ตอนที่แล้วบทที่ 16: พลิกผัน (1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 18: พลิกผัน (3)

บทที่ 17: พลิกผัน (2)


บทที่ 17: พลิกผัน (2)

ซีอีโอหยุดเท้าที่ชั้นวางรองเท้า หน้าตาดูอ่อนเพลียอย่างมากหลังได้ยินคำตอบของฮงฮเยยอน

“อ้าว-เฮ้อ  จู่ๆ เธอก็อยากรับบทหนังสั้นซะงั้นเนี่ยนะ?”

ฮงฮเยยอนกอดอกแล้วบ่นอุบอิบ

"ทำไมล่ะ? ก็แค่อยากรู้นิดหน่อยเองไม่ได้เหรอ ฉันไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะไปแสดงหนังสั้น ทำไมพี่ต้องตื่นตูมขนาดนั้นด้วย?"

“······เธอต่างหากล่ะที่กำลังตื่นตูม! เฮ้อ ปกติเวลามีอะไรที่เธออยากทำ เธอก็มักจะยอมแพ้ให้มันตลอดเลยไม่ใช่เหรอ คิดว่าฉันไม่รู้จักเธอหรือไง!?”

กล่าวจบ ซีอีโอก็ถอดรองเท้าที่เขาสวมอยู่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไว้ในตู้เก็บ

“ว่าแต่ทำไมนางเอก ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล’ ถึงถามถึงเรื่องหนังสั้นกะทันหันแบบนี้? ฉันพอเข้าใจอยู่หรอกนะถ้าเกิดบทใหญ่ ๆ มันไม่มีเข้ามาเลย แต่ว่านี่มันอะไร? หนังฟอร์มกลาง ๆ ไปจนถึงใหญ่ ๆ ก็พร้อมเข้ามายื่นข้อเสนอทุกแนว แต่ทำไมครั้งนี้ถึงต้องเจาะจงหนังสั้นเป็นพิเศษกัน?”

เขาบ่นพึมพำไปด้วยขณะที่ลุกไปนั่งบนโซฟาห้องรับแขก ปฏิกิริยาของซีอีโอไม่ได้รุนแรงอย่างที่คาดไว้ อาจเป็นเพราะเขาชินกับความเอาแต่ใจของฮงฮเยยอนอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้น ฮงฮเยยอนในชุดนอนก็เดินไปนั่งข้าง ๆ เขา ซีอีโอจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา

"รอครู่หนึ่ง เดี๋ยวฉันจัดให้การเอง"

ซีอีโอชเวซองกุนได้เริ่มจัดความคิดของตัวเอง เขาเป็นซีอีโอบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนต์สตาร์ทอัพด้านความบันเทิง และเป็นผู้ดูแลนักแสดงสาวแถวหน้าฮงฮเยยอน ดูเหมือนเขาจะอายุ 30 ปลาย ๆ และมีผมยาวรวบไว้ด้านหลัง

เขาสวมแว่นตาไร้กรอบ แต่ใบหน้าของเขาก็ยังดูมีเสน่ห์แบบคนเจ้าเล่ห์นิดหน่อย

“ฮึ่ม-”

แม้จะดูมีเสน่ห์แบบคนเจ้าเล่ห์ แต่ชเวซองกุนก็อยู่ในวงการบันเทิงมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี และเขาก็ฉลาดหลักแหลม ไหวพริบดี ทั้งยังมีทักษะการเอาตัวรอดที่ยอดเยี่ยม

ซึ่งด้วยบุคลิกภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ชเวซองกุนจึงมีเครือข่ายเส้นสายที่กว้างขวาง

ฮงฮเยยอนกับชเวซองกุนอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เธอแสดงครั้งแรก การพูดได้ว่าเขาเป็นคนปั้นฮงฮเยยอนให้กลายเป็นอย่างที่เธอเป็นทุกวันนี้ก็ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลย

ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเรื่องราวที่ทุกคนในวงการบันเทิงรู้จักดี

ฮงฮเยยอนรู้ดีถึงความสามารถของเขา ดังนั้นเมื่อเขาก่อตั้งบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนต์สตาร์ทอัพด้านความบันเทิง เธอก็ยินดีเข้าร่วมทันที และเงินทุนจำนวนมากของฮงฮเยยอนก็ถูกนำไปลงทุนในบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนต์สตาร์ทอัพด้านความบันเทิงแห่งนี้ กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ฮงฮเยยอนเป็นทั้งผู้ลงทุนในบริษัทและเป็นดาวเด่นหลักของบริษัทด้วย

มาถึงตอนนี้เอง...

