บทที่ 59 สามคัมภีร์วรยุทธ
หยางเสี่ยวเทียน รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นออร์คทั้งสองตนปลุกสายเลือดเทพหิรัณย์โบราณขึ้นมา
ในถ้ำบนหุบเขา มีคัมภีร์โบราณบันทึกถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับเผ่าต่างๆ แม้แต่ในสมัยโบราณต้นตระกูลของเผ่าเทพหิรัณย์ก็ยังคงมีตัวตนอยู่สืบมาจนบัดนี้
อาจกล่าวได้ว่ามูลค่าของออร์คทั้งสองนั้น มากกว่าหลัวชิงที่อยู่จุดสูงสุดของขั้นราชันยุทธ์เสียอีก
ในเวลานี้ กลิ่นอายของออร์คทั้งสองมีความเข้มขึ้นและอ่อนลงสลับกันไปมา หยางเสี่ยวเทียนรู้ได้ทันที ว่านี่เป็นสัญญาณของการทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์
แต่ทว่า กลิ่นอายที่พวกเขาแผ่ออกมา มันยังมีความปั่นปวนซึ่งยากต่อการควบคุม จึงยังมิอาจทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ได้สำเร็จ
เขารีบเดินมาข้างหลังออร์คทั้งสองอย่างรวดเร็ว แล้วนั่งขัดสมาธิลง พลันโบกแขนของเขาเป็นวงกลมคล้ายหยินหยาง แล้วเริ่มรวบรวมปราณแท้มังกรขั้นเซียนสวรรค์มาไว้ที่ฝ่ามือ
ไม่ช้า ก็เอื้อมมือออกไปวางไว้ที่แผ่นหลังของออร์คทั้งสอง จากนั้นก็โคจรปราณแท้เข้าสู่ร่างพวกเขาทันที
ด้วยพลังปราณแท้มังกรขั้นเซียนสวรรค์ของหยางเสี่ยวเทียนที่แผ่เข้าร่าง ทำให้กลิ่นอายออร์คทั้งสองถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์ ความปั่นป่วนเมื่อครู่ก็พลันสงบลง
ครึ่งชั่วยามต่อมา
มีเสียงคล้ายรังไหมแตก ดังออกพร้อมกันสองครั้ง
กายเนื้อของออร์คทั้งสองราวกับจะถูกชุบด้วยทองคำบริสุทธิ์ มันส่องสว่างประดุจแสงของสุริยัน
ปราณแท้ขั้นเซียนสวรรค์ของทั้งสองขณะนี้ แผ่ปกคลุมไปทั่วลานอย่างรุนแรง
เมื่อเห็นทั้งสองทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์สำเร็จ หยางเสี่ยวเทียนก็คลายปอดลงอย่างโล่งใจ แล้วค่อยๆ ดึงปราณแท้มังกรกลับเข้าร่างอย่างต่อเนื่อง
จากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็หยุดบ่มเพาะพลังแล้วยืนขึ้นพร้อมกัน พวกเขาโค้งคำนับให้หยางเสี่ยวเทียนเพื่อแสดงความขอบคุณ “ขอบคุณนายท่านที่ช่วยเหลือ”
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้าพร้อมกับแสดงรอยยิ้มปิติยินดี “พวกเจ้ามีชื่อหรือไม่”
หลังจากซื้อทั้งสองกลับมาเมื่อวาน หยางเสี่ยวเทียนก็ยังไม่ได้ถามชื่อแซ่พวกเขาเลย
“ข้าชื่ออัต และน้องชายข้า อาลี่” หนึ่งในนั้นก้าวไปข้างหน้าประสานหมัดและกล่าวด้วยความนอบน้อม
“ในอนาคตพวกเจ้าจงตั้งใจฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพสงครามให้ดี และตอนนี้ข้าจะสอนเพลงดาบให้พวกเจ้าทั้งสอง” หยางเสี่ยวเทียนเอ่ยกับทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจัง
ในเวลาเดียวกัน เขาก็หยิบคัมภีร์เพลงดาบคร่าวิญญาณที่ได้จากหูลี่ออกมา แล้วร่ายรำให้ทั้งสองดู ตั้งแต่กระบวนท่าแรกจนถึงกระบวนท่าสุดท้าย
