บทที่ 15: หนังสั้น (4)
บทที่ 15: หนังสั้น (4)
“วิหคเพลิงเหรอ?!”
เสียงของผู้กำกับชินดงชุนทางโทรศัพท์ดูตื่นเต้นมาก
“พี่พูดได้ถูกต้องเลย การแสดงสุดเหวี่ยงของเขามันเหนือชั้นจริง ๆ แต่…พี่แน่ใจเหรอว่าการยกยอเขาขนาดนั้นมันเหมาะสมแล้ว?”
เมื่อผู้กำกับชินดงชุนถามคำถาม เสียงของPDซงมันวูก็ดูเบาลงเล็กน้อย เขาตอบว่า
“เอ็งเคยเห็นการแสดงของเขามามากแค่ไหน?”
“เอาจริง ๆ ก็ประมาณสามนาทีครับ ตามบทที่ให้ไป”
“ถ้ามากกว่านั้นนะ...ถ้าเอ็งดูนานกว่านี้ เอ็งจะเข้าใจเองว่าทำไมพี่เป็นแบบนี้ อีกอย่างนะ ก่อนหน้านี้แค่ในสามนาทีสั้น ๆ เอ็งก็ทึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“เอ่อ…”
“ไม่เพียงเท่านั้นหรอกนะ ฉันไม่ได้ตัดสินจากแค่ทักษะการแสดงอันน่าทึ่งของเขา มันมีบางอย่าง...คงเรียกว่าออร่าล่ะมั้ง เขาไม่เหมือนคนธรรมดาษดื่นทั่วไป เขามีแววของการเป็นซูเปอร์สตาร์อย่างแน่นอน เป็นคนที่ไม่มีใครเหมือน”
ออร่าลึกลับอันเป็นเอกลักษณ์ที่คังวูจินมีอยู่นั้นแตกต่างจากดาราดังทั่วไปที่มักจะพบเห็นกันในวงการบันเทิง ซึ่งสำหรับPDซงมันวู มันดูแปลกใหม่และเต็มไปด้วยศักยภาพยิ่ง ในตอนนั้นเอง ผู้กำกับชินดงชุนที่คุยทางโทรศัพท์ก็ได้เปลี่ยนหัวเรื่องพูดคุยกัน
“...นักเขียนพัคอึนมีตอนนี้ก็เป็นแฟนตัวยงของคังวูจินเลยใช่ไหมครับ?”
“ใช่ ดูจากสภาพปัจจุบันของเธอแล้ว แต่ไม่ใช่แค่เป็นแฟนตัวยงเฉย ๆ เธอน่ะหลงใหลเขามากเลยต่างหาก”
“หา- แม้แต่คุณพัคอึนมี นักเขียนสุดเขี้ยวก็ด้วยเหรอครับ?”
“แต่คังวูจินดูเหมือนจะมั่นใจในตัวเองมาก มั่นใจจนเหมือนอวดดีเลยล่ะ”
“ผมแค่เห็นเขาเพียงครู่เดียวเอง แต่เขาก็มีท่าทีวางตัวดีอยู่นะครับ แต่พอถึงเวลาที่เขาแสดง... ผมควรจะพูดไงดี? มันเหมือนเปลี่ยนไปแบบ 180 องศาเลยล่ะครับ”
“ใช่เลย เพราะงั้นแหละเขาถึงเหมาะที่จะเป็นนักแสดงชั้นนำอย่างแน่นอน”
เมื่อนึกถึงใบหน้าที่จริงจังของคังวูจิน PDซงมันวูก็หัวเราะเบา ๆ และดูนาฬิกาข้อมือของเขาอีกครั้ง
“ฟังนะ สรุปคือ เราต้องใช้ความพยายามอย่างมากพอสมควรเพื่อดึงตัวเขามาเข้าร่วมโปรเจคของเรา คังวูจินน่ะเป็นคนที่แสดงได้ดีกว่านักแสดงดัง ๆ มากมาย แต่เขากลับมองว่ามันเป็นแค่การฆ่าเวลาเฉย ๆ ถ้าคนอย่างเขาไปหาเอ็ง ก็คงไปเพื่อแสดงฝีมือการแสดงล่ะมั้ง?”