“ชื่อหนังสั้นคือ ‘การไล่ผี’ ใช่ไหม?”

ซีอีโอชเวซองกุนถามโดยเอนหลังพิงโซฟา จากนั้นฮงฮเยยอนก็ตอบกลับไปด้วยท่าทางไขว่ห้าง

“อืม 'การไล่ผี'”

“เธออยากรู้สถานการณ์ของเรื่องนี้? หรือให้สืบประวัติหนังเรื่องนั้นด้วยล่ะ?”

“เอาหมดเลย ขอแบบละเอียด”

“แค่ไปรวบรวมข้อมูลจากบริษัทหนังสั้นอิสระสักสองสามแห่งก็จบแล้ว แต่แบบนี้มันน่ารำคาญออก ถ้าเกิดมันไม่ดีจริง ที่ฉันไปสืบมาก็เสียเวลาเปล่าไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่หรอก ไม่หรอก เพราะ PDซงพูดแบบนั้นเลยนะ มันคงจะมีอะไรดี ๆ แน่นอน อ๋อ แล้วพี่จำคนนี้ได้ไหม? คุณPDชินดงชุนน่ะ”

“ฉันรู้จัก เป็นคนที่เคยทำละครดี ๆ หลายเรื่อง แล้วก็ดันไปประกาศว่าจะทำหนังแล้วหายตัวไปเฉย ๆ… เดี๋ยวก่อน อย่าบอกนะว่า?”

“ใช่แล้ว เขาว่าหนังสั้น ‘การไล่ผี’ เป็นผู้กำกับคนนั้นเขียนบท”

ซีอีโอชเวซองกุนถึงกับเบิกตากว้างไป

"จริงเหรอเนี่ย? จะว่าไปคนที่ใกล้ชิดกับPDซงมันวูก็เป็นคนที่ค่อนข้างแปลกทุกคนเลยแฮะ ว่าไหม?”

“ก็ปกติไม่ใช่เหรอ?”

“ว่าแต่เธอจะทำอะไรให้ฉันล่ะ ถ้าฉันไปสืบหาข้อมูลให้?”

“พี่พูดอะไรเนี่ย? ไม่ใช่ว่าตอนนี้ฉันก็กำลังดูแลพี่อยู่เหรอ?”

"ฝีมือเธอคนเดียวหรือไงกัน? จำเรื่องก่อนหน้าไม่ได้เหรอ โฆษณาแชมพูที่เธอทำพังไปคราวนี้ การเซ็นสัญญารอบใหม่ว่ายังไงล่ะ?"

ฮงฮเยยอนบ่นอุบทันที

"โอ๊ย ก็ผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่นั่นเป็นพวกบ้าน่ะสิ"

“อืม ก็จริงที่ผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่นั่นบ้าจริง เอางี้เป็นไง? ฉันจะผลักดันให้มีการเจรจาต่อรองอีกครั้ง ด้วยเงื่อนไขว่าเราจะไม่รวมผู้จัดการคนนั้นไว้ในคณะกรรมการด้วย”

“จริงดิ! ทำไมซีอีโอของเอเจนซี่ถึงสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบแบบนี้ล่ะ?”

“ก็เพราะว่าศิลปินของเรามีความสามารถมากไง”

ฮงฮเยยอนตบไหล่ซีอีโอแล้วเดาะลิ้นเบา ๆ

“ว่าแต่...เราสามารถไล่ผู้จัดการคนนั้นออกจากสัญญาได้จริง ๆ เหรอ?”

“ได้-เพราะงั้นรีบอธิบายมาให้ฟังตอนนี้เลย”

“อธิบายอะไร?”