ทุกท่วงท่าที่หยางเสี่ยวเทียนกวัดแกว่งนั้นช้ามาก ขณะออกกระบวนท่าเขาก็ชี้แนะจุดสำคัญต่างๆ ของเพลงดาบไปด้วย
หลังจากแสดงกระบวนท่าให้ดูสองครั้ง หยางเสี่ยวเทียนก็ให้ทั้งสองลองฝึกฝนเพลงดาบทันที
ทว่า สิ่งที่หยางเสี่ยวเทียนไม่คาดคิดคือ ทั้งสองมีท่าทางแข็งกระด้างขาดความพริ้วไหว แต่เรียนรู้ได้ไวมาก ไม่นานกระบวนท่าทั้งหมดก็เกือบจะถูกต้องแล้ว
แม้นมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ธรรมดาเลยที่ฝึกฝนได้ขนาดนี้หลังจากดูไปเพียงสองครั้ง
หยางเสี่ยวเทียน ชี้แนะข้อผิดพลาดต่างๆ ของทั้งสอง แล้วให้พวกเขาฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆ
ไม่นาน หยางเสี่ยวเทียนก็มายังเรือนแยกของหลัวชิง ขณะเดียวกันหลัวชิงเพิ่งออกมาจากอ่างสมุนไพรพร้อมสีหน้าสุขสำราญใจ
เมื่อเขาเห็นหยางเสี่ยวเทียนเดินเข้ามา ก็รีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแล้วประสานหมัดพร้อมกล่าวว่า “นายท่าน”
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” หยางเสี่ยวเทียน ถามด้วยรอยยิ้มปิติเช่นกัน
“ข้ารู้สึกดีมาก” ท่าทางของหลัวชิงแลดูมีความสุขและตื่นเต้น “ข้ารู้สึกได้ว่ามือทั้งสองสามารถกลับมาหยิบจับสิ่งของต่างๆ ได้อีกครั้ง บัดนี้ตันเถียนของข้าก็ฟื้นฟูด้วยเช่นกัน ข้าคาดว่าไม่เกินหนึ่งเดือนก็คงจะฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์”
เขาไม่ได้คาดหวังว่าเคล็ดวิชาจักรพรรดิพฤกษา จะอัศจรรย์เช่นนี้ ซึ่งผลของมันประจักษ์เด่นชัดในคืนเดียว
หลัวชิงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เมื่อพบว่าตันเถียนของตนจะได้รับการเยียวยาอย่างสมบูรณ์ภายในหนึ่งเดือน
บัดนี้ท่าทางและใบหน้าของหลัวชิง ที่เคยเป็นดั่งคนไร้วิญญาณก็พลันกลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
หากฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิพฤกษาต่อไปเรื่อยๆ เขาจะสามารถฟื้นฟูการฝึกฝนจนกลับไปสู่จุดสูงสุดของขั้นราชันยุทธ์ได้อย่างแน่นอน
“เช่นนั้นก็ยอดเยี่ยมมาก” เมื่อเห็นความกระตือรือร้นที่จะฝึกฝนของหลัวชิง หยางเสี่ยวเทียนก็แสดงสีหน้าสำราญใจ ในแววตามีแต่ความยินดี
จากนั้นไม่นาน หลังสนทนากับหลัวชิงอีกสองสามคำ หยางเสี่ยวเทียนก็กลับไปยังจวนหลักของตน เพื่อศึกษาคัมภีร์หลายเล่มของสำนักเสินเจี้ยน
ในเนื้อหาภาคเรียนแรกของชั้นปีหนึ่งสำนักเสินเจี้ยน ไม่เพียงฝึกฝนเพลงกระบี่สือซานเท่านั้น เขายังต้องฝึกฝนเพลงกระบี่สี่ฤดู เพลงหมัดราชันพยัคฆ์ และความรู้ทางวัฒนธรรมขั้นพื้นฐานอีกด้วย
ไม่ช้า หยางเสี่ยวเทียนก็อ่านคัมภีร์เพลงกระบี่สี่ฤดู และคัมภีร์เพลงหมัดราชันพยัคฆ์จนจบ
ก่อนหน้านี้ หยางจงเคยประลองกับเขาโดยใช้เพลงหมัดราชันพยัคฆ์ ดังนั้น หยางเสี่ยวเทียนจึงคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี