บทที่ 16: พลิกผัน (1)
บทที่ 16: พลิกผัน (1)
‘ทำไมผู้กำกับคางเหลี่ยมคนนี้ถึงน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาล่ะ?’
คังวูจินนั่งอยู่ริมหน้าต่างในร้านกาแฟ ภายนอกเขาดูสงบนิ่งมาก แต่ภายในใจนั้นรู้สึกตกใจมากเมื่อเห็นผู้กำกับชินดงชุนที่นั่งอยู่ตรงข้าม
‘หรือว่าฉันพูดอะไรผิดไป? ฉันไม่ได้ทำท่าทีแข็งกร้าวอะไรเลยนะเมื่อกี้นี้’
ผู้กำกับคนนี้เขามีความอ่อนไหวทางอารมณ์มากอยู่แล้วหรือเปล่า? การที่คังวูจินคิดเช่นนี้เป็นเรื่องปกติมาก ไม่ว่าใครก็คงมีปฏิกิริยาแบบเดียวกันกับเขา เพราะถ้าเกิดจู่ ๆ คนที่เขากำลังคุยด้วยกลับน้ำตาไหลพรากออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว ยิ่งเป็นผู้ชายที่ดูน่าจะอายุสี่สิบกว่าด้วยแล้ว มันยิ่งดูแปลกมาก
‘ถ้าเขาร้องไห้ขึ้นมาจริง ๆ ฉันควรทำยังไงดีเนี่ย? นิ่งต่อไป หรือปลอบใจดี? แล้วทำไมเขาถึงร้องไห้กันเล่า!’
คังวูจินครุ่นคิดอย่างจริงจัง พยายามรักษาท่าทางเคร่งขรึมไว้ ขณะเดียวกันนั้นเอง ผู้กำกับชินดงชุนก็เอ่ยขึ้นว่า
“ขอบคุณ… ขอบคุณจริง ๆ นะครับคุณคังวูจิน”
บรรยากาศภายในร้านกาแฟยิ่งชวนซึ้ง ราวกับกำลังดูหนังเศร้าสักเรื่อง ดวงตาของผู้กำกับชินดงชุนแดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้าราวกับจะไหลออกมาทุกวินาที
นี่มันเกิดขึ้นกันเนี่ย?
คังวูจินได้พูดคำพูดที่เขาคิดตั้งแต่เดินเข้ามาในร้านกาแฟ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรที่รุนแรงเลยนะ หรือคำว่า ‘ผูกพัน’และ ‘ความรัก’ ไปกระตุ้นอะไรบางอย่างในตัวผู้กำกับชินดงชุนเข้า แต่คังวูจินไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เขาแทบไม่รู้เรื่องราวชีวิตปัจจุบันของผู้กำกับชินดงชุนด้วยซ้ำ
‘แย่แล้ว สถานการณ์มันดูแย่ลงเรื่อย ๆ ฉันควรจะหยุดดีไหม?’
ที่สำคัญที่สุด คังวูจินไม่ได้อินมากกับเรื่อง 'การไล่ผี' ขนาดนั้น คำว่า 'ผูกพัน' ที่เขาเลือกใช้ก็แค่เป็นคำที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดเท่านั้น
ส่วนสาเหตุที่เขาพูดไปเช่นนี้ก็ธรรมดามาก
ช่วงหลัง ๆ มานี้ นอกจากเรื่อง 'ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล' แล้ว เรื่องเดียวที่เขาสนใจก็คือหนังสั้น 'การไล่ผี' ดังนั้นเขาจึงคิดว่าการใช้คำว่า 'ผูกพัน' น่าจะเป็นคำที่เหมาะสม แต่มันอาจจะดูเวอร์ไปหน่อยมั้ง? ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สรุปแล้วคือเขาอยากจะทำตัวเป็นคนอวดี แต่ขณะเดียวกันเขาก็ต้องเคารพอีกฝ่ายด้วย ทำให้คำว่า 'ผูกพัน' ในที่นี้ที่เขาพูดออกไปมันเป็นเชิงแนวโอ้อวด มากกว่าแสดงความสนใจ
ซึ่งที่พูดไปเขาไม่ได้โกหกอะไรเลยนะ
ความจริง คังวูจินก็แอบสนใจเรื่อง 'การไล่ผี' อยู่เหมือนกัน การพูดเสริมว่าตัวเองรู้สึก 'ผูกพัน' กับเรื่องนี้ อีกฝ่ายฟังแล้วคงไม่ติดใจอะไร แต่ทำไมตาแกถึงแดงก่ำขึ้นมากันล่ะ?
