บทที่ 53 เพลงกระบี่ปีศาจ
ความพ่ายแพ้เมื่อวานนี้ ถือว่าสร้างความอับอายต่อเฉินปิงเหยามหาศาล จนเขาแทบไม่อยากออกไปไหนต่อไหน แม้แต่มาเข้าเรียนวันนี้ด้วยเช่นกัน
และที่หนักกว่านั้น คือเขาพ่ายแพ้ให้กับหยางเสี่ยวเทียนผู้มีเพียงวิญญาณยุทธ์ระดับสอง
ซึ่งหลังกลับถึงเรือน ภาพเหล่านั้นมันก็ทำเขาโกรธมากกระทั่งขว้างปาข้าวของไปทั่วเพื่อระบายอารมณ์อันปะทุขึ้นเรื่อยๆ ด้วยไม่เต็มใจจะยอมรับความอับอายนี้
เขารู้สึกอยู่เสมอ ว่าที่ตนเอาชนะหยางเสี่ยวเทียนไม่ได้ เกิดจากความประมาทของตัวเขาเอง ประกอบกับมีข่าวลือหนาหูทั่วสำนัก ว่าหยางเสี่ยวเทียนคุ้นเคยกับเพลงกระบี่เหล็กนิลเป็นอย่างดี นั่งจึงเป็นเหตุให้เขาพ่ายแพ้ในครานั้น
แต่วันนี้ เขาจะใช้เพลงกระบี่ปีศาจที่ได้เรียนรู้มาอีกชุดเพื่อเอาชนะหยางเสี่ยวเทียน และลบล้างความอับอายของเมื่อวานให้พลันมลายสิ้น
ด้วยเพลงกระบี่ปีศาจอันมีกระบวนท่าที่ยากต่อการคาดเดาและพลังทำลายล้างสูงกว่าเพลงกระบี่เหล็กนิล
เขาเชื่อว่าหยางเสี่ยวเทียน จะไม่สามารถรับมือกับเพลงกระบี่ปีศาจนี้ของเขาได้แน่
“ประลองอีกครั้งงั้นหรือ” หยางเสี่ยวเทียนเงยหน้ามองเฉินปิงเหยาผู้กำลังแผ่พลังยุทธ์ไปทั่วร่างด้วยโกรธจัด
“ทำไม หรือว่าเจ้าไม่กล้างั้นหรือ” เฉินปิงเหยายังคงท้าทายบนสีหน้าเย้ยเยาะพร้อมเสียงร่ำร้องจากกระบี่ในมือ
เหล่าศิษย์ห้องสี่คนอื่นๆ ต่างจับจ้องไปยังหยางเสี่ยวเทียนอย่างลุ้นระทึกกันเป็นตาเดียวด้วยใคร่อยากรู้ในคำขานตอบ
“ได้ หากเจ้าต้องการเช่นนั้น” หยางเสี่ยวเทียนมิกล่าวอะไรมาก เขาลุกขึ้นเดินมุ่งตรงไปยังลานฝึกกลางห้องเรียนตามความปรารถนาของอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล
เฉินปิงเหยาผู้ปรี่ไปถึงยังลานฝึกกลางห้องเรียนก่อน พลางยิ้มระรื่นด้วยความสำราญบนใบหน้า เขาแทบอยากชักกระบี่ออกมาให้หยางเสี่ยวเทียวได้ประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งอันแท้จริงไม่ไหว
ขณะที่ทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากัน เกาลู่และผู้ดูแลชั้นเรียนเจิ้งจื้อเผิงก็มาถึงห้องเรียนทันเห็นเหตุการณ์พอดี
“เมื่อวานปิงเหยาแพ้เพราะความประมาทของเขา แต่วันนี้หยางเสี่ยวเทียนไม่มีทางเอาชนะปิงเหยาได้แน่!” เจิ้งจื้อเผิงเอ่ยขึ้น
เกาลู่พยักหน้ารับ เขาเชื่อว่าในหนนี้เฉิงปิงเหยาไม่มีทางพลาดให้คนเยี่ยงหยางเสี่ยวเทียนเช่นเมื่อวานแน่
เฉินปิงเหยาถลึงสายตามุ่งร้ายหาหยางเสี่ยวเทียนด้วยความคับแค้น ก่อนแทงกระบี่ออกไปรี่ยังคนตรงหน้าทันที
ทันใดนั้น ปราณกระบี่เกือบสิบเล่มก็พลันปรากฎขึ้นเหนือศรีษะเขา
ซึ่งปราณกระบี่จำนวนเกือบสิบเล่มนี้ ยากใช้สายตาเปล่าเปลือยแยกออกว่ากระบี่เล่มไหนเป็นของจริงและเล่มไหนเป็นเพียงภาพธรรม
“เพลงกระบี่ปีศาจ ช่างน่ากลัวสมคำร่ำลือนัก” เจิ้งจื้อเผิงกล่าวอย่างปลาบปลื้ม
เมื่อหยางเสี่ยวเทียนเห็นเฉินปิงเหยาพุ่งกระบี่ตรงเข้ามา เขากลับเพียงยืนนิ่งเอามือไพร่หลัง พร้อมกับยกมืออีกข้างขึ้นใช้สองนิ้วหยุดปลายแหลมของกระบี่เฉินปิงเหยาในทันทีอย่างมิมีสะเทิ้นกลัว
ส่งผลให้ภาพธรรมของกระบี่ทั้งหมด มลายหายสิ้นไปในพริบตา
เฉินปิงเหยา เจิ้งจื้อเผิง พร้อมทั้งคนอื่นๆ ต่างเบิกตาตกใจ เมื่อเห็นหยางเสี่ยวเทียนหยุดกระบี่ได้โดยใช้เพียงสองนิ้ว
“เจ้า... เจ้ามองกระบวนท่าของเพลงกระบี่ปีศาจออกได้อย่างไร”
เฉินปิงเหยาแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น แต่ขณะที่เขากำลังจะอ้าปากกล่าวอะไรต่อ หยางเสี่ยวเทียนก็ยกเท้าขึ้นเตะเฉินปิงเหยาเข้ายังหน้าอกเขาเต็มแรงอย่างไม่มีหน่วงเหนี่ยวให้ชักช้า
เฉินปิงเหยาผู้ถูกเตะกระเด็นออกไป แผดเสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดตรงหน้าอกอย่างแสนสาหัส ขณะร่างยังปลิวลอยก่อนชนกระแทกเข้ากับกำแพงหิน ที่อยู่ห่างจากห้องเรียนมากกว่าสามสิบฉื่อ
ทุกคนเปิดตาค้างตกตะลึงเมื่อเห็นเฉินปิงเหยาติดอยู่บนกำแพงด้วยท่ากางแขนกางขาออกกว้าง ก่อนจะไถลลงจากกำแพงอย่างช้าๆ
“เพลงกระบี่ปีศาจ ช่างน่ากลัวสมคำร่ำลือจริงๆ” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวน้ำเสียงเย็นชาก่อนเพียงเหลือบมองเจิ้งจื้อเผิงด้วยหางตา
เมื่อเจิ้งจื้อเผิงได้ยินคำกล่าวด้วยวาจาซ้ำเติมให้เจ็บแค้น ใบหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนไปมืดลงพลางร้องตะโกนออกมาด้วยความฉุนเฉียว
“หยางเสี่ยวเทียน เจ้ากล้าประลองกับข้าหรือไม่”
“ไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะประลองกับเจ้าแน่เมื่อถึงตอนสอบปลายภาค” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวในท่าทีเรียบนิ่ง
เพราะในการสอบแต่ละภาคการศึกษาของสำนักเสินเจี้ยนจะมีภาคปฏิบัติ ให้ได้ประลองเพื่อประเมินผลของศิษย์ทุกคน
หมายความว่าบรรดาศิษย์ในชั้นเรียนเดียวกัน จะต้องมาประลองฝีมือเพื่อหาผู้แข็งแกร่งประจำชั้น
เจียงเส้าเฟย ศิษย์น้องคนสนิทกับเจิ้งจื้อเผิงได้ยินสิ่งนี้จึงเยาะเย้ยทันที “หยางเสี่ยวเทียน หากเจ้าแน่จริงก็มาประลองกับศิษย์พี่เจิ้งตอนนี้ ใยต้องรอให้ถึงปลายภาคด้วยเล่า”
หยางเสี่ยวเทียนเพียงยิ้ม “ตอนนี้ เจิ้งจื้อเผิงอายุเก้าขวบ ซึ่งมากกว่าข้าหนึ่งปี หากเขามีความกล้าจริงๆ เหตุใดจึงไม่ไปท้าประลองกับศิษย์ปีสองรุ่นเดียวกันเล่า” เขากล่าว
เพลานี้ ใบหน้าของเจิ้งจื้อเผิงพลันบิดเบี้ยวด้วยความโกรธทันทีหลังได้ยินดังนั้น
เช่นเดียวกับเจียงเส้าเฟยที่มีสีหน้าหมองคล้ำเจื่อนๆ ไม่ต่างกัน เพราะไม่รู้จะโต้ตอบด้วยคำใด
“พอแล้ว ถึงเวลาเข้าเรียนทุกคนนั่งลงประจำที่ของตน” ทันใดนั้น เกาลู่ก็ตะเบ็งเสียงขึ้น หยุดการห้อมล้อมของศิษย์ในชั้นทันที
ทุกคนต่างรีบเร่งหาที่นั่งประจำของตนอย่างรวดเร็ว
ส่วนเฉินปิงเหยา ก็ถูกหามปีกข้างนำตัวส่งห้องพักฟื้น หมดคราบความสง่าในฐานะหัวหน้าห้องสี่ไปโดยสิ้นเชิง
หลังเจิ้งจื้อเผิงนั่งลงประจำที่ตน สายตาเขากลับยังคงจับจ้องหาหยางเสี่ยวเทียนด้วยความอาฆาตแค้น
ซึ่งหยางเสี่ยวเทียนไม่ได้ใส่ใจกับแววตาที่แสดงถึงความเกลียดชังนั้นแม้แต่น้อย เพราะเจิ้งจื้อเผิงอยู่ในขั้นนักยุทธ์ระดับเจ็ดเท่านั้น
เพียงเขาแกว่งเท้าเล็กน้อยก็สามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ
ส่วนตอนนี้ เขายังไม่อยากแสดงพลังมากเกินไป เพราะพึ่งปลุกวิญญาณยุทธ์ให้ตื่นขึ้นได้ยังไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำ หากแสดงพลังขั้นนักยุทธ์ระดับเจ็ดออกมา มันคงจะทำให้ใครหลายผู้แตกตื่นตกใจอยู่ไม่น้อย
และอีกสิ่งที่เขากลัวยิ่งกว่าคือ หากทั่วทั้งอาณาจักรตื่นตระหนกกับความเร็วที่เขาทะลวงขั้น ความริษยาจะนำพาภัยพิบัติ กระตุ้นเจตนาฆ่าของผู้คนไปทั่วทั้งพิภพมาสู่เขา