ตอนที่แล้วบทที่ 46 วิญญาณยุทธ์เติบโตได้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 48 ท้าประลองเลือกห้อง

บทที่ 47 จุดด่างพร้อย


“ตกลง” เฉินหยวนพยักหน้าเมื่อรู้ว่าหลินหยงอนุญาตให้หยางเสี่ยวเทียนอยู่ต่อได้หนึ่งปี

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังรู้อีกว่าหลินหยงได้ไว้หน้าเขามามากพอแล้ว ที่อนุญาตให้หยางเสี่ยวเทียนอยู่ที่นี้ได้ แม้จะไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของสำนัก

ขณะที่เฉินหยวนรู้สึกยินดีกับคำตอบของหลินหยง ท่าทางของหยางเสี่ยวเทียนกลับนิ่งเฉยเมื่อได้ยินสิ่งนี้

จริงๆ แล้วมันไม่สำคัญสำหรับเขาว่าจะได้อยู่ในสำนักเสินเจี้ยนหรือไม่ เพราะเดิมทีเขาก็ฝึกฝนได้เองโดยลำพัง มิมีใครคอยชี้แนะอยู่แล้ว

แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าภูมิใจทั้งบิดามารดา ที่ต่างก็คาดหวังให้เขาได้เข้าเรียนที่สำนักเสินเจี้ยนแห่งนี้ แล้วเขาผู้เป็นบุตรจะทำลายความหวังนั้นได้อย่างไร

เพียงแต่ เขาจะอยู่ในสำนักนี้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น หลังจากครบแล้วเขาจะออกไปจากที่นี่ทันที

อีกเรื่องคือ ภายในเวลาหนึ่งปี เขาจะต้องทะลวงเข้าสู่ขั้นราชันยุทธ์ให้ได้

จากนั้นเฉินหยวนก็นำทางหยางเสี่ยวเทียน ไปยังที่ลงทะเบียนเข้าร่วมชั้นเรียนเบื้องต้นของศิษย์ปีหนึ่งห้องสี่

และห้องสี่ เป็นห้องที่เด็กผู้มีความสามารถต่ำสุดในสำนักเสินเจี้ยน ซึ่งแม้จะมีความสามารถต่ำสุด แต่วิญญาณยุทธ์อย่างน้อยก็ต้องถึงระดับเก้าขึ้นไป

ดังนั้น “วิญญาณยุทธ์ระดับสอง” ของหยางเสี่ยวเทียน จึงถือกลายเป็นจุดด่างพร้อยของห้อง ซึ่งต่างไม่มีใครพอใจกับเรื่องนี้

หยางเสี่ยวเทียนและศิษย์ห้องสี่คนอื่นๆ ต้องอาศัยอยู่ในเรือนใหญ่หลังเดียวกัน

ซึ่งแต่ละคนจะมีห้องส่วนตัวเป็นของตนเอง เพราะกว้างขวางมากเพียงพอต่อศิษย์ทุกคน

ส่วนห้องของหยางเสี่ยวเทียน กลับถูกจัดให้อยู่ยังมุมเล็กๆ ด้านหลังสุดของเรือนพักศิษย์ ที่ดูไม่ต่างจากห้องรูหนู

แล้วตำแหน่งนี้ในเรือนพัก ยังถือว่ามีพลังวิญญาณเบาบางสุด ทั้งยังไม่มีแสงสว่างส่องถึงได้ ราวกับเป็นห้องใช้เก็บของเพียงเท่านั้น ซึ่งมันไม่เหมาะต่อการพำนักและฝึกบำเพ็ญแต่อย่างใด

“นี่คือห้องของเจ้า” เฉินปิงเหยาหัวหน้าห้องสี่ปีหนึ่ง ชี้ไปยังห้องแคบๆ มืดๆ พร้อมกับโยนกุญแจให้หยางเสี่ยวเทียนอย่างไม่แยแส

หยางเสี่ยวเทียนมองดูห้องตนก่อนจะขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย “ข้างหน้าไม่มีห้องว่างหรืออย่างไร”

เฉินปิงเหยาเพียงเหลือบหางตามองหยางเสี่ยวเทียน “ยังมีห้องว่างอีกมากมายข้างหน้านั่น แต่เจ้าคิดว่าด้วยพรสวรรค์เพียงแค่นี้ สมควรจะได้อยู่ในห้องที่ดีเช่นนั้นหรือไม่เล่า ช่างไม่รู้จักประมาณตน”