ไม่นานนัก คังวูจินก็กระแอมเบา ๆ และพูดขึ้น
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
ต่อมา ผู้กำกับชินดงชุนก็เช็ดน้ำตาบริเวณรอบดวงตาเสร็จเสียที
-ฟู่
เขาสงบอารมณ์ที่อ่อนไหว ไม่ได้แสดงท่าทีอันไม่เคารพอีกต่อไป เพราะนักแสดงชายคนหนึ่งที่ผูกพันกับผลงานของเขากำลังนั่งอยู่ตรงหน้า
“······คุณคังวูจินครับ”
จากนั้น ผู้กำกับชินดงชุนก็เอ่ยถามคังวูจินด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย
“หนังสั้น ‘การไล่ผี’…คุณชอบตรงไหน…ขออนุญาตให้ผมถามได้ไหมครับ?”
ส่วนไหนที่เขาชอบเหรอ? คังวูจินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่การทำให้ผู้กำกับชินดงชุนที่อยู่ในอาการไม่ปกติเช่นนี้ ควรจะรีบทำให้สงบลงดีกว่า เพราะผู้คนในร้านกาแฟเริ่มหันมามองแล้ว
'ไม่รู้เลยแฮะว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ จริงสิ สงสัยต้องชื่นชม ใช่แล้ว ชื่นชมเขาสักหน่อยดีกว่า'
ดังนั้น คังวูจินจึงตัดสินใจพูดถึงข้อดีของ ‘การไล่ผี’ แน่นอนว่าเขายังคงรักษาท่าทางอันเคร่งขรึมของเขาไว้เช่นเดิม
“ประการแรก คงเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของตัวละครหลักอย่างคิมรยูจินที่ถ่ายทอดออกมาอย่างละเอียดอ่อนมาก ตอนแรกเขาค่อนข้างเฉื่อยชา แต่....”
คังวูจินยังคงกล่าวคำชมอย่างใจเย็นต่อไป พลางสังเกตอาการของผู้กำกับชินดงชุนอย่างพิถีพิถัน ผู้กำกับชินดงชุนเป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ อีกฝ่ายคงไม่มีทางได้สัมผัส ‘การไล่ผี’ ด้วยตัวเองเหมือนคังวูจินที่ได้อ่าน‘การไล่ผี’ อย่างละเอียดถี่ถ้วนหรอก
ดังนั้น คำพูดที่พรั่งพรูออกมาจากคังวูจินจึงแยบคายอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นคำชมที่เฉพาะคนอย่างคังวูจิน ผู้มีพลังแห่งมิติว่างเปล่าเท่านั้นที่จะสรรสร้างออกมาได้
ณ จุดนี้เอง
“อืม…”
ผู้กำกับชินดงชุนตาแดงก่ำ เขารู้สึกตกใจและเกิดความรู้สึกอันรุนแรงถาโถมเข้าใส่ใจอีกครั้ง
'ขะ-เขารู้รายละเอียดของบทเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเขาได้เข้าไปในโลกของ 'การไล่ผี' แล้วออกมาเลย'
นักแสดงคังวูจินเข้าใจทุกแง่มุมของ 'การไล่ผี' อย่างชัดเจน
‘ตั้งแต่ความคิดและอารมณ์ของตัวละคร ไปจนถึงเบื้องหลังของงาน ฉาก แม้กระทั่งสภาพอากาศ เขายังทำให้ฉันนึกถึงส่วนที่ฉันมองข้ามไปด้วย เขาต้องอ่านบทของฉันหลายสิบครั้งแล้ว ไม่สิ อาจมากกว่านั้นอีก'
ดูเหมือนว่าเขาจะวิเคราะห์บทเสร็จหมดแล้ว ถึงขั้นสร้างแบบตัวละครได้เลยด้วยซ้ำ ในไม่ช้า ผู้กำกับชินดงชุนจึงได้แต่กล่าวโทษตัวเองขณะจ้องมองไปที่คังวูจินอย่างตั้งใจ
‘เฮ้ย ชินดงชุน มีนักแสดงคนไหนบ้างที่แสดงความรักและผูกพันกับ ‘การไล่ผี’ ได้ขนาดนี้’
ความเข้าใจผิดครั้งใหญ่เริ่มเกิดขึ้นอีกครั้งเข้าให้แล้ว…
'นายจะทิ้ง 'การไล่ผี' ไปให้คนอื่นมันใช้ฟอกตัวงั้นเหรอ?'
ไม่ว่ายังไง ตอนนี้ผู้กำกับชินดงชุนตัดสินใจแล้ว
‘ฝีมือการแสดงของเขามันมากพอที่จะเอาไปโชว์ในวงการภาพยนตร์ได้เลย ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีกแล้ว แถมนักแสดงคนนี้ยังวิเคราะห์ผลงานของฉันอย่างละเอียดขนาดนี้อีก’
‘ฉันจะพลิกสถานการณ์ทุกอย่างของหนังสั้น ‘การไล่ผี’ ให้จงได้’
“ฉันจะเปลี่ยนทุกอย่างเอง”
“เอ่อ...อะไรนะครับ?”
“คุณคังวูจิน”
ยามนี้ผู้กำกับชินดงชุน ใบหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน เขาโน้มตัวเข้าหาคังวูจินอย่างเชื่องช้า คังวูจินยังคงหน้านิ่งเฉย เอนตัวออกไปอย่างแนบเนียน
เพราะจู่ ๆ ผู้กำกับชินดงชุนดันโพล่งออกมาอย่างแข็งขันเช่นนี้
“ได้โปรดรับบทเป็นตัวละครหลักคิมรยูจินของหนัง 'การไล่ผี' ด้วยเถอะครับ”
***
ในระหว่างนั้นเอง ใกล้กับภูเขาพูคันซาน
คนประมาณสิบคนทยอยอกมาจากรถมินิบัสสีเหลืองสองคัน ดูเผิน ๆ พวกเขาเหมือนนักท่องเที่ยว แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่
“ถึงแม้จะลำบากสักหน่อย แต่ระหว่างปีนเขากรุณาดูรอบตัวดี ๆ ด้วยนะครับ! ถ้าเจออะไรแปลก ๆ รีบแจ้งคุณPDทันทีเลยนะครับ!!”
ประโยคดังกล่าวได้ออกมาจากปากทีมงานหลักของละคร ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล’ หัวหน้าแต่ละทีม ไม่ว่าจะเป็นทีมถ่ายทำ ทีมไฟ ฯลฯ มากันพร้อม แน่นอนว่า PDซงมินวูผู้มีหนวดเครา ผู้คุมทีมงานทุกคนก็อยู่ด้วยเช่นกัน
“เตรียมน้ำดื่มมาด้วย-”
“รับทราบครับพี่!”
เหตุผลที่ PDซงมันวูออกมาที่ภูเขาพูคันซานในวันทำงานช่วงเช้า แถมยังเป็นช่วงปลายฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ มันมีเหตุผลเรียบง่ายอยู่อย่างหนึ่ง เขามาเพื่อหาสถานที่ถ่ายทำกลางแจ้งสำหรับละคร ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล’ พวกเขาจึงต้องปีนขึ้นเขาเพื่อตรวจสอบพื้นที่ที่จะใช้สำหรับฉากแรก
จากนั้น PDซงมันวูก็ได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมกับผู้ช่วยผู้กำกับที่กำลังเก็บของ
“แจ้งให้ทุกคนทราบจุดนัดพบอีกครั้ง เราคงไม่อยากให้ใครหลงทางเพราะสับสนหรอกนะ”
“รับทราบครับพี่!”
ช่วงเวลานั้นเอง ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากทางด้านหลัง
-ตืด....♬♪
ลมแรงทำให้เสื้อกันลมของPDซงมันวูผู้มีหนวดเคราพองออก เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูชื่อผู้โทรตามนิสัย แล้วจึงเอียงคอด้วยความสงสัย
“ฮงฮเยยอนเหรอ?”
