บทที่ 61 หนึ่งเพลงกระบี่ก็พอ
เมื่อหลินหยงและเฉินหยวนมาถึงสนามประลอง ก็พบว่าเฉิงเป้ยเป้ย หยางจง เกาลู่ และศิษย์คนอื่นๆ มารอจับตาในการประลองฝีมือครานี้เช่นกัน
ถือเป็นฉากอันน่าตื่นตามาก เฉิงเป้ยเป้ย หยางจง เกาลู่ และคนจำนวนเกือบทั้งสำนัก ต่างยืนรอชมอยู่โดยรอบลานประลอง พร้อมความหวังในใจด้วยไม่อยากพลาดสิ่งอันน่าสนุกเช่นนี้
ขณะเดียวกัน เฉินปิงเหยาผู้พ่ายแพ้ให้หยางเสี่ยวเทียนถึงสองหนก็มาเช่นกัน เขาเฝ้ารออย่างใจจดจ่อที่จะเห็นศัตรูผู้เป็นเสี้ยนหนามพ่ายแพ้ไปต่อหน้า
ครั้นที่หยางเสี่ยวเทียนปรากฏตัวเข้ามาในสนาม ใบหน้าเย่อหยิ่งของเฉินปิงเหยาก็พลันมืดลงพลางกัดฟันและหันไปกล่าวกับเซี้ยฉู่ผู้ยืนข้างๆ ทันควัน
“เซี้ยฉู่ จัดการเขา เอาให้ตกจากสนามประลองแทนข้าที”
ตระกูลเขาและตระกูลของเซี้ยฉู่นั้นสนิทสนมกันมานานนม ทั้งคู่จึงเป็นสหายตั้งแต่เริ่มจำความได้
เซี้ยฉู่เอื้อมมือตบไหล่เฉินปิงเหยา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะจัดการให้ ไม่ต้องกังวล”
กล่าวจบ เขาก็กระโดดขึ้นไปบนสนามประลอง เหลือบมองลงหาหยางเสี่ยวเทียนผู้ยืนอยู่ด้านล่างสนามด้วยแววตาดูหมิ่น แล้วเอ่ยเชื้อเชิญน้ำเสียงสบประมาท
“หยางเสี่ยวเทียน ขึ้นมา!”
เมื่อหยางเสี่ยวเทียนเห็นดวงตาของคนที่มองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม เขาก็ไม่รอช้า พลันกระโดดขึ้นไปบนสนามประลองทันที
ทันทีที่ เซี้ยฉู่เห็นว่าหยางเสี่ยวเทียนยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของสนามประลอง เขาก็กระชับด้ามกระบี่แน่น แล้วชักมันออกมาอย่างรวดเร็ว กระบี่ที่ถูกชักพลันส่งเสียงร่ำร้องหวีดหวิว
เซี้ยฉู่ยกมุมปากยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “หยางเสี่ยวเทียนชักกระบี่เจ้าออกมา ข้าหวังว่าเจ้าคงจะสามารถรับมือกับเพลงกระบี่ทั้งสิบกระบวนท่าของข้าได้นะ”
“เพลงกระบี่ทั้งสิบกระบวนท่างั้นหรือ” หยางเสี่ยวเทียนพึมพำ
เขามองไปยังเซี้ยฉู่ที่มีรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้า ไม่ช้า หยางเสี่ยวเทียนก็หรี่ตาลงพลันยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างลำพองส่งให้เช่นกัน
“ไม่จำเป็นต้องใช้ถึงสิบเพลงกระบี่หรอก แค่เพลงกระบี่เดียวก็เกินพอแล้ว”
แค่เพลงกระบี่เดียวก็เกินพองั้นหรือ?
หลินหยง และคนอื่นๆ ต่างหันศรีษะมองหน้ากันซ้ายขวาอย่างสับสน
“ข้าจะเอาชนะเจ้าด้วยเพลงกระบี่เดียว!” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น
ทันทีที่หยางเสี่ยวเทียนกล่าววาจานั้นออกมา บรรยากาศโดยรอบก็เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ เสียงโห่ร้องดังสนั่นจนพื้นสนามประลองสั่นสะเทือน
“อะไรนะ จะเอาชนะเซี้ยฉู่ ด้วยเพลงกระบี่เดียวงั้นเรอะ?”
“บางที หยางเสี่ยวเทียนอาจไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของเซี้ยฉู่กระมัง เขาคิดว่าเซี้ยฉู่มีฝีมือทัดเทียมกับเฉินปิงเหยาหรืออย่างไร?”