ซีอีโอชเวซองกุนได้คำนวณอะไรบางอย่างในใจเรียบร้อยแล้ว เขาดันแว่นตาขึ้นมาแล้วยิ้มออกมา

“ทำไมอยู่ ๆ เธอถึงสนใจหนังสั้น ‘การไล่ผี’ อย่ามาอ้อมค้อมบอกว่าเพราะ PDซงมันวูหรือผู้กำกับชินดงชุนหรอกนะ มันไม่ได้ผล บอกอะไรที่ชัดเจนมากว่านี้หน่อย”

“....ฮึ่ม”

ฮงฮเยยอนหวีผมยาวสลวยของเธอไปด้านหลัง กัดฟันกรอด

"เพราะผู้ชายที่ชื่อคังวูจิน"

"ใครเหรอ แฟนใหม่?"

"บ้าเหรอ! ฉันจะมีแฟนได้ยังไง! เขาเป็นนักแสดง นักแสดงต่างหาก"

"นักแสดงเหรอ? ฉันไม่เคยได้ยินชื่อเขาเลยแฮะ เล่าเพิ่มอีกหน่อยสิ"

จากนั้นฮงฮเยยอนก็เริ่มแถลงไขปมปัญหาต่าง ๆ ที่เธอเก็บซ่อนไว้จนถึงตอนนี้ เธอเล่าตั้งแต่แรกที่เธอได้เจอกับคังวูจิน ผู้แสนแปลกประหลาดคนนี้ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ ใบหน้าของซีอีโอชเวซองกุนเต็มไปด้วยความตกตะลึงขณะที่เขากำลังฟัง

ใช้เวลาประมาณ 10 นาที

“พอใจหรือยัง?”

ฮงฮเยยอนได้เล่าเรื่องทั้งหมดจบแล้ว ซีอีโอชเวซองกุนที่กำลังเกาผมยาวที่รวบไว้ก็ส่งเสียงถอนหายใจเบา ๆ ออกมา

"PDซงมันวูกับนักเขียนพัคอึนมีทำทั้งหมดนี้เพื่อคังวูจินงั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้น่า ทำไมกระทั่งนักเขียนพัคอึนมีที่แม้แต่ดาราดังยังต้องมาขอร้อง ถึงได้ทำขนาดนี้กัน?"

“มันไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายอะไรหรอก พวกเขาแค่เป็นพวกคลั่งไคล้อยากผลิตให้ดีที่สุดน่ะ”

"...ก็จริงนะ แต่ว่าไปชักน่าสนใจแล้วแฮะ"

สำหรับซีอีโอชเวซองกุน ผู้บริหารบริษัทบันเทิง ตัวตนของPDซงมันวูและนักเขียนพัคอึนมีก็ไม่ต่างอะไรกับภูเขาสูงชันเลย  ไม่ใช่แค่เขาหรอกที่คิด คนส่วนใหญ่ในวงการต่างก็คิดแบบเดียวกันกับเขา

ดังนั้น ซีอีโอชเวซองกุนจึงยิ่งอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับนักแสดงคังวูจินมากขึ้นไปอีก

“แต่ฟังที่เล่ามาตั้งแต่แรก เขาคนนี้ดูจะแปลก ๆ มากเลยนะ”

“อืม เขาฝึกฝนการแสดงด้วยตัวเอง ตามที่PDซงมันวูบอก เหมือนว่าเขาอาจจะเคยอยู่ต่างประเทศด้วย คงฝึกฝนมาหนักมากเลยล่ะ”

“ต่างประเทศเหรอ? หืม…ถ้าเกิดเขาเคยอยู่คณะละคร ฉันต้องเคยได้ยินชื่อเขาบ้างสิ”

ชเวซองกุนฟังเรื่องราวทั้งหมดจบ ก่อนจะยิ้มพร้อมสบตากับฮงฮเยยอน

“งั้นแสดงว่าเธอสนใจฝีมือการแสดงของคังวูจิน มากกว่าจะสนใจหนังเรื่อง ‘การไล่ผี’ สินะ?”

“เปล่า! มันไม่ใช่แบบนั้นนะ!!”