ปรากฏว่าผู้โทรคือฮงฮเยยอ นักแสดงสาวแถวหน้า ซึ่งเธอเป็นนางเอกของละครด้วย การที่เธอโทรมาจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เวลาต่างหากที่มันเป็นปัญหา
“ทำไมเธอถึงโทรมาหาเช้าขนาดนี้กันล่ะ?”
PDซงมันวูขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาชี้มือให้ผู้ช่วยผู้กำกับเดินหน้าต่อไปเลย จากนั้นจึงรับสาย
“อืม...ฮงฮเยยอน”
ฮงฮเยยอนหัวเราะเบา ๆ จากปลายสาย
“คุณPDอยู่ไหนคะ?”
“ผมน่ะเหรอ? ตอนนี้อยู่ที่ภูเขาพูคันซานครับ”
“อ๋อ ไปหาที่ถ่ายทำเหรอคะ?”
“ครับ ไปหาพื้นที่ถ่ายทำน่ะ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าถึงโทรมาเช้าขนาดนี้? โทรมาคงไม่ใช่เพราะอยากรู้ตารางงานของผมใช่ไหม?”
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ”
ฮงฮเยยอนที่กำลังอ้ำอึ้งอยู่เล็กน้อย จึงรีบพูดประเด็นสำคัญออกมาทันที
“เมื่อวันก่อนตอนเราไปกินข้าวร้านอาหารเกาหลี คุณรับโทรศัพท์แล้วรีบออกไปโดยพูดกเรื่องคังวูจินด้วย จำได้ไหมคะ?”
“···ผมพูดเหรอ?”
“คือที่จริง...ฉันแค่กังวลว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น เพราะสีหน้าของคุณมันดูแข็งทื่อมาก ทำไมเหรอคะ? คังวูจินทำอะไรหรือเปล่า?”
เธอพูดถึงเหตุการณ์ที่ร้านอาหารเกาหลีสุดหรูย่านชองดัมดงเมื่อวันก่อนที่PDซงมันวูได้รับโทรศัพท์จากผู้กำกับชินดงชุน แล้วเดินออกจากห้องวีไอพีไป
“อ๋อ เรื่องนั้นเองสินะ”
ทันใดนั้น PDซงมันวูก็หยุดพูด จากนั้นฮงฮเยยอนจึงเร่งเขาจากปลายสายทันที
“ค่ะ...แล้วสรุปมันเรื่องอะไรกันคะ?”
“······”
อย่างไรก็ตาม PDซงมันวูกลับไม่พูดต่อ ความคิดของเขาเริ่มหมุนวนไปมา
‘อืม…จะว่าไป… ตอนที่ฉันกลับเข้าไปในห้อง ฮงฮเยยอนก็ดูเหมือนจะถามถึงคังวูจินด้วยไม่ใช่เหรอ?’
แถมยังไม่ใช่แค่นั้น ตั้งแต่เธอได้เห็นคังวูจินในรายการ ‘สุดยอดนักแสดง’ ฮงฮเยยอนนักแสดงสาวแถวหน้าคนนี้กลับดูจะสนอกสนใจในตัวเขามากเป็นพิเศษ PDซงมันวูได้แต่คิดเช่นนั้นในใจ
‘เธอคิดอะไรกับคังวูจินหรือเปล่านะ?’
แต่ไม่หรอกมั้ง ฮงฮเยยอนคงไม่ได้สนใจอะไรเลยนอกจากฝีมือการแสดงอันยอดเยี่ยมของคังวูจิน เหตุผลก็ง่าย ๆ เพราะในฐานะนักแสดงแถวหน้า ฮงฮเยยอนมีความกระหายที่จะแสดงบทบาทต่าง ๆ เป็นอย่างมากอยู่แล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เธออาจรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจากการแสดงของคังวูจิน อาจเป็นเป็นแรงบันดาลใจ ความทะเยอะทะยานหรืออะไรก็ตามแต่
ซึ่งนี่แหละคือเหตุผลที่PDซงมันวูนับถือฮงฮเยยอน
แม้ว่าชื่อเสียงและอันดับของฮงฮเยยอนจะเพิ่มขึ้นทุกปี แต่เธอก็ยังคงกระหายที่จะพัฒนาฝีมือการแสดงอยู่เสมอ นักแสดงอย่างฮงฮเยยอนสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสุขสบายแค่รับงานโฆษณาเพียงอย่างเดียวก็ได้ แต่เธอกลับยังคงแสดงความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ และเธอก็สามารถพัฒนาฝีมือของตนได้จริง ๆ
‘สำหรับฮงฮเยยอนแล้ว คังวูจินอาจดูเหมือนเป็นมนุษย์ต่างดาวเลย เธอประสบความสำเร็จได้ด้วยความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง แต่คังวูจินดันทำมันได้ด้วยตัวเอง’
ถึงไม่ได้เรียนการแสดงมา แต่คังวูจินก็สามารถดึงดูดความสนใจจากPDซงมันวูและนักเขียนพัคอึนมีได้อย่างอยู่หมัด แน่นอนว่าฮงฮเยยอนเองก็โดนเหมือนกัน บางทีเธอคงจะไม่รู้สึกล่ะมั้ง?
‘ในฐานะนักแสดง นอกเหนือจากเรื่องชื่อเสียงแล้ว เธอคงกำลังคิดว่าตัวเองตามหลังคังวูจินอยู่หรือเปล่า?’
บางทีฮงฮเยยอนอาจจะร้อนใจ หรืออาจจะเป็นความอิจฉาที่กำลังแปรเปลี่ยนกลายเป็นยาพิษกันแน่? ในไม่ช้า PDซงมันวูก็หันกลับมาพร้อมกับลูบเคราของเขา
‘อืม ฮงฮเยยอนเป็นคนที่ยอมรับทุกงานขอแค่ถ้าเธออยากจะทำ ไม่ว่าจะเป็นหนังอินดี้หรือหนังสั้น ถ้ามันช่วยพัฒนาฝีมือการแสดงของเธอได้ เธอพร้อมลงแสดงหมด
เขาหวนนึกถึงเนื้อเรื่องของบทภาพยนตร์ ‘การไล่ผี’ ที่เขาได้รับจากผู้กำกับชินดงชุน
‘และบท ‘การไล่ผี’ ก็มีบทตัวละครหญิงที่น่าสนใจอยู่ด้วย ถ้าฉันลองยื่นมือเข้าไปในสถานการณ์นี้ มันอาจจบได้สวย…แถม มันคงจะสนุกน่าดูว่าไหม?’
PDซงมันวูได้ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์โดยไม่รู้ตัว ในช่วงเวลานี้เอง เขาได้ยินเสียงของฮงฮเยยอนอีกครั้งทางโทรศัพท์
"คุณPDคะ คุณยังอยู่ไหมคะเนี่ย? สัญญาณไม่ดีเหรอคะ? เพราะคุณอยู่บนเขาหรือเปล่าคุณPD?"
เสียงตอบกลับพลันดังมาจากPDซงมันวู "อ๋อ ขอโทษที เมื่อครู่ผมไม่ได้ยินน่ะ"
เขาได้ข้อสรุปในใจแล้ว
“ทำไมถึงมีปลาตัวใหญ่มากมายวนเวียนอยู่รอบตัวคังวูจินคนนั้นนะ อืม งั้นมาทอดเบ็ดรอเหยื่องับก่อนแล้วกัน”
ศูนย์กลางของทุกสิ่งตอนนี้คือคังวูจิน เขาเป็นคนที่ทำให้ทั้งผู้กำกับชินดงชุนและฮงฮเยยอนหลงใหล ด้วยเหตุนี้สิ่งต่อไปที่ออกมาจากปากของPDซงมันอูก็คือ…
“พอดีว่าจู่ ๆ คังวูจินก็ไปเจอน้องชายของผม ผมเลยรู้สึกประหลาดใจมากน่ะครับ”
“น้องชายของคุณเหรอคะ?”
“อืม ใช่ครับ คุณรู้จักชินดงชุนใช่ไหม?”
“อ๋อ ฉันรู้จักเขาดีเลยค่ะ ผู้กำกับชินดงชุน แต่ช่วงนี้ออกไปไหนไม่ค่อยเห็นเลย คงยุ่งอยู่กับการกำกับหนังสินะคะ”
“ใช่แล้วครับ ดูเหมือนว่าคังวูจินอยากจะทำหนังสั้นที่ชินดงชุนเขียนบทไว้”
“อะไรนะคะ…กะทันหันแบบนี้เลย? บทละครยังไม่เริ่มอ่านเลยไม่ใช่เหรอคะ?”
