บทที่ 60 ท้าประลองเคล็ดวิชาเพลงกระบี่สือซาน
เพลงหมัดราชันพยัคฆ์มีเพียงเก้ากระบวนท่าเท่านั้น
ทว่า แต่ละกระบวนท่านั้นมีทั้งหมดสามการเคลื่อนไหว ซึ่งจังหวะการเปลี่ยนแปลงของกระบวนท่านั้น ลึกลับยิ่งกว่ากระบวนท่าของเพลงกระบี่สือซานเสียอีก
จากนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็วางคัมภีร์ลง แล้วสืบเท้าออกจากจวนหลักไปยังลานฝึกฝน เขายืนนิ่งอยู่ครู่ก่อนโคจรพลังยุทธทั่วร่าง
สักพักกลิ่นอายของเขาก็แปรเปลี่ยนคล้ายกลิ่นอายของพยัคฆ์ ก้าวกระโจนรุดไปข้างหน้าแล้วต่อยหมัดทันที
“กระบวนท่าแรก พยัคฆ์ชูซาน”
ขณะนี้ หยางเสี่ยวเทียนดูจะกลายร่างเป็นเสือขนาดใหญ่ กระโดดเหินขึ้นเหนือพื้นพสุธา และหมัดที่ชกออกไปในสภาพเปลือยเปล่า ก็งอกกรงเล็บออกมาราวอุ้งเท้าพยัคฆ์ ฟาดฟันลงบนพื้นลานฝึกฝนอย่างรุนแรง
บูม!
พื้นปฐพีสั่นสะเทือน หินดินก็เคลื่อนไปมา สายลมที่เชื่องช้าพลันพัดคล้ายคลาพายุ
รอยกรงเล็บลึกถูกผนึกบนพื้นลาน ตรงกลางพลางปรากฏรอยแตกอันน่าประหลาดใจยิ่ง รอยนี้ทอดยาวออกไปจนถึงนอกลานฝึก
จากนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็กระแทกฝ่าเท้าลงบนพื้นลอยละลิ่วขึ้นไปอีกครั้ง พลันใช้ขาเหวี่ยงฟาดไปข้างหน้าราวกับพยัคฆ์กวาดหางมิมีผิดเพี้ยน
ไม่ช้า ความแข็งแกร่งของขาอันน่าทึ่ง ก็ทะลวงฝังลึกลงในกำแพง จนพื้นผิวส่วนนั้นแตกแหลกละเอียด
กระบวนท่าของเพลงหมัด ถูกใช้ไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ร่างดั่งพยัคฆ์ขนาดใหญ่นั้น ยังคงเคลื่อนไหวกายไปมามิมีหยุดหย่อน
พยัคฆ์ที่ดุร้ายตัวนี้ ทั้งวิ่ง ทั้งทะยาน ทั้งกระโจน มันรวดเร็วจนมองตาตามแทบไม่ทัน คราใดที่ร่างนั้นขยับ ดุจเห็นภาพซ้อนทับจนราวกับมีเงาหลายร่าง
เมื่อ หยางเสี่ยวเทียนหยุดออกกระบวนท่า ภาพซ้อนก็ค่อยๆ อันตรธานตามร่างจริงมาเรื่อยๆ จนไม่ช้าก็เหลือเพียงร่างเดียวที่ยืนอยู่บนลานฝึกฝน
……
ทิวาลอยเด่นอยู่กลางเวหาบ่งบอกเวลายามเที่ยงวัน หยางเสี่ยวเทียนรีบรุดออกจากจวนกลับไปยังสำนักเสินเจี้ยนทันที
หลังจากฝึกฝนหนักตลอดคืน บัดนี้เขาเกือบเชี่ยวชาญการใช้วรยุทธทั้งสามอย่างแล้ว ทั้งเพลงกระบี่สือซาน เพลงหมัดราชันพยัคฆ์ และ เพลงกระบี่สี่ฤดู
ตอนนี้ เขากำลังมุ่งหน้าไปยังหอคัมภีร์ของสำนัก เพื่อหาคัมภีร์วรยุทธมาฝึกฝนเพิ่มเติม
ถ้ำบนหุบเขามีเคล็ดวิชามากมายที่ใช้ในการหลอมโอสถ แต่ทว่านอกเหนือจากเพลงกระบี่ตงเทียนแล้ว ก็ไม่มีวรยุทธอื่นใดอีก
ดังนั้น หยางเสี่ยวเทียนจึงต้องการคัมภีร์เคล็ดวิชา เพื่อใช้ฝึกฝนวรยุทธตนให้มากขึ้น
