บทที่ 48 ท้าประลองเลือกห้อง
หยางเสี่ยวเทียนรู้สึกพอใจกับความก้าวหน้านี้อย่างมาก ก่อนเพ่งสมาธิพร้อมกับเดินลมปราณมังกรแรกเริ่มอีกครั้ง เพื่อขัดเกลาโอสถวิญญาณสี่ประการต่อไป
เขาฝึกฝนไม่หยุดจนรุ่งสาง
ทว่า หลังจากทะลวงเข้าสู่ระดับสามของขั้นเซียนสวรรค์ พลังของโอสถวิญญาณสี่ประการกลับลดลงไม่น้อย
เดิมที เขาคิดว่าอย่างน้อยคงสามารถทะลวงไปถึงระดับสามขั้นสูงสุดได้ แต่ตอนนี้กลับทะลวงได้เพียงขั้นปลายเท่านั้น
ทำวังวนลูกที่สามในตันเถียนสามารถเติบโตได้มากสุดเพียงสิบสี่ฉื่อ ซึ่งขยายขึ้นจากเดิมเจ็ดฉื่อแค่นั้น
ทว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้หยางเสี่ยวเทียนประหลาดใจก็คือ ปราณมังกรตัวที่สองของเขาได้ตื่นขึ้นแล้ว
ด้วยปราณแท้มังกรสองตัวนี้ เสริมให้ความแข็งแกร่งและการป้องกันของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เมื่อนึกถึงการท้าประลอง หยางเสี่ยวเทียนจึงลุกออกจากห้อง สอบถามศิษย์คนอื่นๆ จนไปถึงเรือนของเกาลู่ อาจารย์ประจำห้องสี่
ทันทีที่มาถึงหน้าประตูเรือนของเกาลู่ เขาก็ได้ยินเสียงสนทนาระหว่างเกาลู่และเฉินปิงเหยา
“เขายังไม่พอใจกับห้องเขางั้นหรือ” เกาลู่ตะเบ็งเสียงแข็งกร้าวอย่างไม่พอใจ
“ตามความเห็นข้า ท่านอาจารย์ไม่ควรจัดห้องให้เขาด้วยซ้ำ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเหล่าผู้อาวุโสคิดอะไรกันอยู่ ถึงให้เขาเข้าเรียนที่สำนักเสินเจี้ยน” เฉินปิงเหยากล่าว
“รองเจ้าสำนักรู้สึกว่าวิญญาณยุทธ์ของเขาอาจเติบโตได้ถึงระดับเก้าในอนาคต ดังนั้นเขาจึงขอเจ้าสำหนักหลิน เจ้าสำนักหลินไม่สามารถกระทำการไม่ไว้หน้ารองเจ้าสำนักได้จึงอนุญาตให้เขาอยู่ในสำนักชั่วคราวเป็นเวลาหนึ่งปี” เกาลู่อธิบาย
“ในเวลาหนึ่งปีนี้เขาคงไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ระดับเจ็ดได้เป็นแน่ เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะให้เขาเก็บข้าวของย้ายออกไปในทันที”
“เพียงแต่ ข้าไม่คิดว่าเจ้าสำนักจะให้เขาเข้าเรียนที่ห้องสี่ของเรา ฮึ! ช่างโชคร้ายนัก”
ห้องสี่ที่ภาคภูมิใจของเขา กลับต้องมาถูกอัดแน่นไปด้วยผู้มีเพียงวิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์ระดับสอง นั่นทำให้เกาลู่ไม่พอใจเป็นที่สุด
ครั้นถึงเวลาที่สำนักต้องประเมินความสามารถของชั้นเรียน หากหยางเสี่ยวเทียนยังอยู่ในชั้นเรียนของเขา นั่นจะไม่ยิ่งทำให้ผลประเมินของชั้นเขาตกต่ำหรืออย่างไร
แล้วตอนนี้ยังมีข่าวลือหนาหูแพร่กระจายไปทั่วสำนัก ว่าวิญญาณยุทธ์ระดับสองได้มาอยู่ในห้องสี่ของชั้นปีหนึ่งแล้ว นั่นยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เขาต้องเจ็บช้ำขึ้นไปอีก
แต่จู่ๆ หยางเสี่ยวเทียนก็ผลักประตูแล้วเดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าเรียบเฉย อย่างไม่สนใจเสียงพูดคุยของคนทั้งคู่
นั่นทำให้บทสนทนาระหว่างเฉินปิงเหยาและเกาลู่หยุดชะงักลงหันกลับไปมองผู้ที่เข้ามา
“อาจารย์ เขาคือหยางเสี่ยวเทียน” เฉินปิงเหยาเห็นว่านั่นคือหยางเสี่ยวเทียนจึงหันไปบอกกับเกาลู่ทันที
“เจ้าน่ะหรือ หยางเสี่ยวเทียน ฮึ!” เกาลู่รู้สึกขยะแขยงทันที เมื่อรู้ว่าเด็กตรงหน้าคือหยางเสี่ยวเทียน ผู้ทำให้ชั้นเรียนของเขาต้องเสื่อมเสีย
“เจ้ามาหาข้าเพราะเหตุใด” จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากไม่มีอะไร ต่อไปก็อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก!”