“เอ่อ...ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน ไว้ต้องลองยืนยันดูอีกที แต่มันดูเหมือนกับว่าสถานการณ์ของหนังสั้นเรื่องนั้นมันค่อนข้างยุ่งยากอยู่นิดหน่อยครับ”
“ทำไมเหรอคะ?”
คำถามของฮงฮเยยอนดังมาตามสาย แต่PDซงมันวูกลับยิ้มกริ่ม เขาปฏิเสธที่จะตอบคำถามนั้น เพราะถ้าเขาเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง ความอยากรู้อยากเห็นของเธอคงจะลดลงไปแน่
“ไว้ทีหลังล่ะกันครับ ตอนนี้ผมยุ่งอยู่ คุณฮงฮเยยอนเอาไว้คุยกันอีกทีนะ”
“เดี๋ยวก่อนสิค่ะ!”
“อะไรเหรอครับ?”
“คุณเคยเห็นบทหนังสั้นของผู้กำกับชินดงชุนหรือเปล่าคะ? ชื่อเรื่องว่าอะไรคะ?”
“ผมเคยเห็นแล้วครับ เขียนได้ดีเลยแหละ ส่วนชื่อเรื่องเห็นว่าเป็น 'การไล่ผี'”
“……”
มาถึงตอนนี้ PDซงมันวูก็เริ่มหย่อนเบ็ดลงไปอีก
“ทำไมเหรอครับ? อยากอ่านบทเหรอครับ? ให้ผมยืมให้ไหม?”
ฮงฮเยยอนติดเบ็ดทันที
“ได้ค่ะ! ถ้าคุณให้ยืมฉันก็จะอ่านค่ะ”
10 นาทีต่อมา ที่บ้านของฮงฮเยยอน
บ้านของเธอตั้งอยู่แถว ๆ ชองดัมดง เหมาะกับคำว่า ‘หรูหรา’ อย่างที่สุด ภายในตกแต่งแบบโมเดิร์น
เน้นโทนสีขาวดำ เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นล้วนเป็นแบรนด์ชั้นนำ
ฮงฮเยยอนกำลังนั่งอยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่น ท่ามกลางบรรยากาศหรูหรานั้น
แม้แต่ชุดนอนของเธอก็ยังเป็นสีดำ ผมยาวของเธอมัดเกล้าไว้เรียบง่าย เธอจ้องมองไปยังบางสิ่งอย่างว่างเปล่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความคิด
“……”
จากนั้น ฮงฮเยยอนก็มองไปที่โทรศัพท์ในมือของเธอ เธอเริ่มนึกถึงบทสนทนากับPDซงมันวูเมื่อ 10 นาทีที่แล้ว
‘จู่ ๆ ก็จะไปแสดงหนังสั้นเนี่ยนะ?’
ฮงฮเยยอนเริ่มนึกถึงคังวูจิน นักแสดงสุดแปลกคนนั้น
‘เขาไปแสดงหนังสั้นทำไมหลังจากได้มีส่วนร่วมในละครใหญ่โตอย่าง ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล’ กัน?’
ความอยากรู้และความสนใจของเธอกำลังจะพุ่งพล่าน อาจเพราะตอนนี้เธอเริ่มสนใจคังวูจิน นักแสดงประหลาดคนนี้เป็นอย่างมาก หรืออาจจะเรียกได้ว่า สนใจทักษะการแสดงอันเป็นเอกลักษณ์และเหนือชั้นของเขามากกว่า
“...ฉันอยากดูหนังสั้นเรื่องนั้น”
มันไม่ใช่แค่เรื่องของบทภาพยนตร์เท่านั้น แต่สิ่งที่ฮงฮเยยอนอยากเห็นตอนนี้ไม่ใช่แค่คลิปวิดีโอ แต่เป็นตัวคังวูจินเองต่างหาก เธออยากจะดูการแสดงของเขากับตาตัวเอง เพราะเธอจะสามารถสัมผัสวิธีการแสดงของเขาได้ก็ต่อเมื่อดูเขาแสดงสด ๆ ตรงหน้าเธอเท่านั้น
ความทะเยอทะยานอันแรงกล้าที่มีต่อการแสดงของเธอถูกกระตุ้นอย่างเต็มที่
แล้วทันใดนั้น
-พึบ
ฮงฮเยยอนละสายตาจากโทรศัพท์มือถือไปที่โต๊ะตรงหน้าเธอ บนโต๊ะมีบท 3 หน้าที่เธอเคยได้รับจากรายการ ‘สุดยอดนักแสดง’ วางอยู่ ที่จริงแล้วเธอกำลังแอบฝึกซ้อมบทนี้อยู่ด้วย
แต่ว่า
‘ไม่ว่าฉันจะฝึกซ้อมมากแค่ไหน มันก็ไม่ออกมาเหมือนคังวูจินเลย’
เธอทำไม่ได้ เธอฝึกซ้อมทุกครั้งที่มีเวลาว่างสองสามวัน ทว่าก็ยังทำไม่ได้เหมือนเขาเลย แต่คังวูจินเพียงดูบทนี้ประมาณหนึ่งนาที แล้วกลับแสดงออกมาได้อย่างง่ายดาย
‘ฉันไม่รู้เรื่องในอดีตของเขา แต่ถ้าเขา…ถ้าเขาก้าวขึ้นมา เขาจะต้องกลบรัศมีของนักแสดงชั้นนำคนอื่น ๆ ได้อย่างแน่นอน ทำได้แบบไม่ต้องสงสัยเลย ฉันเองคงไม่อาจทัดเทียมเขาได้ด้วยซ้ำ’
ในตอนนี้เอง ฮงฮเยยอนรู้สึกถึงความหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก มันพุ่งพล่านขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เฮ้อ-จริง ๆ เลยนะ ฉันล่ะเกลียดการถูกแซงหน้าชะมัด!”
ขณะเดียวกันนั้น
-ดิ่งด่อง♬♪
เสียงกริ่งประตูบ้านของเธอดังขึ้น ดูเหมือนว่าเธอจะนัดใครสักคนไว้ แต่ฮงฮเยอนก็ยังเปิดประตูหน้าบ้านด้วยความรำคาญที่ยังคงค้างคาใจ ชายคนหนึ่งที่สวมแว่นกรอบโลหะได้ปรากฏตัวขึ้น
“หิวจะตายอยู่แล้ว ฮงฮเยยอน ที่บ้านมีอะไรกินไหม?”
ชายคนนั้นเรียกชื่อฮงฮเยยอนอย่างสนิทสนม เขาเป็นถึงซีอีโอของบริษัทเอเจนซี่ที่ดูแลฮงฮเยยอนอยู่ มันเป็นบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนต์สตาร์ทอัพด้านความบันเทิง ที่จริงแล้วฮงฮเยยอนเป็นศิลปินเพียงคนเดียวของบริษัท และซีอีโอคนนี้ก็เป็นคนที่ดูแลเธอมาตั้งแต่เธอแสดงครั้งแรก พูดอีกอย่างก็คือ พวกเขานั้นเดินเคียงข้างกันมาโดยตลอด
ขณะที่เขากำลังถอดรองเท้า
"พี่..."
ฮงฮเยยอนไขว่แขน แล้วเอ่ยขอร้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน
"รู้จักหนังสั้นเรื่อง ‘การไล่ผี’ ไหม? พี่ช่วยเช็คสถานการณ์หน่อยได้หรือเปล่า?"
เขาถึงกับชะงักไปชั่วขณะ
ซีอีโอยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินคำว่า 'หนังสั้น'
"หนัง…หนังสั้นเหรอ?"
"ใช่ ช่วยเช็คได้ไหม?"
"เช็คเรื่องของหนังสั้นเหรอ? ของแค่นี้มันจะยากอะไร? ฉันแค่แปลกใจเองที่เธอสนใจหนังสั้นน่ะสิ แต่เธอ…คงไม่ได้คิดจะไปเล่นหนังสั้นช่วงเวลาแบบนี้ใช่ไหม?"
ฮงฮเยยอนยักไหล่ ตอบไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
"เปล่า แค่รู้สึกอยากเล่นนิดหน่อย ยังไม่ได้คิดจะเล่นจริงจังหรอกนะ"
*****