“อย่าแสร้งทำเป็นไม่ใช่เถอะ! เธอยังไม่ได้อ่านบท ‘การไล่ผี’ เลยไม่ใช่หรือไง!”

“······”

ทันใดนั้น

"พี่"

ฮงฮเยยอนที่กำลังจ้องมองซีอีโอชเวซองกุนที่อยู่ข้าง ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหัน

"เรามีเงินสดอยู่แค่ไหน?"

"กะทันหันงี้เหรอ? ถามแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า?"

“เรามีพื้นที่ว่างเหลือบ้างไหม? ถ้าไม่มีเตรียมไว้สักหน่อยก็ดีนะ เหมือนสุภาษิตที่ว่า ‘ศึกกว่าครึ่งล้วนชนะเพราะการเตรียมการณ์’ ใช่ไหมล่ะ? ถึงปกติมันจะแปลกก็เถอะที่หน้าใหม่จะได้โบนัสพร้อมเซ็นสัญญา แต่นายคนนี้เขาแปลกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะงั้นช่างเถอะ ดูท่าพี่ที่ห่างหายจากหน้าที่ผู้จัดการมานานคงต้องวิ่งวุ่นอีกหน่อยแล้วล่ะ ฉันฝากพี่ดูแลเขาแบบใกล้ชิดหน่อยก็แล้วกัน”

“เฮ้ เฮ้ เธอคงไม่ได้จริงจังอยู่ใช่ไหม?”

ฮงฮเยยอนที่หน้าบึ้งตึงเอ็ดซีอีโอในฐานะนักลงทุนทันที

“พูดจริงสิ ฉันแน่ใจเลยว่าต้องมีใครมาคว้าตัวเขาไปหลังจากการอ่านบทแน่ ๆ”

เช้าวันพฤหัสบดีที่ 20 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าออริ โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง

ประมาณเก้าโมงเช้า โรงภาพยนตร์ยังคงเงียบเหงา คงอาจเป็นเพราะรอบเช้า คังวูจินจึงกำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรออยู่คนเดียว เขาใส่เสื้อโค้ทยาวบุนวมและสวมหมวก

อยากรู้เหรอว่าทำไมคังวูจินถึงอยู่คนเดียวในโรงหนังเวลานี้?

คำตอบนั้นง่ายมาก เพราะเขาเพิ่งเริ่มต้นอาชีพนักแสดง เขาจึงสนใจสิ่งต่าง ๆ ที่เขาไม่เคยสนใจมาก่อน ดังนั้นคังวูจินจึงมาดูหนังคนเดียวเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิด ถึงแม้จะเป็นรอบเช้าก็เถอะ

หลังจากนัน้

-ฟึบ

ขณะรอหนังฉาย คังวูจินก็ก้มมองโทรศัพท์มือถือของเขา

“เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซงงั้นเหรอ?”

คังวูจินที่ถือโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือเริ่มค้นหาบางอย่าง จริง ๆ แล้วคังวูจินเคยลองค้นหามาก่อนแล้วหลังจากที่ได้พบกับผู้กำกับชินดงชุนเมื่อวาน แต่เขารู้สึกว่าเขาควรตรวจสอบเพิ่มเติมอีกครั้ง เพราะเขายังมีเวลาเหลือ

“พิธีมอบรางวัลที่น่าเชื่อถือมากที่สุดในตลาดหนังสั้น-เป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงมากที่สุด”

ขณะที่ค้นหารายละเอียดเกี่ยวกับ 'เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง' คังวูจินก็นึกถึงบทสนทนาของเขากับผู้กำกับชินดงชุนที่เขาไปเยี่ยมเมื่อเช้าวานก่อน

เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นจากผู้จัดการชินดงชุนที่มีดวงตาแดงก่ำ

เป็นตอนที่เขาขอให้คังวูจินรับบทคิมรยูจิน ตัวละครหลักในหนังสั้น ‘การไล่ผี’

“ได้โปรดรับบทคิมรยูจิน ตัวละครหลักในหนังสั้น ‘การไล่ผี’ ทีเถอะนะครับ”

ตอนนั้นคังวูจินรู้สึกสับสนไปหมด ชายที่กำลังร้องไห้อยู่จู่ ๆ ก็ขอให้เขารับบทตัวละครหลักอย่างกะทันหัน เพราะอย่างนั้นคังวูจินจึงได้แต่ต้องเงียบไว้ ผู้กำกับชินดงชุนจึงยังคงอธิบายต่อเอง

“จริง ๆ แล้วหนังสั้น ‘การไล่ผี’ ไม่ใช่หนังที่สร้างมาเพื่อฉายให้คนทั่วไปดู มันเป็นผลงานที่ตั้งใจจะเอาเข้าไปฉายตามเทศกาลหนัง”

“สำหรับเทศกาลหนังเหรอครับ?”

“ใช่ครับ มันชื่อว่า ‘เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง’ เหมือนกับรางวัลมังกรทองหรือรางวัลแพ็กซังของหนังตลาด ส่วน ‘เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง’ ถือว่าเป็นรางวัลที่ดีที่สุดสำหรับหนังสั้น มันเป็นประเพณีที่จัดมาอย่างยาวนาน มักจะจัดขึ้นในกลางเดือนเมษายน คงอีกสองเดือนข้างหน้า ผมตั้งเป้าหมายไว้ที่นั่น หลาย ๆ อย่างตอนนี้จึงค่อนข้างเร่งรีบอยู่พอควร”

“……….”

“ในหมู่คนทำหนัง ชื่อเสียงของรางวัลนี้มันเกือบจะเทียบเท่ากับรางวัลมังกรทอง ดังนั้นแทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก อ่า แน่นอนว่าคุณคังวูจินคงจะรู้จักอยู่แล้วสินะครับ?”

ไม่มีใครเคยพูดถึงเทศกาลหนังอะไรนี้มาก่อนเลย แต่คังวูจินก็ยังทำเป็นพยักหน้า เห็นด้วยอย่างจริงจังที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ครับ ประมาณนั้นครับ”

"อย่างที่คุณรู้ กรรมการของ 'เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง' ประกอบด้วยผู้กำกับชื่อดังในประเทศ และผู้กำกับหน้าใหม่ที่ได้รับรางวัลจากเทศกาลนี้ ถือว่าเป็นเส้นทางที่สดใสเลย ผู้กำกับที่เป็นกรรมการและประสบความสำเร็จหลายคน ต่างก็ได้รับชื่อเสียงมาจาก 'เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง' นี่แหละ"

คังวูจินเข้าใจคร่าว ๆ แล้วว่ามันเหมือนกับเป็นงานแสดงความสามารถพิเศษในการคัดเลือกนักแสดงของวงการหนัง คนดังส่วนใหญ่ก็ไปโผล่ตัวในรายการคัดเลือกนักแสดงจนตอนนี้เป็นดาราชั้นนำทั้งนั้นแล้ว

ช่วงเวลานี้เอง สีหน้าของผู้กำกับชินดงชุนก็ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“แต่การแข่งขันมันดุเดือดมาก มีผลงานส่งเข้าชิงทุกปีมากกว่า 600 เรื่อง มันรุนแรงขนาดที่หนังสั้นดี ๆ ยังโดนกลบ แค่จะติดอันดับ 40 แรกในรอบประกวดหลักก็เหมือนเสี่ยงโชคเลย แทบเหมือนจับสลากด้วยซ้ำไป”

“มันคือสงครามเลยสินะครับ”

“ก็แบบนั่นเลยแหละครับ มันเป็นสนามรบของผู้ที่เรียกตัวเองว่าผู้กำกับ มันเป็นประตูสู่วงการผู้กำกับภาพยนตร์ นักแสดงดังหลายคนต่างมาร่วมงานเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์ และคนดังในวงการหลายคนก็เข้ามามีส่วนร่วมมากมายด้วย ดังนั้นถ้าเกิดชนะได้รางวัลชนะเลิศ ก็จะกลายเป็นดาวเด่นในฐานะผู้กำกับหน้าใหม่ได้ในพริบตา”

