บทที่ 67 : เจ้าอ่อนแอเกินไป
บทที่ 67 : เจ้าอ่อนแอเกินไป
"อืม, ด้วยความแข็งแกร่งของข้า จางฉีหยวน…..บัลลังก์นี้เป็นของข้าและข้าอยากเห็นว่าใครจะกล้าแข่งกับข้า!"
"จางฉีหยวน….เจ้าบ้านนอกอย่างเจ้ามาเย่อหยิ่งที่นี่ได้ยังไง, ออกไปจากที่นี่ซะ"
"ฮิฮิ หลังจากหลายปีมานี้ เจ้าเป็นคนแรกที่กล้ายั่วยุความโกรธของข้า….เเต่นี่จะเป็นสิ่งที่เจ้าไม่สามารถทนได้, ตายซะ"
"ต้องการให้ข้าตาย....เจ้าคิดว่าเจ้ามีคุณสมบัติหรือ?"
ในสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน
ในตําแหน่งต่างๆ, ทุกคนเห็นโลกใบเล็กที่ยาวขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและมันก็เริ่มมีร่างสองร่างปะทะกันภายในนั้น
ในไม่ช้า….การต่อสู้เพื่อเเย่งชิงบัลลังก์เงินก็มาถึงขีดจํากัดอย่างรวดเร็ว (คนส่วนมากมาชิงบัลลังก์เงินกัน)
หลายคนมองไปที่บัลลังก์ทองคําโดยเฉพาะบัลลังก์ทองคำสีม่วงด้วยดวงตาที่ร้อนแรงเเละความปรารถนาที่จะลอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเห็นอัจฉริยะอาณาจักรสําแดงกฎเกณฑ์ที่อยู่ในระดับแนวหน้า
ในหมู่พวกเขาทั้งหมด ล้วนได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะระดับพรสวรรค์และอัจฉริยะระดับวีรบุรุษโดยศาลากลไกสวรรค์
ในท้ายที่สุด, พวกเขากฌเลือกที่จะยอมแพ้และรอให้การต่อสู้เพื่อเเย่งชิงบัลลังก์เงินสิ้นสุดลงก่อน….ถึงจะเริ่มการท้าทายต่อไป
………
ณ ขณะนี้
ดวงตาของเย่หวู่ชางกะพริบปริบๆ….เมื่อเขาค้นพบว่าเวทีนี้เป็นสมบัติหายากของสวรรค์และโลก
ไม่เพียงแต่มันมีโลกใบเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนเท่านั้น….แต่มันยังมีพลังแห่งเวลาอีกด้วย
ในการต่อสู้ภายในนั้น, เวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับโลกภายนอก
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือในโลกใบเล็กมันไม่มีพลังงานวิญญาณ
แต่ถ้ามี, ศาลากลไกสวรรค์คงไม่นํามันออกมาเเน่ๆ
เเละในขณะที่เย่หวู่ชางกําลังศึกษาสมบัติของสวรรค์และโลก
ผู้ฝึกตนอาณาจักรสําแดงกฎเกณฑ์บางคนก็ได้เคลื่อนไหวแล้ว
สายตาของพวกเขาชัดเจนเป็นพิเศษ โดยมุ่งความสนใจไปที่บัลลังก์สูงสุดเท้านั้น
พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ฝึกตนอาณาจักรสําแดงกฎเกณฑ์ที่แข็งแกร่ง, และพวกเขาไม่เชื่อว่าพวกเขาอ่อนแอกว่าคนอื่นๆ
แม้ว่ามันจะเป็นอัจฉริยะระดับมังกรที่น่าตกตะลึง, แต่พวกเขาก็ยังมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้
"ข้าจางเสวี่ยเฟิง….ข้าต้องการดูว่าใครจะกล้าแข่งขันกับข้าเพื่อชิงบัลลังก์สูงสุดนี้!"
หลังจากพูดจบเขาก็ก้าวไปข้างหน้าโดยตรงและมุ่งหน้าไปยังบัลลังก์สีม่วงทอง
อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะเหยียบมัน
กําปั้นยาวคู่บารมีก็พุ่งเข้ามาในแนวนอน…..บังคับให้เขาหันหลังกลับและเผชิญหน้ากับหมัดนี้
"จางเสวี่ยเฟิง!" ดวงตาเย็นชาของ เจียงเสวี่ยหยางเป็นประกายแห่งความกลัวในขณะที่เขามองไปที่อีกฝ่าย
เห็นได้ชัดว่าเขาเคยประสบกับความพ่ายแพ้ภายใต้คู่ต่อสู้มาก่อน!
