล่อยให้เขาทำลายเมืองของเราทีละแห่งได้จริงไหม?”
“พวกเจ้าเต็มใจให้เป็นเช่นนั้นเหรอ?”
เจ้าเมืองคนหนึ่งพูดขึ้นก่อน
“ไม่เต็มใจแล้วเราจะทำอะไรได้ เขาเป็นอมตะเที่ยงแท้ คนอ่อนแออย่างเราไม่มีค่าพอที่จะเป็นศัตรูกับเขาด้วยซ้ำ”
“บางทีในสายตาของอมตะเที่ยงแท้คนนั้น เราก็เป็นเพียงมด และเขาใช้เวลาเพียงชั่วครู่หนึ่งก็เหยียบเราจนตายได้แล้ว”
“เราทุกคนอยากมีชีวิตรอด แต่เราไม่มีคุณสมบัติที่จะเจรจากับเขาได้”
ซูหยางไม่ได้ไว้หน้าโปเทียนที่เป็นอมตะเที่ยงแท้เหมือนกันด้วยซ้ำ
อีกฝ่ายจะไว้หน้าพวกเขาเหรอ?
พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดคุยกับซูหยาง
หากพวกเขากล้าปรากฏตัวต่อหน้าซูหยางจริงๆ คงจะถูกฆ่า
“ให้ตายเถอะ มนุษย์คนนั้นช่างไร้ยางอายจริงๆ เขาทรงพลังมาก แต่เขามุ่งเป้าโจมตีมาที่คนที่อ่อนแออย่างเรา ช่างไม่รักษากฏเกณฑ์เลยจริงๆ!”
“ถูกต้อง แม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติที่ปลาตัวใหญ่จะกินปลาตัวเล็ก แต่เขาต้องการฆ่าเราทุกคนโดยไม่ให้หนทางรอด นี่มันรังแกกันมากเกินไปแล้ว!”
“เขามีความแข็งแกร่งพอที่จะไปสู้กับเมืองขนาดใหญ่ แต่กลับเลือกที่จะเอาเปรียบพวกเราที่อ่อนแอกว่ามาก!”
“ถูกต้อง ทำไมเขาไม่มุ่งเป้าไปที่อมตะเที่ยงแท้คนอื่นๆ ล่ะ? ข้าคิดว่าเขาไม่กล้า เขาทำได้เพียงรังแกผู้อ่อนแอ และกลัวผู้แข็งแกร่ง”
หลังจากการสนทนาเริ่มขึ้น
เจ้าเมืองเหล่านี้อดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับซูหยาง และสาปแช่งเขา
พวกเขาเกลียดซูหยางที่ไม่ให้หนทางรอดใดๆ เลย
ทำไมพวกเขาถึงเกลียดซูหยาง?
นั้นเพราะพวกเขารู้สึกว่าซูหยางกำลังรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า และกลัวผู้แข็งแกร่ง และไม่กล้าที่จะสู้กับอมตะเที่ยงแท้คนอื่นๆ
กาแล็กซี่ซวนปี่นั้นกว้างใหญ่ ย่อมมีอมตะเที่ยงแท้มากมาย
แต่อีกฝ่ายกลับไม่มุ่งเป้าไปที่ผู้เชี่ยวชาญในระดับเดียวกัน แต่มุ่งเป้ามาที่พวกเขาแทน
พวกเขาโกรธแค้นอย่างไร้ความหมาย คำรามอย่างดุเดือด ระบายความขี้ขลาดในใจของตน
พวกเขาไม่กล้าตะโกนต่อหน้าซูหยาง ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงก่นด่าลับหลังเท่านั้น
ใช้คำสาปแช่งเหล่านี้เพื่อปกปิดความกลัว และความวิตกกังวลในใจ
แต่พวกเขาลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าพวกตนมีสิทธิ์พูดถึงศีลธรรมที่ไหนกัน?
การรวมหัวกันต่อต้านเผ่ามนุษย์นั้นเรียกว่าศีลธรรมงั้นเหรอ?
หลายเมืองปิดล้อมเมืองมนุษย์ และปล้นชิงทรัพยากร นี่เรียกว่าศีลธรรมได้หรือเปล่า?
เหมาะสมแล้วเหรอ?
มีเพียงเผ่าอมนุษย์เท่านั้นที่สามารถโจมตีเมืองมนุษย์ได้ แต่เผ่ามนุษย์ไม่สามารถโจมตีเมืองอมนุษย์ได้
มิฉะนั้น พวกเขาจะร่วมมือกันทำลายเมืองมนุษย์แห่งนั้น
นี่มันความยุติธรรมแบบไหนกัน?
ไม่เพียงแต่เผ่าต่างๆ จำนวนมากจะรวมตัวกันเพื่อมุ่งเป้าไปที่เผ่ามนุษย์เท่านั้น
พวกเขาปราบปรามเผ่ามนุษย์ในแง่ของทรัพยากรด้วย และบังคับให้ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ซื้อทรัพยากรที่มีราคาสูง
นี่มันไม่ได้ไร้ยางอายงั้นเหรอ?
ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและผลในตัวเอง
หากเป็นการแย่งชิงทรัพยากรตามปกติจริงๆ
ซูหยางอาจจะไม่ก้าวออกมาข้างหน้าด้วยซ้ำ
ท้ายที่สุดแล้ว ในจักรวาล ทุกคนต่างต้องต่อสู้กันเพื่อทรัพยากร
การแข่งขันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างมากที่สุด ซูหยางก็จะออกไปหาทรัพยากรสำหรับตัวเขาเอง และโลกต้าเซี่ย และเขาจะไม่ก้าวมาข้างหน้า และมุ่งเป้าไปที่คนเหล่านี้โดยตรง
จะได้รับมากหรือน้อยเพียงใดจากแดนหงซิงก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเอง
แต่เนื่องจากเผ่าต่างๆ เหล่านี้กำหนดเป้าหมาย และมีส่วนร่วมในสงครามกับเผ่ามนุษย์
ถ้าอย่างนั้น ซูหยางก็จะไม่สุภาพเช่นกัน
มุ่งเป้า?
ใช่ ตอนนี้ข้าจะมุ่งเป้ามาที่เผ่าของพวกเจ้าทุกคน ถ้าไม่พอใจก็ลุกขึ้นมา!
ข้าจะท้าทายพวกเจ้าทุกคนด้วยตัวเอง!
แต่ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนก็ไม่สามารถชนะข้าที่มีเพียงคนเดียวได้ แล้วยังมีหน้ามาพูดเรื่องไร้สาระอีกนี่มันไม่น่าขันหรอกเหรอ