ท้ายที่สุด ยิ่งฝึกฝนวรยุทธมากเท่าใด กระบวนท่าที่ใช้สังหารและการป้องกันก็จะยิ่งมาก ซึ่งมันเป็นเรื่องดีต่อตัวเขาเองแน่นอน
ไม่ช้า หยางเสี่ยวเทียนก็มาถึงหอคัมภีร์ของสำนักเสินเจี้ยน
ขณะที่หยางเสี่ยวเทียนกำลังจะเข้าไป ก็เห็นหูซิงเดินออกจากหอคัมภีร์ พร้อมกับศิษย์หลายคนติดตามอยู่เบื้องหลัง
“หยางเสี่ยวเทียน” หูซิงไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบกับหยางเสี่ยวเทียน ณ ที่แห่งนี้
จู่ๆ ศิษย์ผู้หนึ่งที่ติดตามอยู่เบื้องหลังหูซิง บัดนี้ก้าวมาข้างหน้าพลางยื่นมือออกไปปราม เพื่อหยุดหยางเสี่ยวเทียนผู้กำลังจะเดินเข้าไปในหอคัมภีร์ แล้วกล่าวว่า
“เจ้าใช่หยางเสี่ยวเทียนหรือไม่ ข้าเซี้ยฉู่ปีหนึ่งห้องหนึ่ง ได้ยินมาว่าเจ้าเก่งกาจในการฝึกเพลงกระบี่สือซานมาก ข้าใคร่ประลองกับเจ้าสักหนโดยใช้เพลงกระบี่สือซาน”
“ประลองเคล็ดวิชาเพลงกระบี่สือซานงั้นหรือ?” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวถามอย่างสงสัย
“ใช่ เป็นอย่างไร เจ้ากล้าหรือไม่?” เซี้ยฉู่มองไปยังหยางเสี่ยวเทียน พร้อมนัยน์ตาแฝงด้วยเจตนาร้าย
หยางเสี่ยวเทียนเหลือบมองหูซิงด้วยหางตา พลางกล่าวว่า “ได้! เพียงแต่ฝ่ายที่แพ้จะต้องคุกเข่าหน้าประตูสำนักเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม เจ้ากล้าหรือไม่!”
เซี้ยฉู่ตะลึงงันอยู่ครู่ ก่อนเปลี่ยนใบหน้ามายิ้มแย้มแล้วตอบกลับทันควัน “ตกลง หากผู้แพ้มาร่ำไห้เสียใจในภายหลัง ข้าจะเป็นคนหักขามันด้วยตัวเอง!”
ทันใดนั้น ศิษย์ทุกคนก็แห่กันไปยังสนามประลอง หมายดูการดวลฝีมืออันน่าตื่นตา
หลินหยงและเฉินหยวน ก็ได้ยินข่าวการประลองระหว่างหยางเสี่ยวเทียนกับเซี้ยฉู่เช่นกัน
“ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ” หลินหยงส่ายศรีษะเหน็ดเหนื่อยใจขณะกล่าว
ศิษย์และอาจารย์ส่วนใหญ่ของสำนักเสินเจี้ยนรู้ดี ว่าเซี้ยฉู่ฝึกฝนเคล็ดวิชาเพลงกระบี่สือซานจนบรรลุถึงขั้นฉลาดล้ำเลิศแล้ว
อีกทั้ง เซี้ยฉู่ยังเป็นศิษย์อัจฉริยะเพียงไม่กี่คนของชั้นปีหนึ่งในสำนักเสินเจี้ยน ที่สามารถฝึกฝนเพลงกระบี่สือซานจนบรรลุถึงขั้นฉลาดล้ำเลิศได้ทั้งที่อายุยังน้อย
แต่การฝึกฝนเพลงกระบี่สือซานของหยางเสี่ยวเทียน เพิ่งบรรลุเพียงขั้นสำเร็จเล็กน้อย ไฉนกลับกล้าท้าทายเซี้ยฉู่เช่นนี้ ช่างไม่รู้จักประมานตน
หลินหยงหันมาแล้วกล่าวกับเฉินหยวนว่า “ไปดูกันเถอะ ครั้งนี้ข้าอยากรู้นักว่าเขาจะเอาชนะเซี้ยฉู่ได้อย่างไร”
เฉินหยวนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องกัดฟันยินยอมพร้อมใจไปยังสนามประลองกับหลินหยงเท่านั้น