“พี่หมายความว่า…?”
“พี่ก็ไม่รู้หรอกว่าเขาได้บทของเอ็งมาได้ยังไง แต่นั่นหมายความว่าเขาชื่นชอบในผลงานของเอ็งเป็นพิเศษไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่งั้นเขาจะมาแสดงให้เอ็งดูทำไมกัน? แถมอีกไม่นานเขาคงได้เพิ่มค่าตัวให้ตัวเองอย่างมากในเร็ว ๆ นี้แล้ว”
“....ชื่นชอบเป็นพิเศษ? หนังสั้น ‘การไล่ผี’ ของผมเหรอ?”
“นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันคิด ฉันเองก็เพิ่งได้พบกับคังวูจินแค่สักพักหนึ่ง แต่เขาไม่ใช่คนที่ยอมทำอะไรมากมายเพื่อไปแสดงหนังดาษดื่นสักเรื่องหรอก”
ในไม่ช้า ผู้กำกับชินดงชุนก็เงียบไปทางโทรศัพท์ และระหว่างความเงียบนั้น PDซงมันวูจึงเสริมว่า
“คังวูจินคงชอบหนัง ‘การไล่ผี’ ของเอ็งเป็นพิเศษแน่ ไม่งั้นเขาคงไม่บากหน้าเอาตัวเองมาแสดงขนาดนี้หรอกใช่ไหม?”
“เขา...ชอบงานของผมเหรอครับ?”
ระหว่างการสนทนากัน ดูPDซงมันวูจะเน้นย้ำคำว่า ‘ชื่นชอบเป็นพิเศษ’ มาก แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเรื่องนี้นักและเปลี่ยนเรื่องคุยต่อทันที
“ว่าแต่เอ็งได้เบอร์โทรศัพท์ของเขาไหม?”
“ห๊ะ? ไม่ครับ ผมยังไม่ได้เบอร์เขาครับ เขารีบออกไปจนผมไม่มีโอกาสได้ถามอะไรเลย”
“หา เขาออกไปเลยเหรอ? ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองสักนิดเลย?”
“ใช่ครับ เขาทำแบบนั้น”
“งั้นเดี๋ยวพี่ให้เบอร์เขาเอง เขาถึงกับลำบากมาหาขนาดนี้ น่าจะคุยกันได้อยู่ โทรไปนัดเจอกันเลย เดี๋ยวเอ็งจะเข้าใจ”
"เข้าใจแล้วครับพี่"
พอวางสาย PDซงมันวูก็พูดขึ้นว่า
"ไปหาเองเลยเหรอ? น่าอิจฉาชะมัด"
เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า
"อิจฉาเหรอเนี่ย? ทั้งที่ฉันแก่ขนาดนี้แล้ว"
ต่อมาไม่นาน ภายในห้องวีไอพี
PDซงมันวูและนักเขียนบทพัคอึนมี พร้อมกับทีมงานฝ่ายผลิตหลักและนักแสดงนำของเรื่อง 'ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล' ก็ยังคงประชุมกันต่อไป บ้างครั้งก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ
แน่นอนว่าพวกเขากำลังรับประทานอาหารร่วมกันไปด้วย
แวบแรก มันดูเหมือนเป็นการพบปะสังสรรค์แบบสบาย ๆ ที่มีการเล่ามุขตลกเบา ๆ แต่ท่ามกลางเสียงหัวเราะ พวกเขาก็ยังคงพูดคุยถึงเรื่องที่จำเป็นอย่างจริงจัง บทสนทนาส่วนใหญ่มักจะถูกเริ่มต้นโดยPDซงมันวู แต่ในตอนนี้เอง พัคอึนมีที่มีผมดัดยาวก็เอ่ยขึ้นว่า
“จะว่าไปแล้ว คุณรยูจองมินเราจะต้องควบคุมอาหารจนกว่าจะถึงตอนอ่านบทเลยใช่ไหมคะ?”