เสียงตะโกนก่นด่าของคนโดยรอบนั้นดังมาก เพราะโกรธที่หยางเสี่ยวเทียนกล่าววาจาอวดโอ้ตน ซึ่งเขาเป็นเพียงศิษย์ใหม่ ไฉนกลับกล้าดูถูกเซี้ยฉู่เช่นนี้
“ฮึ! เจ้าเด็กเหลือขอนี่ช่างไม่รู้จักประมาณตน ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ” หลินหยงที่ได้ยินดังนั้น ก็พลันเดือดดาลกับคำพูดโอ้อวดนั่นเช่นกัน
เฉินหยวน ขณะนี้มีสีหน้าเจื่อนๆ ท่าทางเคอะเขิน พลางหัวร่อเบาๆ อย่างติดขัด
ใบหน้าของหูซิงมืดลงทันตา เขายกมือขึ้นมาประมาณลำคอพลางใช้ปลายนิ้วเฉือน ส่งสัญญาณบอก “ฆ่าเขาซะ!” เป็นท่าทางลับที่ส่งถึงเซี้ยฉู่ผู้ยืนอยู่บนสนามประลอง
เมื่อเห็นหูซิงแสดงท่าทางนั้น ศีลธรรมของเซี้ยฉู่ก็มลายสิ้น เขาชี้กระบี่ยาวในมือไปทางหยางเสี่ยวเทียน แล้วกระแทกฝ่าเท้าลงบนพื้นทะยานสูงขึ้นไป
ด้วยปราณแท้นักยุทธ์ระดับห้าขั้นสูงสุดที่กำลังโคจรไปทั่วร่าง ผสานการโจมตีกับกระบี่ยาว รุดเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนในทันที
ท่วงท่าร่ายรำกระบี่พริ้วไหวระหว่างโบกสะบัด ผันเปลี่ยนการเคลื่อนไหวเป็นแทงทะลวงออกไป ทันใดนั้น พลังปราณกระบี่ก็โหมกระหน่ำรุนแรงดั่งพายุ
เกาลู่เห็นเพลงกระบี่ของเซี้ยฉู่ ก็พยักหน้าด้วยความชื่นชม “อืม… เขาช่างสมกับเป็นอัจฉริยะนักกระบี่ปีหนึ่งของสำนักเราจริงๆ”
หลินหยงผงกศีรษะเห็นชอบและพลางกล่าวว่า “กระบวนท่าของกระบี่ลมพริ้วนั้นมีการเคลื่อนไหวสองรูปแบบ ซึ่งเซี้ยฉู่เชี่ยวชาญมันเป็นอย่างดี ทั้งยังมีการเคลื่อนไหวของกระบวนท่าที่สาม กระบี่สะบั้นฟ้าดินอีก แปลว่าตอนนี้เขาได้เข้าใจแก่นแท้ของเคล็ดวิชาเพลงกระบี่สือซานอย่างลึกซึ้งแล้ว!”
เฉินหยวนก้มศีรษะ เผยยิ้มอย่างยินดี “เซี้ยฉู่สืบทอดพรสวรรค์ด้านกระบี่มากจากปู่ของเขา เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งปี หลังฝึกฝนเพลงกระบี่สือซานก็บรรลุถึงขั้นฉลาดล้ำเลิศแล้ว ความสามารถเช่นนี้ นับว่าหาได้ยากยิ่ง”
เพลานี้ สายตาทุกคนโดยรอบต่างจดจ่อกับการประลองตาไม่กระพริบ ก่อนเริ่มเบิกตาจับจ้องขณะเห็นปลายแหลมจากกระบี่ของเซี้ยฉู่ กำลังพุ่งแทงหาหยางเสี่ยวเทียนห่างไม่ถึงสามฉื่อ
ทันทีที่เห็นกระบี่คมยาวจากเซี้ยฉู่ กำลังรี่ทะลวงแทงหน้าอกของหยางเสี่ยวเทียน เฉินหยวนก็มีสีหน้ามิสู้ดีนัก ในจิตขบคิดวนไปเวียนมาว่าจะเข้าไปหยุดกระบี่นั้นดีหรือไม่
หากหยางเสี่ยวเทียนโดนคมกระบี่เล่มนี้แทงเข้าไป ต้องบาดเจ็บมิใช่น้อย แม้นเขาจะไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โตเป็นแน่
ระหว่างที่เฉินหยวนระส่ำระสาย ลังเลจะช่วยดีหรือไม่ ทันใดนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็ได้ปลดปล่อยปราณพลังนักยุทธ์ระดับสี่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง แล้วเหวี่ยงกระบี่ยาวในมือฟาดออกไปในทันที
ปราณกระบี่ของหยางเสี่ยวเทียนพุ่งออกไป รุนแรงดุจคลื่นมหาสมุทรที่โหมอย่างเชี่ยวกราก ว่องไวมากราวกับสายลมอันคลุ้มคลั่งดั่งมรสุม
มันกระแทกเข้ากับปราณกระบี่ของเซี้ยฉู่เสียงดังสนั่นยังกลางสนามประลอง ขยายแรงปะทะออกมาราวกับระรอกคลื่นจนพื้นพสุธาสั่นสะเทือน
ชั่วพริบตาเดียว ปราณกระบี่ของเซี่ยฉู่ก็พลันแตกสลาย กระจายไปในอากาศ
เมื่อได้เห็นปราณกระบี่ของหยางเสี่ยวเทียน หลินหยงก็สะดุ้งตกใจสุดขีดจนปากสั่น พลางเอ่ยอุทานขึ้น
“นี่ นี่มัน นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”