“พรสวรรค์อันต่ำต้อยของเจ้า แย่ที่สุดในสำนักเราก็ว่าได้ จะกล่าวให้ถูกคือ มันแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักเสินเจี้ยนตั้งแต่ก่อตั้งมา ที่เจ้ามีห้องอยู่ก็บุญแค่ไหน ใยยังเรื่องมากอีก”

ใบหน้าของหยางเสี่ยวเทียนมืดลงหลังได้ยินสิ่งนี้

“ทำไม เจ้าไม่พอใจงั้นหรือ” เฉินปิงเหยากล่าว “นี่คือห้องที่อาจารย์ขอให้ข้าจัดเตรียมให้เจ้า หากไม่พอใจ ก็ไปคุยกับเขาพรุ่งนี้เอง”

“หากเจ้าไปคุกเข่าอ้อนวอนต่อเขา บางที เขาอาจจะเปลี่ยนห้องที่ดีกว่าให้เจ้าก็เป็นได้ ฮ่าๆๆ”

หยางเสี่ยวเทียนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นยะเยือกทันที ฝ่ามือของเขาเริ่มกางออกพร้อมจะปลดปล่อยกระบี่

เฉินปิงเหยามองเขาด้วยสีหน้าเยาะเย้ยและกล่าวว่า “ทำไมเจ้าลูกเต่า อยากมีเรื่องกับข้าหรืออย่างไร การวิวาทกันเป็นสิ่งต้องห้ามในสำนักนี้ หากเจ้าอยากทุบตีข้าจริงก็สามารถท้าประลองได้ แต่ต้องไปขอกับอาจารย์เท่านั้น ส่วนตอนนี้ก็จงพักอยู่ในห้องเล็กๆ ที่น่าสมเพชของเจ้าให้สบายเถอะ ฮ่าๆๆ”

หลังกล่าวจบเขาก็เดินจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ

ท้าประลองงั้นหรือ

ตอนนี้เริ่มดึกแล้ว พรุ่งนี้ค่อยสะสาง!

หยางเสี่ยวเทียนมองแผ่นหลังที่กำลังจากไปของอีกฝ่ายอย่างเย็นชา แล้วคลายฝ่ามือลง

ไม่ช้า เขาก็หันกลับมาเปิดดูในห้อง ที่ภายในกว้างและยาวเพียงสิบฉื่อ ยังดีที่มีเตียงไม้ โต๊ะพร้อมกับเก้าอี้อยู่ข้างในแม้จะเก่าซอมซ่อไม่ต่างจากเศษไม้

หลังเข้ามาแล้วปิดห้องลง เขาก็ปล่อยเจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทองออกจากกระเป๋า แล้วหยิบเตียงหยกเย็นออกมาจากแหวนเตาหลอม และด้วยห้องที่คับแคบ ทำเขาต้องวางมันลงบนเตียงไม้

จากนั้น ก็ขึ้นไปนั่งบนเตียงหยกเย็น พร้อมกับเริ่มศึกษากฎและข้อห้ามของสำนักเสินเจี้ยนอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ไม่นานนัก หยางเสี่ยวเทียนก็เข้าใจถึงกฎและข้อห้ามต่างๆ ของสำนักเสินเจี้ยน

แต่ทว่า สิ่งที่เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือการท้าประลอง

เขาปิดหนังสือของกฏและข้อห้ามลง แล้วคว้าโอสถวิญญาณสี่ประการที่เขาหลอมเมื่อสองวันก่อนขึ้นมา กลืนมันลงไป ไม่ช้า ความร้อนก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างอย่างรุนแรง

ด้วยฤทธิ์ของโอสถที่กำลังปะทุ เขาต้องเริ่มเดินลมปราณมังกรแรกเริ่มเพื่อขัดเกลามันทันที พลังนั้นเริ่มถูกดูดซับเข้าสู่ตันเถียน แล้วแปลเปลี่ยนเป็นปราณแท้อย่างต่อเนื่อง

ไม่กี่อึดใจ พลังวิญญาณของสวรรค์และโลกก็พลันส่งเสียงคำรามออกมา

วังวนลูกที่สามในตันเถียนของหยางเสี่ยวเทียนเริ่มขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้ง

เดิมที วังวนลูกที่สามของเขามีขนาดเพียงสามฉื่อ แต่ไม่นานมันก็ขยายเป็นแปดหรือเก้าฉื่อ

ทันใดนั้น ก็มีเสียงราวกับรังไหมแตกออก ดังลั่นในร่างกายของเขา

ตามด้วยเสียงมังกรคำรามสะนั่นฟ้าสะเทือนดิน

หลังจากฝึกฝนอย่างหนักมาหลายวัน ในที่สุดปราณแท้มังกรตัวที่สองก็ตื่นขึ้น!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด