บทที่ 64 กระบี่สังหารรอบทิศ
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม ด้วยความเร็วที่เพิ่มทวีคูณ ตอนนี้ก็เห็นเพียงภาพธรรมกระบี่ล่องลอยไปทั่วลานฝึกยุทธ์ แทบไม่ปรากฏเห็นร่างผู้ถือกระบี่อย่างหยางเสี่ยวเทียนอีกเลย
เขาลับตาผสานไปในความมืดยามวิกาลอย่างสมบูรณ์ ทิ้งไว้เพียงแสงกวัดแกว่งจากปราณกระบี่ที่ส่องประกายเท่านั้น
นี่คือพลังหลังบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ!
แต่ทันใดนั้นเอง ปราณกระบี่ก็ปรากฏออกมามากถึงสิบเล่ม!
ขณะฝึกฝนเพลงกระบี่ปีศาจจนบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว หยางเสี่ยวเทียนยังคงร่ายรำฝึกต่อไปอีกพักใหญ่ แต่ก็ยังไม่อาจบรรลุถึงขั้นวรยุทธไร้เทียมทานได้
ดังนั้นเขาจำต้องหยุดพักไว้ก่อน แล้วเปลี่ยนมาเริ่มฝึกฝนเพลงกระบี่ตงเทียนแทน
“กระบี่หยินหยาง”
“เก้ากระบี่ทะลวงสวรรค์”
“หนึ่งกระบี่ชั่วพริบตา”
หลังจากฝึกฝนเพลงกระบี่หลิงเสอ เพลงกระบี่สือซาน เพลงกระบี่สี่ฤดู และเพลงกระบี่ปีศาจแล้ว หยางเสี่ยวเทียนก็สามารถสัมผัสถึงพลังอันไร้ขอบเขตของเพลงกระบี่ตงเทียนได้มากขึ้น
ทันใดนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็ขว้างกระบี่ตงเทียนในมือขึ้นไปบนฟ้า แล้วก้มศรีษะเล็กน้อยจนเงาดำพลันปกคลุมทั้งหน้า ไม่ช้า กระบี่ตงเทียนก็ร่วงลงมาในลักษณะหมุนวนอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่กระบี่หมุนวนลงมาเกือบจะถึงตัวเขา หยางเสี่ยวเทียนก็เอื้อมมือออกไปคว้าด้ามกระบี่กระชับแน่นอย่างรวดเร็ว พร้อมเงยหน้าที่เผยให้เห็นเพียงดวงตาต้องแสงจันทร์ราวกับแววตาปีศาจ
เขาได้ชักกระบี่ออกมาแล้วแทงออกไปรอบตัว สิบหกครั้งในสิบหกทิศทาง ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ซ้ายและขวา จนร่างหมุนพลิกไปมาราวกับวังวนพายุ
ภายในสามลมหายใจ เขาก็แทงกระบี่ครบทั้งสิบหกทิศสำเร็จ
นี่เป็นการโจมตีด้วยเพลงกระบี่เพียงกระบวนเดียว แต่สามารถสังหารศัตรูพร้อมกันได้สิบหกคนรอบทิศทาง
เป็นกระบวนท่าที่สี่ของเคล็ดวิชากระบี่ตงเทียน “กระบี่สังหารรอบทิศ”
ซึ่งกระบวนท่านี้แทบจะไม่มีจุดบอด
แต่หลังจากร่ายรำมันเพียงครั้งแรก หยางเสี่ยวเทียนรู้สึกว่าตัวเขายังแทงกระบี่ช้าเกินไป นั่นก็เพราะ หลังแทงกระบี่เล่มแรกไปจนถึงเล่มที่สิบหกนั้น มีช่องว่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงท่วงท่ามากกว่าหนึ่งลมหายใจ
หากต้องเผชิญหน้ากับศัตรูสิบหกคนที่บุกเข้ามาพร้อมกัน มันคงจะไม่รอให้เขาแทงจนครบสามลมหายใจแน่ เพียงสองลมหายใจพวกมันที่เหลือก็คงหนีไปแล้ว
เมื่อคิดอย่างนั้น หยางเสี่ยวเทียนจึงหยุดและพยายามทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวทั้งสิบหกของกระบวนท่ากระบี่นี้ หลังจากนั้นไม่นานกระบี่ตงเทียนก็พุ่งออกมาจากมือของเขาอีกครั้ง
กระบี่สิบหกเล่มถูกแทงออกไปจนสมบูรณ์ในครั้งเดียว
ซึ่ง คราวนี้มันเร็วขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยเท่านั้น