รยูจองมิน พระเอกหนุ่มสุดฮอตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเธอชี้มาที่ตัวเองแล้วหัวเราะอย่างร่าเริง ด้วยความสูงเกิน 185 เซนติเมตร เขาจึงเป็นผู้ชายที่รูปร่างสูงโปร่งมาก
“อ้าว! คุณนักเขียนพัคอึนมี ผมต้องลดน้ำหนักด้วยเหรอครับ? ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“คงงั้นมั้งคะ เพราะดูเหมือนคุณจะปล่อยตัวไปเยอะเลยนะช่วงพัก น้ำหนักขึ้นไปหน่อยแล้วนะคะ”
“ฮ่า ๆ ผมแค่ไปตกปลามาเอง อาจกินซาชิมิเยอะไปหน่อยหรือเปล่านะ? เข้าใจแล้วครับ ในเมื่อเป็นคำสั่งของคุณนักเขียนพัคอึนมี ผมยินดีทำตามอยู่แล้ว”
“แล้วก็ปล่อยผมยาวไปก่อนนะ จนกว่าเราจะตัดสินใจเรื่องทรงผมที่แน่ชัดกันได้”
“ได้เลยครับ คุณนักเขียนพัคอึนมี”
ด้านหลังคุณนักเขียนพัคอึนมี PDซงมันวูก็เอ่ยปากขอร้องฮงฮเยยอนเช่นกัน
“ฮงฮเยยอน เสื้อผ้าที่คุณส่งมาให้คราวที่แล้วมันดูหรูหราเกินไปหน่อย บอกสไตลิสต์ให้เน้นไปที่เสื้อผ้าที่เรียบง่ายขึ้นหน่อย เดี๋ยวผมจะพูดในประชุมกับทีมงานด้วย”
ฮงแฮยอนปัดผมยาวสลวยของตัวเองออกด้านข้างแล้วยิ้มกรุ่มกริ่ม
“อ๋อ ฉันรู้ตั้งแต่ตอนอ่านบทตอนแรกเลยค่ะ ทีมงานของฉันคงโลภไปหน่อยมั้งคะ เดี๋ยวฉันจะไปบอกพวกเขาเอง”
“ถ้างั้นก็ดีเลยครับ”
“ว่าแต่คุณPD ตอนคุยโทรศัพท์เมื่อกี้ คุณพูดถึงคังวู…”
“หือ?”
ฮงฮเยยอนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างต่อ แต่ก็ได้ปิดปากตัวเองลง ที่จริงแล้วเธอรู้สึกสงสัยมากถึงชื่อคังวูจินที่โผล่มาในระหว่างบทสนทนาทางโทรศัพท์ของPDซงมันวูเมื่อสักครู่ แต่เพราะยังมีคนอยู่รอบข้างมากมาย เธอจึงตัดสินใจไม่พูดอะไร
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวไว้คุยกันทีหลัง”
"โอ้? อ่า-โอเคค่ะ งั้นตามนั้นนะคะ”
ในตอนนั้นเอง
“คือว่าคุณPDครับ...”
รยูจองมินที่กำลังถือแก้วน้ำอยู่ได้เอ่ยปากถามPDซงมันวู ผู้ที่กำลังมองฮงฮเยยอนอยู่
"ใครรับบทเป็นรองหัวหน้าพัคครับ? มีข่าวลือหนาหูออกมาเยอะแยะเลย แต่เหมือนยังไม่มีใครยืนยันสักคน"
"เอ่อ เรื่องนั้น..."
"นักแสดงที่จะขโมยซีนในบทสัมภาษณ์ของคุณนักเขียน…คงเป็นคนรับบทตัวละครนี้ใช่ไหมครับ?"
"ใช่ครับ ถูกต้องแล้ว"
"ใครกัน? ผมอยากรู้จักสุด ๆ ไปเลย"
นักแสดงคนอื่น ๆ ต่างเห็นด้วยกับเขา ทุกคนต่างหันไปมองPDซงมันวู แววตาเต็มไปด้วยความอยากรู้ ทว่าฮงฮเยยอนกลับดูไม่สนใจ ในขณะเดียวกัน รยูจองมินก็เอนตัวไปข้างหน้าและถามต่อ
"ตามบทช่วงแรก ผมคงต้องได้ประกบกับรองหัวหน้าพัคมากที่สุด ในเมื่อจะต้องวิเคราะห์บทเพื่อแสดงและนึกภาพตัวละครให้ออก ช่วยบอกใบ้ให้หน่อยได้ไหมครับ?"
"อืม…."
"หรือว่าจะเป็นคิมฮยอนเหรอครับ? ไม่ใช่เหรอ? แต่ผมได้ยินมาว่าเป็นนักแสดงต่างชาติ ไม่จริงน่า คุณเอานักแสดงฮอลลีวูดมาจริง ๆ เหรอเนี่ย?"
"เอ่อ..."
"เฮ้อ ทำไมต้องเก็บเป็นความลับขนาดนั้นกันล่ะครับ?"
เมื่อเห็นความหงุดหงิดเริ่มปรากฏบนใบหน้าของรยูจองมิน PDซงมันวูจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยน
"อยากเซอร์ไพรส์ล่ะมั้งครับ?"
"เอ๊ะ??"
"ก็การหลอกลวงคนของตัวเองเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้คนดู มันเหมือนประทัดที่จุดขึ้นเพื่อเซอร์ไพรส์คนดูด้วย อดใจไว้อีกหน่อยก็แล้วกันครับ เพราะยังไงทุกคนก็จะได้เห็นกันในวันอ่านบทอยู่ดี"
"ฮ่า ๆ ๆ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วครับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากรู้อยู่ดี เพราะกระทั่งทีมงานเองยังไม่มีใครรู้สักคนเลย"
ระหว่างนั้นเอง นักเขียนพัคอึนมีก็ตีไหล่PDซงมันวูที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน
"คุณพีดี ไม่ใช่ว่าวันนี้จะมาถามนักแสดงถึงเรื่องนั้นเหรอคะ?"
อ๋อ เสียงของPDซงมันวูดังขึ้น ดึงดูดสายตาของเขาให้หันไปสบกับสายตาของผู้จัดการฝ่ายผลิตทันที
"ทุกคน ฟังผมหน่อยนะครับ เรื่องนี้ยังไม่ยืนยันนะ มันเกี่ยวกับการอ่านบท ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะลอง MT ดู เพื่อจะได้สร้างความสนิทสนมกันและจะไปเที่ยวสนุก ๆ กันด้วย"
[MT = Membership Training , รวมกลุ่มคนกันไปสร้างความสัมพันธ์ เป็นคำเรียกวัฒนธรรมของคนเกาหลี ส่วนใหญ่จัดในมหาวิทยาลัย แต่พวกองค์กรอะไรงี้ก็มีเช่นกันครับ]
เขาพูดคุยกับเหล่านักแสดงที่นั่งอยู่เบื้องหน้า
“ทุกคนคิดว่ายังไง? ฟังดูน่าสนุกไหม?”
ผ่านไปหลายชั่วโมง ดึกมากแล้ว ภายในอพาร์ทเม้นท์ของคังวูจิน
มันเกินสี่ทุ่มไปแล้ว คังวูจินดูเหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขาเดินออกมาพร้อมกับสะบัดผมเปียก ๆ ตรงไปเปิดตู้เย็นแล้วดื่มน้ำเปล่าไปหลายอึก ขณะเดียวกัน สายตาของคังวูจินก็เหลือบไปเห็นด้านล่าง
-พึบ
ตรงจุดที่สายตาเขาเหลือบไปเห็น มีกระดาษมัดรวมกันอยู่สองกอง กองแรกคือบท 'ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล' ตอน 1 ที่เขาได้รับมาจากPDซงมันวู อีกกองหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็นบทหนังสั้นเรื่อง 'การไล่ผี'
แน่นอนว่าบนทั้งสองกองยังคงมีสี่เหลี่ยมดำปิดทับบทอยู่เหมือนเดิม
คังวูจินลูบคางขณะมองไปที่บทหนังสั้นเรื่อง 'การไล่ผี' เขาจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงบ่ายที่บริษัทภาพยนตร์บลูวิชั่นได้ดี
“อืม... จะปฏิเสธบท 'การไล่ผี' ดีไหมนะ? ดูเหมือนว่าบทพระเอกและตัวประกอบน่าจะถูกคัดเลือกไว้แล้วตั้งแต่ตอนแรกเลยแฮะ”
คังวูจินได้บุกไปที่บริษัทภาพยนตร์โดยไร้การนัดหมาย เขาอาจจะโดนไล่ตั้งแต่หน้าประตูเลยก็ได้ แต่โชคดีที่เขาได้แสดงฝีมือการแสดงออกไปเพราะความเข้าใจผิดของผู้กำกับ
“ผู้ชายคางเหลี่ยมนั่นคือผู้กำกับใช่ไหม? ดูเหมือนเขาจะแปลกใจพอสมควรเลย”
แม้ว่าฝีมือการแสดงที่ได้มาจากมิติว่างเปล่าของเขาจะยอดเยี่ยม แต่ผู้กำกับก็ดูจะแค่แปลกใจเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะแสดงเก่งขนาดไหน แต่ในโลกความเป็นจริง พลังของสัญญาย่อมมีน้ำหนักมากกว่า คังวูจินคิดในใจพร้อมกับหวนนึกถึงชายร่างอ้วนที่ชื่อผู้อำนวยการพัค และชายหนุ่มรูปหล่อหญิงสาวรูปงามที่มากับเขาด้วย
พวกเขาน่าจะได้บทนำหรือบทสมทบแน่ ๆ เลย เพราะหน้าตาดีกันทั้งนั้นนิ มีคนหน้าใหม่หล่อสวยขนาดนี้เยอะแยะเลยเหรอเนี่ย? วงการบันเทิงช่างอยู่ยากเหลือเกิน
พอคังวูจินคิดขึ้นมาได้เช่นนี้ เขาก็รู้สึกตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้เข้าร่วมแสดง ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล’ ส่วนเรื่อง ‘การไล่ผี’ ก็ช่างมันเถอะ ถือว่าชวดโอกาสไปแล้ว
“หนังสั้นการไล่ผี...ถึงจะรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นอะไรหรอก”
เขาค่อนข้างสนุกมากกับการอ่านบทและไปสัมผัสกับโลกของ ‘การไล่ผี’ ที่นั่นมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นพอสมควรเลย
“ตอนที่ตัวละครที่เป็นภรรยาได้กลิ่นฉัน ฉันรู้สึกทั้งตื่นเต้นและลุ้นระทึกมากเลย”
แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเศร้าหรอก อย่างน้อยก็ในความคิดของคังวูจิน เขาก็เพิ่งเริ่มต้นเป็นนักแสดง ยังมีบทอีกหลายบทนอกเหนือจากเรื่อง ‘การไล่ผี’ แต่ว่าเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย
ด้วยเหตุนี้
-ฟุ้บ
คังวูจินเก็บบท ‘การไล่ผี’ ไว้ที่มุมห้องอย่างไม่ใส่ใจ ในไม่ช้า ความรู้สึกสนใจของบทหนังสั้น ‘การไล่ผี’ ในหัวของคังวูจินก็เลือนหายไป คังวูจินล้มลงบนเตียงพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตามนิสัย และจากนั้นจึงเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต
-ตืด ตืด
โทรศัพท์สั่นยาว ๆ มันคงเป็นสายเรียกเข้า แต่ว่าสิ่งที่แสดงบนหน้าจอคือเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้ เหตุการณ์นี้ทำให้คังวูจินได้แต่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพึมพำเบา ๆ
“นี่มันอะไรกัน โทรศัพท์ของฉันช่วงนี้ยุ่งเกินไปหน่อยไหมเนี่ย?”
ช่วงนี้มีสายเรียกเข้าจากเบอร์ที่ไม่รู้จักบ่อยครั้งเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้น คังวูจินก็เอาโทรศัพท์แนบหูก่อน
“สวัสดีครับ”
เสียงผู้ชายที่ไม่คุ้นเคยดังมาปลายสายโทรศัพท์
“คุณคังวูจินใช่ไหมครับ?”
“ใช่ครับ ผมกำลังพูดกับใครอยู่ครับ?”
“คือ ผมชินดงชุน เราเคยเจอกันที่บริษัทภาพยนต์บลูวิชั่นน่ะครับ จำได้ไหม…ที่คุณได้แสดงฝีมือการแสดงให้ผมดู”
ชั่วขณะหนึ่ง คังวูจินก็นึกถึงชายคางเหลี่ยมที่เขาเคยเจอที่บริษัทภาพยนตร์เมื่อช่วงบ่าย ผู้กำกับเหรอ? แต่โทรมาตอนนี้ทำไม? แถมยังรู้เบอร์ฉันได้ยังไงอีก? คังวูจินที่อ่อนเพลียจากการนอนดึก เสียงของเขาจึงทุ้มต่ำลงไปอีก
มันทำให้น้ำเสียงของคังวูจินดูเย็นชายิ่ง
“คุณผู้กำกับของหนัง ‘การไล่ผี’ ใช่ไหมครับ?”
“ใช่ครับ”
“คุณรู้เบอร์ผมได้ยังไงครับ? ผมไม่ได้ให้เบอร์คุณไปนะ”
มันเป็นความอยากรู้อย่างบริสุทธิ์ใจเลย เพราะไม่ว่าเขาจะคิดยังไง แต่คังวูจินไม่เคยให้เบอร์โทรศัพท์ของตัวเองแก่อีกฝ่ายไปสักครั้งเดียว ซึ่งไม่นานนัก คำตอบของผู้กำกับชินดงชุนทางโทรศัพท์นั้นก็เต็มไปด้วยคำขอโทษอย่างอย่างจริงใจ
“อา! ขอต้องขอโทษจริง ๆ ครับ ผมได้เบอร์ของคุณมาจาก… PDซงมันวู พี่ชายของผมเองครับ”
“PDซงมันวู?”
“ช…ใช่ครับ”
PDซงมันวูเหรอ? เขาเข้ามาเกี่ยวข้องอะไรตรงนี้กัน? ขณะที่คังวูจินขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอียงคอ ผู้กำกับชินดงชุนก็กล่าวคำพูดด้วยความตื่นเต้นออกมา
“คุณคังวูจินครับ คุณมาเจอกับผมอีกครั้งได้ไหมครับ?”
“….ผมอยากฟังเหตุผลก่อน”
“เอ่อ–ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ ถ้าคุณบอกที่อยู่ของคุณ ผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลยครับ”
อืม… ชักน่ารำคาญนิดหน่อยแล้วแฮะ
“จะพูดกันตอนนี้เหรอครับ?”
“ใช่ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
ให้มาก็บ้าแล้ว คังวูจินรู้สึกอึดอัดมาก
“ไม่ครับ เรามาเจอกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่าครับ”
เช้าวันรุ่งขึ้น ร้านกาแฟใกล้อพาร์ทเม้นท์ของคังวูจิน
ผู้กำกับชินดงชุนนั่งอยู่คนเดียวในร้านกาแฟแถวสวนสาธารณะยงอิน เพราะนักแสดงลึกลับที่ชื่อคังวูจินอาศัยอยู่แถวนี้ ซึ่งต้องขอบอกเลยว่าภายนอกของผู้กำกับชินดงชุนยามนี้ดูค่อนข้างโทรมพอควร เคราของเขายุ่งเหยิง มีรอยคล้ำใต้ตาลึกจากการไม่ได้นอน
ขณะที่เขาถอนหายใจและปลดซิปแจ็คเก็ตที่สวมอยู่นั้น
-แอ๊ดดดด
ประตูร้านกาแฟเปิดออกและชายคนหนึ่งในเสื้อแจ็คเก็ตยาวก็เดินเข้ามา เขาคือคังวูจินที่มีใบหน้านิ่งเฉย ทันทีที่เห็นคังวูจิน ผู้กำกับชินดงชุนที่มีคางเหลี่ยมก็...
‘ว่าแล้วเชียว…หลังจากดูดี ๆ … เขาก็แตกต่างจากนักแสดงทั่วไปจริง ๆ ด้วย’
ผู้กำกับชินดงชุนยกมือขึ้นเพื่อให้เขาเห็น
“ผมอยู่ตรงนี้ครับ!”
คังวูจินที่มีใบหน้าไร้อารมณ์กล่าวทักทายและนั่งลงตรงข้ามกับผู้กำกับชินดงชุน ผู้กำกับชินดงชุนจึงได้เริ่มบทสนทนาทันที
“อ่า–สวัสดีครับคุณคังจิน”
“ครับ สวัสดีครับ”
ปฏิกิริยาของคังวูจินดูนิ่งมาก ในสายตาของผู้กํากับชินดงชุน เมื่อวานเขาก็ดูอวดดีมากแล้ว แต่วันนี้มันเหมือนอัพขั้นไปอีก ทว่าทางผู้กำกับชินดงชุนก็ยังคงพูดออกไปพร้อมกับกระแอมไอในลำคอ
"ขอโทษนะครับที่โทรไปรบกวนคุณเมื่อคืนนี้ คิดอยู่นานเหมือนกันกว่าจะโทรไปดีไหม แต่หลังโทรไปแล้ว ผมก็เพิ่งมารู้ตัวว่ามันเสียมารยาทไปหน่อย"
"ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่คุณอยากคุยอะไรเหรอ?"
ต่อมา ผู้กำกับชินดงชุนที่เฝ้าสังเกตคังวูจินอยู่ฝั่งตรงข้ามก็กลืนน้ำลายอันแห้งผาก สิ่งที่เขาจะพูดต่อไปคือ...
“อาจจะกะทันหันไปหน่อยนะครับ แต่คุณคังวูจินได้อ่านบท ‘การไล่ผี’ ของผมแล้วใช่ไหม? คุณมีความคิดเห็นยังไงบ้างครับ?”
เสียงของผู้กำกับชินดงชุนสั่นเล็กน้อย จะพูดยังไงดี… เหมือนกับคนที่กำลังสารภาพรักเลยไม่มีผิด
ในขณะเดียวกัน...
“……”
คังวูจินเพียงแค่จ้องมองผู้กำกับชินดงชุนโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า เป็นใบหน้าที่ยากจะคาดเดาได้ถึงอารมณ์ หลังจากผ่านไปประมาณ 10 วินาที คังวูจินก็พึมพำออกมาอย่างแผ่ว
“ผมรู้สึกผูกพันกับงานชิ้นนี้ครับ”
ดวงตาของผู้กำกับชินดงชุนถึงกับเบิกกว้าง
“ผูกพัน…เหรอครับ?”
ในขณะเดียวกัน เขารู้สึกถึงคลื่นอารมณ์ที่พุ่งพล่านขึ้นมาในใจ
รู้สึกราวกับว่าหลายปีแห่งความลำบากและความเจ็บปวดที่เขาต้องทนมาเกือบสามปีกำลังถูกชะล้างออกไปหมด ผูกพัน...เขาเป็นนักแสดงคนแรกที่แสดงความรักต่อผลงานของเขา ผู้กำกับชินดงชุนรู้สึกตื้นตันใจมาก
เพียงแค่ประโยคเดียวเรียบ ๆ ไร้อารมณ์ของคังวูจิน
“คุณพูดว่า…ผูกพันเหรอครับ?”
“ใช่ครับ ผูกพัน”
จากนั้น ผู้กำกับชินดงชุนก็ถึงกับหัวใจเต้นโครม ๆ เขาจ้องมองคังวูจินที่มีใบหน้าเรียบเฉยพร้อมกับพึมพำกับตัวเอง
‘บท 'การไล่ผี' ของฉันถูกคนอื่นไม่เห็นค่ามาโดยตลอด แต่…เขากลับบอกว่าผูกพัน เป็นนักแสดงที่ยังไม่ได้รู้จักฉันเลยด้วยซ้ำ’
ความรู้สึกของผู้กำกับชินดงชุนเปลี่ยนจากตื้นตันใจเป็นตื่นเต้นอย่างรวดเร็ว เขาคล้ายได้รับเสียงสะท้อนอันยิ่งใหญ่จากคำว่า 'ผูกพัน' ของคังวูจินจริง ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่PDซงมันวูบอกเขาทางโทรศัพท์เมื่อวานเลย
“พี่ก็ไม่รู้หรอกว่าเขาได้บทของเอ็งมาได้ยังไง แต่นั่นหมายความว่าเขาชื่นชอบในผลงานของเอ็งเป็นพิเศษไม่ใช่เหรอ”
ผู้กำกับชินดงชุนไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดนี้เท่าไรนัก
แต่เขามั่นใจทันทีเมื่อได้ยินคำว่า 'ผูกพัน' ที่คังวูจินเพิ่งพูดออกมาอย่างเย็นชา นักแสดงที่ดูไม่สนใจอะไรคนนี้กลับชอบบทของฉัน ดูจะชอบบทนี้มากด้วย แล้วยิ่งไปกว่านั้น คังวูจินยังเป็นนักแสดงที่ชนะใจผู้กำกับชื่อดังอย่างPDซงมันวูและนักเขียนพัคอึนมี ทั้งยังได้เข้าร่วมโปรเจคขนาดใหญ่อย่าง 'ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล' อีก
แถมฝีมือการแสดงยังระดับเทพ จนไม่อาจหาคำใดเอื้อยเอ่ยมาอธิบายได้
นักแสดงแบบนั้น ชื่นชอบและผูกพันกับบทของผู้กำกับไร้ชื่อเนี่ยนะ? ความยากลำบากและบาดแผลนับไม่ถ้วนที่สะสมอยู่ในใจของผู้กำกับชินดงชุนเริ่มได้รับการเยียวยา ในอดีตทุกครั้งเขามักต้องถูกเหยียบย่ำและเพิกเฉย ทำให้ชีวิตปัจจุบันของเขาแทบไม่ต่างอะไรกับนรกบนดินเลยด้วยซ้ำ
ในไม่ช้า เมื่อเสียงสะท้อนในใจของผู้กำกับชินดงชุนทวีความรุนแรงขึ้น ดวงตาของเขาก็เริ่มแดงก่ำ
“ขอบคุณ ขอบ…คุณจริง ๆ ครับคุณคังวูจิน”
คังวูจินยังคงทำหน้าตาย เขาเงียบปากไปและเฝ้ามองดูผู้กำกับชินดงชุนที่ฝั่งตรงข้าม
“……”
เขาเอียงคอเล็กน้อย ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไปเลย
*****