บทที่ 58 เชื้อสายเทพหิรัณย์
หลังเขาจากไป
หลัวชิงก็เริ่มอ่านศึกษาคัมภีร์เคล็ดวิชาจักรพรรดิพฤกษา จนจดจำได้ขึ้นใจแล้วเข้าไปนั่งขัดสมาธิทำฌานในอ่างไม้ขนาดใหญ่ตามคำแนะนำของหยางเสี่ยวเทียน
ภายในอ่างไม้ ล้วนเต็มไปด้วยน้ำสมุนไพรที่หยางเสี่ยวเทียนตระเตรียมไว้ ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้คือสมุนไพรที่เขาให้ออร์คทั้งสองซื้อกลับมาเพื่อเตรียมอ่างนี้สำหรับเขาโดยเฉพาะ
หลัวชิงเริ่มเปิดจุดเดินลมปราณตามที่คัมภีร์จักรพรรดิพฤกษาเขียนเอาไว้
ไม่ช้า เขาก็รู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่างกาย
ความร้อนในกายเริ่มรุนแรงและเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
หัวใจของหลัวชิงสั่นไหว เขามีความสุขมากหลังได้สัมผัสกับสิ่งที่คุ้นเคยนี้
นี่คือพลังวิญญาณของสวรรค์และโลก!
จากนั้น เขาเริ่มดูดซับเอาพลังวิญญาณของสวรรค์และโลกเพื่อหลอมรวมเป็นปราณแท้ทันที
ตลอดหกเดือนที่ผ่านมา เขามีชีวิตอยู่ราวกับร่างไร้วิญญาณ มีเพียงความสิ้นหวังกับความมืดมิดเท่านั้น แต่ตอนนี้ ในใจเขาได้เห็นทั้งแสงสว่างและความหวังก่อตัวขึ้นพร้อมๆ กัน
ในเวลาเดียวกัน หยางเสี่ยวเทียนก็กลับถึงเรือนหลักของตนเพื่อหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ต่อ
แน่นอนว่าโอสถสร้างฐานวิญญาณนี้ ไม่ได้หลอมให้ตัวเอง แต่ให้ออร์คทั้งสองตน
นั่นก็เพราะออร์คทั้งสองอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นนักยุทธ์ระดับสิบแล้ว เขาต้องทำให้พวกเขาทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์โดยเร็วที่สุด
นั่นเพราะความแข็งแกร่งของขั้นเซียนสวรรค์ จะทำให้ออร์คทั้งสองสามารถทำในสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ หยางเสี่ยวเทียนจึงจำเป็นต้องหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณอีกสองสามชุด
ไม่นานหลังจากหลอมโอสถสำเร็จ หยางเสี่ยวเทียนก็มอบคัมภีร์เคล็ดวิชาเทพสงครามพร้อมกับโอสถสร้างฐานวิญญาณให้กับออร์คทั้งสองตน
หากได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพสงคราม พวกเขาจะมีพลังมหาศาลและร่างกายแข็งแกร่งประดุจเหล็กกล้า เมื่อใดที่ฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุด ก็สามารถสยบได้แม้แต่เทพ
ภายใต้การแนะนำของหยางเสี่ยวเทียน ออร์คทั้งสองกลืนโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ และเริ่มเดินลมปราณขับเน้นฤทธิ์โอสถ บ่มเพาะพลังปราณจากเคล็ดวิชาเทพสงครามทันที
เมื่อหยางเสี่ยวเทียนเห็นว่าทั้งสองกำลังเข้าฌานบ่มเพาะ เขาก็ปลีกตัวออกไปยังลานฝึกหลังจวนเพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาเพลงกระบี่สือซานของตัวเองด้วยไม่อยากรบกวนเช่นกัน
เคล็ดวิชาเพลงกระบี่สือซาน เป็นวรยุทธที่ใช้ในการสอบปลายภาค หากเขาฝึกฝนวรยุทธนี้จนสามารถบรรลุเข้าขั้นสมบูรณ์แบบ ทางสำนักก็จะมีรับรางวัลสำหรับศิษย์ผู้หมั่นเพียร
“กระบี่ลมพริ้ว!”
หยางเสี่ยวเทียนร่ายรำกระบวนท่าจากเคล็ดวิชาเพลงกระบี่สือซานอีกครั้ง แต่ความรู้สึกเขากลับแตกต่างจากเดิม
เพราะทันทีที่เหวี่ยงกระบี่ ปราณกระบี่ก็จะปรากฎขึ้น
แต่ปราณกระบี่ที่ปรากฎในครั้งนี้มีความพิเศษกว่าเดิม เพราะทุกๆ การร่ายรำกระบวนท่าจะมีการเคลื่อนไหวจากปราณกระบี่อีกสิบสองเล่มผสานอยู่ด้วย
เขาเริ่มทวีความเร็วในการออกกระบวนท่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มันราวกับเขาและกระบี่เป็นหนึ่งเดียวกัน กระบี่ติดตามคน คนก็ปลดปล่อยปราณกระบี่
พอลองตั้งใจเพ่งมองดูให้ดี กระบี่คล้ายเป็นเหมือนส่วนหนึ่งในร่างกายหยางเสี่ยวเทียนไปแล้ว
ตอนนี้ หยางเสี่ยวเทียนสามารถปลดปล่อยกระบวนท่าของเพลงกระบี่สือซานออกมาได้อย่างคล่องแคล่วยิ่ง
หรือเรียกว่า เขาได้เชี่ยวชาญแลแตกฉานกระบี่ทั้งสิบสามกระบวนท่าจากเพลงกระบี่ลมพริ้วสำเร็จ
จนถึงขั้นฉลาดล้ำเลิศ!
ทว่า หยางเสี่ยวเทียนเพิ่งเคยฝึกเคล็ดวิชาเพลงกระบี่สือซานครั้งนี้ เป็นครั้งที่สองเอง
ในครั้งแรก เขาบรรลุขั้นสำเร็จเล็กน้อย พอมาครั้งที่สองก็บรรลุถึงขั้นฉลาดล้ำเลิศ!
แม้เพลงกระบี่สือซานจะเป็นเพียงวรยุทธพื้นฐาน แต่ความเร็วในการฝึกฝนวรยุทธ์นี้ก็ก้าวหน้าอย่างน่าอัศจรรย์
เมื่อหยางเสี่ยวเทียนจบการฝึกฝนเพลงกระบี่สือซาน เขายื่นนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนชักกระบี่ออกมาอีกครั้ง
ครั้งนี้ เขาไม่ได้เริ่มต้นจากกระบวนท่ากระบี่ลมพริ้ว แต่เป็นกระบี่สะบั้นฟ้าดินซึ่งเป็นกระบวนท่าที่สาม
กระทั่ง หยางเสี่ยวเทียนก็แปรเปลี่ยนกระบวนท่าแล้วฟันกระบี่ออกไปในทันที
กระบวนท่าที่สิบสาม กระบี่ธรณีพินาศ!
ต่อด้วย กระบวนท่าที่เจ็ด กระบวนท่าที่เก้า และกระบวนท่าที่หนึ่ง!
เป็นการร่ายรำกระบี่ที่ไม่เป็นระเบียบและไร้ลำดับกระบวนท่าโดยสิ้นเชิง
ขณะนี้ หยางเสี่ยวเทียนได้ลืมลำดับกระบวนท่าทั้งหมด และเพียงเหวี่ยงฟันออกไปตามความรู้สึกนึกคิดของตน
เมื่อใดที่ชักกระบี่ เขาจะฟาดฟันออกไปตามใจปรารถนา
กระบี่อยู่ที่ใจ!
จิตใจมุ่งไปที่ใด กระบี่ก็พลันติดตามไปด้วยราวกับเป็นส่วนหนึ่งของอัวยวะ
เพลานี้ เขาจดจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าฟาดฟันกระบี่ออกไปทั้งหมดกี่กระบวนท่า
สองสามชั่วยามต่อมาเขาก็หยุดฝึกฝน แต่ปราณกระบี่ที่เขาปลดปล่อยออกมานั้นยังไม่จางหายไป มันยังคงมีรูปร่างและเส้นลำแสงจากปราณกระบี่พริ้วไหวตามสายลมอยู่ในลานฝึกฝนราวกับมีจิตวิญญาณ
เมื่อมองยังปราณกระบี่ที่เลื่อนลอยตามสายลม หยางเสี่ยวเทียนก็เผยยิ้มออกมาด้วยสีหน้าปิติยินดียิ่ง
ที่สุด เขาก็สามารถบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบได้สำเร็จ!
หลังจากฝึกฝนต่อไปได้สักพัก เขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก่อนจะพบว่านี่เป็นเวลารุ่งสางแล้ว
ระหว่างที่เขากำลังมองท้องฟ้า จู่ๆ แสงสีทองจากลานข้างหน้าจวนก็ส่องสว่างขึ้นทันที
หยางเสี่ยวเทียนยืนตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกตัววิ่งอย่างรวดเร็วไปยังต้นกำเนิดของแสง ทันใดนั้น เขาก็เห็นออร์คทั้งสองตนแผ่แสงสีทองทั่วตามร่างกาย พร้อมกับมีภาพธรรมสีทองขนาดใหญ่ ปรากฏขึ้นเบื้องหลังของพวกเขา
ขณะยืนมองดูภาพธรรมสีทองขนาดใหญ่เบื้องหลังออร์คทั้งสอง แววตาของหยางเสี่ยวเทียนก็เบิกกว้างด้วยความอัศจรรย์ใจ
หรือว่าออร์คทั้งสองจะสืบเชื้อสายมาจากเทพหิรัณย์โบราณจริงๆ ความคิดนี้ปรากฎขึ้นในหัวของหยางเสี่ยวเทียนทันที
พวกเขาทั้งสองฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพสงคราม มีความเป็นไปได้ว่าปราณแท้เทพสงครามจะไปกระตุ้นพลังเทพหิรัณย์ที่หลับไหลอยู่ให้ตื่นขึ้น