จางเสวี่ยเฟิงไม่ได้สนใจอาการของอีกฝ่ายเเละพูดทันทีว่า
"บัลลังก์นี้เป็นของข้า!"
น่าเสียดายที่ก่อนที่พวกเขาจะได้ต่อสู้กัน…..ผู้ฝึกตนอาณาจักรสําแดงกฎเกณฑ์อีกหลายคนก็เริ่มเคลื่อนไหวเเล้วเช่นกัน
"เจียงเสวี่ยหยาง, เจ้ากล้ามากที่เล็งบนบัลลังก์ทองคําสีม่วง…..ให้ข้าแสดงดาบของข้าให้เจ้าดู!"
การต่อสู้กลายเป็นความโกลาหล และทุกคนก็เริ่มต่อสู้เพื่อชิงบัลลังก์ทองคําสีม่วง
ที่น่าแปลกคือ ไม่มีใครสนใจบัลลังก์ทองคําเลย
…………
เเละในขณะที่การต่อสู้ใกล้บัลลังก์ทองคําสีม่วงเริ่มวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้น ออร่าอันน่าสะพรึงกลัวสามจุดก็ปะทุขึ้น
ฝูงชนที่กำลังต่อสู้กันต่างตื่นตระหนกและหันหัวกลับ
ทันใดนั้น, พวกเขาเห็นก็เห็นชูไท่ชาง, เจียงลั่วเฉิน และ มู่ซีเหยา ลอยขึ้นไปในอากาศครอบครองพื้นที่ใกล้ๆบัลลังก์ทองสีม่วงด้วยกัน
ดูเหมือนมันจะมีข้อตกลงร่วมกันโดยปริยาย
เพราะพวกเขาไม่ได้ต่อสู้กันเอง….แต่เลือกที่จะโจมตีฝูงชนคนอื่นๆแทน
"เจ้าพวกมดปลวก, กล้าแตะต้องสิ่งที่เป็นของข้า.…ตาย!"
ชูไท่ชางดําเนินชีวิตตามชื่อของเขาเสมอ
เเละด้วยบุคลิกที่ครอบงําอย่างมาก….การโจมตีที่ดุเดือดก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากเขา
หมัดขนาดมหึมาของเขาได้ปรากฏเเละกลืนกินทุกสิ่ง
เจตนาหมัดอันน่าสะพรึงกลัวเข้าปกคลุมท้องฟ้า แบกรับแรงสะท้อนไม่รู้จบเเละพุ่งเข้าหาฝูงชนอย่างรวดเร็ว
"ดวงดาวร่วงหล่น….ตาย!"
อีกด้าน, เสียงเย็นชาเล็กน้อยของ เจียงลั่วเฉินก็ดังก้อง…..พร้อมกับร่างกายของเขาที่เปิดจุดลมปราณทั้ง 150 จุดบนร่างกาย
ด้วยพลังของคนคนหนึ่งที่เทียบเท่ากับผู้ฝึกตนที่ทรงพลังกว่า 150 คนรวมกัน
บรรยากาศรอบๆจึงอบอวลไปด้วยพลังเเห่งดวงดาว….พลังอันน่าสะพรึงกลัวนั้นช่างน่าเกรงขามเเละน่าอัศจรรย์มาก
สุดท้าย
เมื่อเทียบกับอัจฉริยะทั้งสองก่อนหน้า….พลังของมู่ซีเหยาก็ไม่ได้ด้อยกว่าแม้แต่น้อย
"ดาบเปิดประตูสวรรค์!"