แม้ว่าผู้กำกับชินดงชุนจะไม่ได้ลงลึกรายละเอียด แต่ก็มีหลายกรณีที่นักแสดงจะกลายเป็นคนดังจากเทศกาลหนังนี้ เพราะหนังสั้นหลายเรื่องจะถูกนำไปสร้างใหม่เป็นหนังตลาดลงโรงใหญ่

ทว่า หากผลงานไม่ดีมาก มันก็จะไม่ได้รับรางวัลใหญ่

ถึงจะมีประวัติการจัดเทศกาลยาวนานกว่า 20 ปี แต่จำนวนผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศมีเพียง 10 เรื่องเท่านั้น ดังนั้นหากเกิดชนะรางวัลชนะเลิศที่ 'เทศกาลหนังสั้นมิสอองแซง' ก็จะได้รับชื่อเสียงในวงการเป็นอย่างสูง แต่ว่ามันไม่ใช่เทศกาลกระแสหลัก

หลายคนไม่รู้จักเทศกาลหนังสั้นนี้

“เกณฑ์การประเมินเข้มงวดมาก ซึ่งมันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เพราะกรรมการเป็นผู้กำกับระดับมือฉมัง โดยจะมีการประเมินบทภาพยนตร์ การกำกับ การแสดงของนักแสดง ฯลฯ ในบรรดาสิ่งเหล่านี้ การกำกับและการแสดงของนักแสดงนั้นจะเป็นตัวได้คะแนนสูงสุด”

แค่ฟังดูเผิน ๆ ก็รู้เลยว่ามันยากอย่างไม่น่าเชื่อ ในความคิดของคังวูจิน มันเหมือนกับการร้อยเข็มที่รูเล็ก ๆ คังวูจินคิดเลยว่าการโดนลูกค้าปฏิเสธงานออกแบบหลายสิบครั้งดูน่าจะดีกว่าเป็นร้อยเท่า

'เป็นเทศกาลหนังอันทรงเกียรติสินะ'

ในช่วงเวลานี้เอง ผู้กำกับชินดงชุนซึ่งมีตาแดงก่ำก็กล่าวว่า

“จริง ๆ แล้ว สถานการณ์การผลิตของหนังสั้น ‘การไล่ผี’ ตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก”

เขาได้สรุปทุกอย่างเกี่ยวกับหนังสั้นเรื่อง ‘การไล่ผี’ ทันที

แล้วก็....

“แต่ตอนนี้ มันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วครับ ผมจะยอมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบริษัทหนังที่ผมเคยพูดถึง การลงทุน นักแสดง ผมจะเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ต้น แน่นอนว่ามันขึ้นอยู่กับคุณคังวูจินแล้ว เพราะงั้นได้โปรดรับบทเป็นคิมรยูจินด้วยนะครับ”

“……….”

อะไรนะ จะเริ่มต้นใหม่หมดเลยเหรอ? เป็นเพราะฉันเนี่ยนะ? สถานการณ์ชักเลวร้ายแล้วสิ คังวูจินพยายามห้ามปรามเขา ขณะพยายามประคองหน้านิ่งไว้ ดูเหมือนว่าผู้กำกับคางเหลี่ยมจะตื่นเต้นเกินไปหน่อแล้วมั้ง

“ผู้กำกับ คุณไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองมากขนาดนั้นหรอกครับ”

“มันไม่ใช่การกดดันตัวเองนะครับ!”

แต่กลับกลายเป็นว่ามันส่งผลตรงกันข้าม ผู้กำกับชินดงชุนยิ่งมุ่งมั่นมากขึ้นจากการห้ามปรามของคังวูจิน อะดรีนาลีนคล้ายพุ่งพล่านจนถึงขีดสุด

“ผมต้องทำแบบนี้ เพราะผมจะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดใจและไม่ต้องกังวลอะไรอีก เดี๋ยวผมจะรีเซ็ตทุกอย่างให้มันกลับไปที่จุดเริ่มต้นเอง เพราะงั้นสิ่งเดียวที่ผมอยากขอจากคุณคังวูจินคือเรื่องการมาแสดงครับ”

“อ่า”