แต่หยางเสี่ยวเทียนยังคงไม่พอใจกับผลลัพธ์นั้น จึงชักกระบี่ตงเทียนออกมาอีกครั้ง เขาใช้กระบวนท่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนความเร็วกระบี่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อหยางเสี่ยวเทียนพอใจกับความเร็วนี้แล้วจึงหยุดฝึกฝน แล้วเดินออกจากลานฝึกยุทธ์กลับไปที่จวนหลัก
ครั้นถึงห้อง หยางเสี่ยวเทียนก็หยิบคัมภีร์เคล็ดวิชาการหลอมอาวุธเบื้องต้นออกมา ซึ่งเคล็ดวิชานี้เขาได้รับจากศพของหลินเฉิงซินหัวหน้าผู้พิทักษ์ของเจ้าเมืองซิงเยว่
ทุกวันนี้ เขามัวยุ่งอยู่กับการฝึกยุทธ์ จึงยังไม่ได้อ่านเคล็ดวิชาการหลอมอาวุธเล่มนี้แต่อย่างใด
แม้ฐานะของนักหลอมอาวุธจะด้อยกว่านักปรุงโอสถมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหากจะเชี่ยวชาญเพิ่มอีกสิ่งหนึ่ง
คัมภีร์เคล็ดวิชาการหลอมอาวุธเล่มนี้ไม่หนานัก เพียงประมาณร้อยหน้าเท่านั้นเอง ซึ่งมันได้แนะนำความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการหลอมอาวุธต่างๆ
การหลอมโอสถต้องใช้ไฟจากสวรรค์และโลก แต่การหลอมอาวุธไม่ต้องใช้ไฟจากสวรรค์และโลก
กระบวนการหลอมไม่จำเป็นต้องใช้สัมผัสทางจิตวิญญาณ ดังนั้นการเป็นนักหลอมอาวุธจึงง่ายกว่าการเป็นนักปรุงโอสถมาก
แน่นอนว่าการจะเป็นนักหลอมอาวุธ ต้องมีความเข้าใจในวัสดุที่ใช้หลอมอาวุธต่างๆ และต้องเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาการหลอมอาวุธเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เคล็ดวิชาการหลอมโอสถโดยทั่วไป ก็สามารถนำมาปรับใช้กับการหลอมอาวุธได้เช่นกัน เพราะทั้งสองก็มีความคล้ายคลึงกันในบางประการ
ไม่ช้า หยางเสี่ยวเทียนก็อ่านเคล็ดวิชาการหลอมอาวุธจบ ทว่า เขายังต้องการความรู้เพิ่มจึงคิดจะกลับไปที่หอคัมภีร์ของสำนักเสินเจี้ยนอีกครั้ง เพื่อหาเคล็ดวิชาการหลอมอาวุธอื่นๆ ในวันพรุ่งนี้
ตกดึก หยางเสี่ยวเทียนก็หันมานั่งขัดสมาธิบนเตียงหยกเย็นในห้อง แล้วเริ่มเดินลมปราณมังกรแรกเริ่มทันที
วิญญาณยุทธ์เสวียนอู่และวิญญาณยุทธ์อสรพิษนิลกาฬพลันปรากฏขึ้นเหนือศรีษะ
ลวดลายบนกระดองเต่ายักษ์ส่องแสงเปล่งประกายมากขึ้น และวิญญาณยุทธ์อสรพิษนิลกาฬก็มีขนาดลำตัวที่ใหญ่ขึ้นเช่นกัน
ปกติ เจ้าตัววิญญาณยุทธ์อสรพิษนิลกาฬจะพันรอบกระดองเต่ายักษ์ แต่ตอนนี้ ขณะที่เจ้าวิญญาณยุทธ์อสรพิษนิลกาฬจะกลืนพลังวิญญาณของสวรรค์และโลก มันจะแยกตัวออกจากกระดองเต่า หรือแยกออกจากเจ้าตัวเสวียนอู่โดยสิ้นเชิง
ทำให้อารมณ์ความรู้สึกขณะเขาฝึกฝนคืนนี้ มักจะรู้สึกกระสับกระส่ายและโกรธอยู่เสมอ ราวกับมีปีศาจดุร้ายทุกประเภทปรากฏขึ้นในใจเขาตลอด
ภาพที่ปรากฏในห้วงจิตขณะเข้าฌานบำเพ็ญคือ เขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรที่แดงฉานปานโลหิต
ขณะที่หยางเสี่ยวเทียนกำลังจะเผลอไผลไปกับภาพมายาของจิตมาร ทันใดนั้น อากาศเย็นก็พลันพัดวูบขึ้นจากเตียงหยกเย็น ทำเขากลับมารู้สึกตัวทันที
ไม่ช้า หยางเสี่ยวเทียนที่นั่งขัดสมาธิบนเตียงหยกเย็นก็ตื่นลืมตาขึ้น เขายกมือแตะหน้าผากตน ที่พบว่ามีเหงื่อไหลปกคลุมไปทั่วใบหน้า
นี่มันอะไรกัน!
หยางเสี่ยวเทียนรู้สึกประหลาดใจยิ่ง เนื่องจากเหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนระหว่างการฝึกเข้าฌานบำเพ็ญ