ปราณดาบอันทรงพลังปะทุขึ้นและทําให้เกิดการระเบิดในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต
ดาบเล่มนี้มีเจตนาดาบขั้นที่สี่เเฝงอยู่ด้วย….ดังนั้นมันจึงทรงพลังเป็นพิเศษ
มันแบกพลังของสวรรค์เเละโลก….พร้อมตกลงมากลางฝูงชน
เมื่อเห็นอัจฉริยะระดับมังกรผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามเคลื่อนไหว….ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนก็หน้าเปลี่ยนสีด้วยความตกตะลึง
ในขณะนี้, ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้เห็นช่องว่างอันมหาศาลระหว่างอัจฉริยะระดับมังกรและอัจฉริยะธรรมดาอย่างพวกเขา
เเละเมื่อรู้สึกถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวของท่าสังหารที่กำลังพุ่งเข้ามาใกล้พวกเขา
ทุกคนจึงรีบถอนตัวอย่างรวดเร็วและปลดปล่อยท่าไม้ตายของตัวเองออกมาสกัดกั้น
ตูมมมมม~~!
เวทีทั้งหมดสั่นสะท้านและแกว่งไปมทันที
ฉากนี้จะเห็นได้ว่าการปะทะกันครั้งนี้น่ากลัวเพียงใด
บนท้องฟ้าหลังจากนั้น
นอกเหนือจากอัจฉริยะระดับมังกรผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามคนเเล้วก็ไร้ซึ่งใครคนอื่นยืนอยู่กลางอากาศอีก
ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องตกลงไปบนพื้นด้วยก้าวที่ไม่มั่นคง….และหลายคนถึงกับต้องคุกเข่าด้วยซ้ำ
แต่พวกเขาไม่ได้สนใจท่าทางเขินอายของตัวเอง….พวกเขาแหงนมองท้องฟ้าด้วยความประหลาดใจ
ดวงตาของพวกเขาเผยให้เห็นความไม่อยากจะเชื่อ
ในตอนเเรก, พวกเขาคิดว่ามันไม่น่าจะมีช่องว่างมากนักระหว่างพวกเขากับอัจฉริยะระดับมังกร
แต่โดยไม่คาดคิด, ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว….พวกเขาต่างก็ถูกบดขยี้อย่างสมบูรณ์
ในที่สุด, พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าการประเมินของศาลากลไกสวรรค์นั้นน่าประหลาดใจมากเพียงใด
……..
ณ ขณะนี้
อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามยืนอยู่บนท้องฟ้าอย่างภาคภูมิ
ก่อตัวเป็นรูปสามเหลี่ยมเเละเผชิญหน้ากัน
ในท้ายที่สุดพวกเขาทั้งหมดทะยานก็ขึ้นไปในอากาศโดยมีเป้าหมายที่บัลลังก์ทองสีม่วง
เห็นได้ชัดว่าหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง….เเละแต่ละคนต่างก็เล็งตําแหน่งแรกของการประลองนี้
อย่างไรก็ตาม, ในขณะที่ทั้งสามกำลังจะเปิดการต่อสู้เพื่อชิงตําแหน่ง…..จู่ๆมันก็มีเงาดําเงาหนึ่งแวบขึ้นมาต่อหน้าต่อตาพวกเขา
ในเวลาต่อมาชายหนุ่มในชุดดําก็ปรากฏตัวขึ้นบนบัลลังก์โดยตรง
ทันทีหลังจากนั้น โดยไม่ให้เวลาใครตอบสนอง….ชายหนุ่มในชุดดําก็หันกลับมาเเละลงมือทันที
ตูมมมม~~~!
ในพริบตาเดียวออร่าอันน่าสะพรึงกลัวและน่าเกรงขามของดาบที่ไร้ขอบเขตก็ปะทุและกลืนกินท้องฟ้าไปครึ่งหนึ่ง
ครืนนนน~!
เจตนาดาบทําให้ทั้งเวทีสั่นสะเทือนในขณะนี้
เห็นได้ชัดว่าพวกชูไท่ชางไม่คาดคิดว่าจะมีคนกล้าเคลื่อนไหวต่อหน้าพวกเขา, และโมเมนตัมของอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียวก็น่ากลัวมาก
พวกเขารู้สึกราวกับว่าเจตนาดาบที่น่าสะพรึงกลัวกําลังจ่ออยู่ที่คอของพวกเขา….ราวกับว่าการที่พวกเขาจะก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าวจะทําให้โลกของพวกเขากลับหัวกลับหาง
สุดท้าย, ความรู้สึกกดขี่อันน่าสยดสยองได้ปราบปรามร่างของพวกเขาโดยตรงและทําให้พวกเขาตกลงบนพื้นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
ฟ่ออออ~!
เมื่อได้เห็นฉากนี้, ไม่เพียงแต่ผู้ฝึกตนบนเวทีการต่อสู้ทั้งหมดเท่านั้นที่ตกตะลึง….เเม้แต่ยังมีหลายคนที่มาสังเกตการต่อสู้จากภายนอกก็ต้องตกตะลึงเช่นกัน
แม้แต่บุคคลที่มีอํานาจของกองกําลังหลักที่เฝ้าสนามประลองอยู่….ก็ต้องแสดงความประหลาดใจในขณะนี้
โมเมนตัมที่น่าสะพรึงกลัวและยังมีความรู้สึกกดขี่อันมหาศาล
บุคคลผู้นี้คือใครกัน?
……….
ทางด้านชูไท่ชางและอัจฉริยะอีกสองคนที่ตกลงมาบนพื้นต่างก็มีสีหน้าเขินอายเล็กน้อย
พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งพวกเขาจะถูกใครสักคนในรุ่นเดียวกันปราบปรามเช่นนี้
ณ ขณะนี้, มู่ซีเหยาจ้องมองร่างสีดําอย่างว่างเปล่า
ดวงตาที่สวยงามของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจและไม่อยากจะเชื่อ
เธอนึกไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มที่เธอไม่ได้สนใจเมื่อสองสามปีก่อน….จะมายืนอยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้
ยิ่งกว่านั้นเขายังปราบปรามเธอด้วยความเเข็งเเกร่งที่เหนือกว่าอย่างแท้จริง
"เป็นเขาจริงๆ!"
แม้ว่าจะเห็นด้วยตาของตนเอง, แต่มู่ซีเหยาก็ยังคงตกตะลึงอย่างมาก
เธอนึกไม่ถึงจริงๆ….ว่าจะมีใครบนโลกที่สามารถบรรลุระดับการฝึกฝนได้รวดเร็วขนาดนี้
เเละฉากนี้ก็ทำให้ฝูงชนรอบๆเริ่มพูดคุยกัน
"ชายคนนี้เป็นใคร?....ออร่าของเขาน่าสะพรึงกลัวมาก!"
"สามในสี่อัจฉริยะระดับมังกรปรากฏตัวขึ้นเเล้ว, แต่ยังมีหนึ่งคนที่หายไป…. เห็นได้ชัดเลยว่าชายคนนี้เป็นใคร!"
"เจ้าจะบอกว่าเขาคือผู้ฝึกดาบลึกลับที่ไม่มีใครเทียบได้ เย่หวู่ชางงั้นหรือ?”
“เเต่ไม่นานมานี้เขาพึ่งทะลวงอาณาจักรพระราชวังสีม่วงได้นี่…..เเล้วตอนนี้เขาอยู่ในอาณาจักรสําแดงกฎเกณฑ์ได้อย่างไร”
"ไม่เเปลกหรอก….พรสวรรค์ของอัจฉริยะระดับมังกรนั้นเหนือจินตนาการของพวกเราอย่างมาก!"
"เเละมันไม่น่าแปลกใจเลยที่ศาลากลไกสวรรค์จะจัดอันดับให้เขาเป็นผู้นําของสี่มังกรผู้ยิ่งใหญ่, แค่ออร่าของเขาคนเดียวก็น่ากลัวมากเเล้ว!"
"เเละทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น, ความตั้งใจของเขาก็ชัดเจนมาก….เขาต้องเป็นบัลลังก์ทองคําสีม่วงอย่างชัดเจน”
“ดูเหมือนว่าการประลองปีนี้จะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดอีกครั้งระหว่างเหล่ามังกรผู้ยิ่งใหญ่!”
"ใช่เเล้ว….การแข่งขันระหว่างสี่มังกรผู้ยิ่งใหญ่, มันจะต้องน่าตื่นเต้นอย่างเเน่นอน!"
………..
ในขณะนี้
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนมาบรรจบกันที่ร่างของเย่หวู่ชาง….เเละต้องการทราบระดับพลังการต่อสู้ที่เเท้จริงของเขา
เเต่ในทางกลับกัน, สามมังกรผู้ยิ่งใหญ่ยังคงสงบและไม่ได้ริเริ่มที่จะโจมตี
สัญชาตญาณของพวกเขาทั้งสามเเจ้งเตือนพวกเขาว่า….บุคคลนี้ไม่ง่ายที่จะรับมือ
อย่างไรก็ตาม, ก่อนที่พวกเขาจะได้เคลื่อนไหว
ชายคนหนึ่งที่มีร่างกายแข็งแรงเป็นพิเศษ….จู่ๆก็ทะยานขึ้นไปในอากาศและมุ่งหน้าไปยังบัลลังก์ทองคําสีม่วง
เขาเปล่งพลังปราณดาบที่น่าสะพรึงกลัว….แสดงพลังที่น่าเกรงขามของปรมาจารย์ดาบที่ไม่มีใครเทียบได้
"เย่หวู่ชาง ผู้นําของสี่มังกรผู้ยิ่งใหญ่…..ข้าหวังอู๋ต่าว, ข้ามาทดสอบว่าดาบของเจ้าหรือดาบของข้าใครจะคมกว่ากัน!"
หลังจากพูดโดยไม่ให้เวลาใครครุ่นคิด, เขาก็ก้าวเข้าสู่บัลลังก์ทองสีม่วงเเละสร้างโลกใบเล็กโดยตรง
เมื่อเห็นสิ่งนี้, ทุกคนรอบๆต่างก็เฝ้าดูอย่างตั้งใจ
ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการจะเห็นการต่อสู้ระหว่างปรมาจารย์ดาบสองคนนี้อย่างมาก
"มาเถอะ, เย่หวู่ชาง….ข้าต้องการต่อสู้กับเจ้ามากที่สุดเเล้วในการประลองนี้"
หวังอู๋ต่าวจ้องมองไปที่เย่หวู่ชางด้วยสายตาที่แน่วแน่…..ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้อันทรงพลัง
อย่างไรก็ตาม, น่าเสียดายที่เย่หวู่ชางเพียงเหลือบมองเขาเล็กน้อยและส่ายหัวเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้กระตุ้นความสนใจของเย่หวู่ชางได้เลย
"ถอยไปเถอะ, เจ้าอ่อนแอเกินไป!"
ฟ่อ~~!
ทันทีที่คําพูดเหล่านี้หลุดออกมา….ก็จะได้ยินเสียงตกตะลึงของคนอื่นๆทันที
ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่หวู่ชางจะหยิ่งผยองถึงขนาดนี้
เขากล้าพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า หวังอู๋ต่าวนั้นอ่อนแอเกินไป
"ข้าอ่อนแอเกินไป?”
“ฮ่าฮ่า….นี่เป็นเรื่องตลกที่ไร้สาระที่สุดที่ข้าเคยได้ยินในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา”
“ในเมื่อเจ้าหยิ่งผยองนัก, งั้นก็ตายซะเถอะ”
ด้วยดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
หวังอู๋ต่าวได้ปลดปล่อยปราณดาบถึงขีดสุด, ใช้ทักษะที่ทรงพลังที่สุดของเขาเเละฟันเข้าหาเย่หวู่ชางอย่างรุนแรง
เเละทันทีที่การโจมตีนี้ปรากฏออกมา
สีหน้าของทุกคนรอบๆก็เปลี่ยนไปทันที
สมควรเเล้วที่หวังอู๋ต่าวได้รับการประเมินว่าเป็นอัจฉริยะระดับวีรบุรุษ….พลังของเขาน่ากลัวมาก!
เเละในขณะนั้นทุกคนก็มองไปที่เย่หวู่ชางอีกครั้ง….โดยพวกเขาล้วนอยากรู้ว่าเย่หวู่ชางจะตอบสนองต่อการโจมตีนี้อย่างไร
เเต่น่าเสียดายที่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีครั้งนี้
เย่หวู่ชางทำเพียงแค่ส่ายหัวเบาๆ และพูดอย่างไม่เป็นทางการว่า
"เจ้ากําลังร้องขอความอัปยศอดสู!"
หลังจากพูดจบเขาก็ใช้มือต่างดาบ
เเละเคลื่อนไหวง่ายๆโดยโบกมือไปในอากาศอย่างไม่จริงจังนัก
เพล้งงงงง~~!
ทันใดนั้น, เสียงความว่างเปล่าที่แตกสลายได้ดังก้องไปถึงหูของทุกคน
…………………..