“ได้โปรดรับบทเป็นคิมรยูจินด้วยเถอะนะครับ ตัวละครจะมีชีวิตขึ้นมาก็ต่อเมื่อนักแสดงที่รักและผูกพันกับตัวละครนั้นมารับบทบาท โปรดลองดูสักครั้งนะครับ คุณคังวูจิน”

มันมากเกินไปแล้ว ผู้กำกับชินดงชุนคล้ายกำลังหลั่งอะดรีนาลีนจนล้นทะลัก เมื่อสักครู่เขายังสะอื้นอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับดูดื้อรั้นออกนอกหน้านอกตา จนคังวูจินรู้สึกว่าห้ามปรามเขาไม่อยู่แล้ว

อืม ตอบรับไปจะเสียอะไรหรือเปล่านะ?

แม้สถานการณ์จะเลวร้ายไปกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ถึงกระนั้น คังวูจินก็สามารถทำตามเป้าหมายเบื้องต้นของเขาสำเร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทศกาลหนัง รางวัลชนะเลิศหรืออะไรก็มาเถอะ เขาขอแค่แสดงพอ

หลังจากได้ข้อสรุป คังวูจินก็ยื่นมือไปหาผู้กำกับชินดงชุนอย่างใจเย็น

“ผมรอคอยที่จะได้ร่วมงานกับคุณอยู่นะครับ ผู้กำกับ”

ขณะนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ คังวูจินก็ออกจาห้วงภวังค์กลับคืนสู่โลกความเป็นจริงในโรงหนัง และเช็คเวลาทันที

“อ่า ถึงเวลาแล้วสินะ”

ถึงเวลาต้องไปแล้ว เพราะหนังกำลังใกล้ฉาย ในไม่ช้า เมื่อคังวูจินกำลังจะขยับไปที่ห้องฉายหนัง...

"เอ่อ-แต่ว่า..."

ทันใดนั้น เขาที่กำลังคิดเกี่ยวกับเรื่อง 'การไล่ผี' ก็เพิ่งนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้

"สงสัยแฮะว่าพัคจองฮยอก นักแสดงที่ถูกเลือกเป็นตัวละครหลักในตอนแรกให้มาฟอกตัวด้วยหนังเรื่องนี้จะโกรธไหมนะ? คงโกรธแหง"

เขาพึมพำอย่างไม่ใส่ใจ

"ช่างเถอะ มันไม่ใช่เรื่องของฉันสักหน่อย"

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ณ นอนฮยอน จีจีโอเอนเตอร์เทนเมนต์

ตอนใกล้เที่ยงวัน ที่สำนักงานใหญ่ของจีจีโอเอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทบันเทิงขนาดใหญ่แห่งนี้ตกแต่งด้วยกระถางต้นไม้นานาพันธุ์

เสียงตะโกนดังลั่นขึ้นอย่างกะทันหันภายในสำนักงาน

"อะไร?! พวกเขาปฏิเสธเราเหรอ?!"

คนที่ตะโกนโวยวายออกมาคือซอกูซอบ ซีอีโอของจีจีโอเอนเตอร์เทนเมนต์ ชายร่างเตี้ยผู้มีใบหน้าคล้ายสุนัขพันธุ์บูลด็อก เขาตอนนี้กำลังตะโกนใส่พนักงานชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา

"แกพูดอะไรบ้า ๆ กัน! ทุกอย่างราบรื่นดีจนถึงเมื่อวันก่อนนี้ไม่ใช่เหรอ!"

พนักงานตัวแทบหดลงเพราะเสียงตะโกนของอีกฝ่าย พนักงานคนนี้พยายามตอบกลับอย่างทุลักทุเล

"เอ่อ...คือผมเพิ่งได้รับโทรศัพท์ บริษัทภาพยนตร์บลูวิชั่นฟิล์มเพิ่งตัดสินใจในเช้าวันนี้ครับ"

"อะไรนะ?!"