หยางเสี่ยวเทียนเพียงจ้องเกาลู่ในสีหน้าเรียบเฉย “ข้าได้ศึกษากฎระเบียบของสำนักแล้ว ศิษย์ใหม่ทุกคนสามารถรับโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสูงสุดจากอาจารย์ประจำชั้นเรียนได้มิใช่หรือ”
เกาลู่เผยยิ้มเหยียดหยามพร้อมเอ่ยขึ้น “ใช่ แต่ในฐานะวิญญาณยุทธ์ระดับสอง เจ้าคิดว่าตัวเองสมควรได้รับโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสูงสุดหรืออย่างไร”
จากนั้นเขาก็กล่าวต่ออย่างเจ้าเล่ห์ “แต่หากเจ้ายืนกรานว่าจะเอาโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสูงสุดนี้ให้ได้ เช่นนั้นก็เอาชนะปิงเหยาต่อหน้าข้า เพื่อพิสูจน์ว่าเจ้ามีคุณสมบัติมากพอที่จะรับมัน”
“ไม่เพียงเท่านั้น หากเจ้าเอาชนะปิงเหยาได้จะมีห้องว่างมากมายให้เจ้าเลือกตามต้องการ”
เกาลู่ชี้ไปทางเฉินปิงเหยาที่ยืนอยู่ด้านข้าง ขณะแสดงอาการดูหมิ่นบนใบหน้า
ซึ่งเฉินปิงเหยาได้ยินสิ่งนี้ เขาก็แสยะยิ้มทันที เพราะคิดว่าหยางเสี่ยวเทียนคงจะกลัวจนหัวหดแล้วหันหลังเดินออกไปอย่าน่าสมเพช
ทว่า หยางเสี่ยวเทียนกลับกล่าวในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง
“ตกลง เช่นนั้นก็ไปที่สนามประลองกันเถอะ” กล่าวจบ หยางเสี่ยวเทียนก็หันหลังกลับและเดินออกจากห้องไป ราวไม่เห็นสีหน้าอันน่าหวั่นเกรงของเขา
เฉินปิงเหยาผงะด้วยประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะออกมาอย่างสำราญใจ ไม่ช้า เขาก็ตามออกไปในทันที
เกาลู่ยิ้มอย่างพอใจก่อนหยุดเฉินปิงเหยาชี้แนะแนวทางแก่เขา “ช้าก่อน ใช้เพลงกระบี่เหล็กนิลของเจ้าสั่งสอนเขาให้รู้สำนึกเสียบ้าง แสดงให้เจ้าลูกวัวเกิดใหม่ที่ไม่กลัวเสือนั้นเห็นว่า ผลมันจะเป็นอย่างไร”
“อาจารย์โปรดวางใจ ข้าจะสั่งสอนเขาให้เอง” เฉินปิงเหยารับคำแนะนำด้วยรอยยิ้มเย็นที่มีความสุข
จากนั้นทั้งสอง ก็เดินตามกันมุ่งหน้าไปยังลานประลอง ในเวลาเดียวกันเกาลู่ก็แจ้งเรื่องนี้ให้ศิษย์ทุกคนของห้องสี่รับรู้ แล้วเรียกรวมตัวกันยังสนามประลองรอดูฉากอันน่าประทับใจ
ศิษย์ในห้องสี่ ต่างรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินว่าศิษย์ใหม่ท้าประลองกับเฉินปิงเหยาหัวหน้าห้องของพวกเขา จึงเร่งรีบกันไปที่สนามประลองทีละคน
รวมถึง หูซิง เฉิงเป้ยเป้ย หยางจงพร้อมกับคนอื่นๆ ในสำนักที่ได้รับรู้ข่าวนี้เช่นกัน
“ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ มาถึงก็ท้าประลองกับลูกศิษย์ของสำนักเสินเจี้ยนทันที” หูซิงส่ายศรีษะด้วยความเวทนา
“พวกเราไปดูกันเถอะ” เฉิงเป้ยเป้ยกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข นางไม่ชอบหยางเสี่ยวเทียนแต่ไหนแต่ไร จึงอยากเห็นว่าหยางเสี่ยวเทียนจะเป็นอย่างไรเมื่อเขาถูกทุบตีราวกับสุนัขจรจัด