"ผู้กำกับหนังสั้น 'การไล่ผี' ต้องการที่จะยกเลิกทุกอย่างที่กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งไม่เพียงแค่เรื่องดาราและการลงทุนที่ว่าเท่านั้น แต่ดูเหมือนเขาตัดความสัมพันธ์กับบริษัทบลูวิชั่นฟิล์มด้วยครับ"

สิ่งที่พนักงานกล่าวมาโดยสรุปคือ แผนธุรกิจที่พวกเขาดำเนินอยู่ทั้งหมดตอนนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ทุกอย่างเป็นเพราะคำพูดของผู้กำกับ 'การไล่ผี' กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จีจีโอเอนเตอร์เทนเมนต์กำลังถูกผู้กำกับชินดงชุนปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซอกูซอบ ซีอีโอผู้มีหน้าตาคล้ายสุนัขพันธุ์บูลด็อกก็กัดฟันแน่น

“ไอ้นี่มันกล้า...ปฏิเสธฉัน ปฏิเสธจีจีโอเอนเตอร์เทนเมนต์งั้นเหรอ?”

ซีอีโอซอกูซอบโกรธแค้นมากที่เขาและจีจีโอเอนเตอร์เทนเมนต์ถูกปฏิเสธ มากกว่าแผนธุรกิจที่ยื่นไปถูกล้มเลิก สาเหตุคงเป็นเพราะเขาภาคภูมิใจในตนเองมากกระมัง

"ฉันรู้จักชินดงชุนตั้งแต่สมัยเป็น PD และเคยสนใจบทของเขาด้วย แต่ไอ้นี่มันเลวร้ายเหลือเกินนะ"

“…”

“ถึงกับกล้าเรียกร้องความสนใจด้วยบทภาพยนตร์ที่ไร้สาระแบบนั้น เหอะ!”

ในไม่ช้า ซีอีโอซอกูซอบก็ทุบโต๊ะอย่างแรง หันหน้าไปทางขวา มีชายรูปร่างค่อนข้างน่าเกรงขามนั่งอยู่บนโซฟาห้าที่นั่งอันหรูหรา เขาตะโกนใส่ชายคนนั้นทันที

“เฮ้ย พัคจองฮยอก! ลืมเรื่องหนังสั้น ‘การไล่ผี’ ไปซะ! เลือกบทหนังเรื่องอื่น! ให้ตายเถอะ หนังสั้นที่จะไป 'เทศกาลหนังมิสอองแซง' มีแต่หนังเล็ก ๆ ไม่สำคัญหรอก!”

ชายตรงหน้าคือพัคจองฮยอก ผู้วางแผนการฟอกตัวเองด้วยหนังสั้น ‘การไล่ผี’ อดีตนักแสดงระดับแนวหน้า แม้ความนิยมจะไม่สูงเท่าแต่ก่อน แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง

เขาตอบขณะไขว่ห้าง

“ผมรู้ว่ามีหนังสั้นเรื่องอื่นให้เลือกเยอะแยะ คุณซีอีโอ แต่มันแปลกไปหน่อยไหมที่เราโดนปฏิเสธ? เมื่อวันก่อนคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”

“…”

ซีอีโอซอกูซอบที่สบตากับพัคจองฮยอก ทันใดนั้นก็มองกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นเขาก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ หยิบเอาซองบุหรี่บนโต๊ะขึ้นมา

“ผู้กำกับชินดงชุนที่จนมุม แทบจะจนตรอก แต่กลับเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาอย่างกะทันหันภายในคืนเดียว ถึงขนาดยกเลิกทุกอย่างที่กำลังดำเนินการอยู่อย่างเร่งรีบ รวมถึงเรื่องการลงทุนและพัคจองฮยอกด้วย…”

หลังจากคิดอยู่นานประมาณ 10 วินาที ซีอีโอซอกูซอบผู้กำลังครุ่นคิดก็ได้ข้อสรุปขณะที่สูบบุหรี่

“ผู้กำกับชินดงชุนคงหาตัวแสดงนำชายคนอื่นมาแทนได้แล้วหรือเปล่า?”

เขาเริ่มสันนิษฐานต่อทันที

“อย่างน้อยก็คงเป็นนักแสดงระดับ A หรืออาจจะถึงขั้นระดับแนวหน้าเป็นแน่”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด