บทที่ 46 วิญญาณยุทธ์เติบโตได้
เฉิงเป้ยเป้ย หยางจง และหูซิงก็เพ่งความสนใจไปยังคำตอบของหลินหยงเช่นเดียวกัน
หลินหยงใคร่ครวญคำตอบอยู่ครู่แล้วจึงกล่าวว่า “วิญญาณยุทธ์ของเขาคือวิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์จริงๆ”
มิแตกต่างอันใดจากเมื่อก่อน วิญญาณยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียนยังคงเป็นเต่ายักษ์เช่นเคย
แน่นอนว่าหยางจงและเฉิงเป้ยเป้ย ต่างแสดงรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมาทางใบหน้าหลังได้ยินสิ่งนี้ แม้แต่หูซิง ศิษย์ของหลินหยงก็รู้สึกโล่งใจเช่นกัน
นั่นเพราะว่าวานนี้ มีศิษย์ของสำนักบางคนลือว่า เฉินหยวนกำลังจะพาเด็กชายนามหยางเสี่ยวเทียนกลับมา เพื่อให้อาจารย์ของเขาตรวจสอบวิญญาณยุทธ์
ทั้งยังกล่าวอีกว่าหยางเสี่ยวเทียนผู้นี้ได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นนักยุทธ์ระดับสี่ ในเวลาเพียงเดือนกว่าเท่านั้น ซึ่งวิญญาณยุทธ์ของเขาอาจสูงกว่าหยางจงด้วยซ้ำ
หูซิงเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากสุดในบรรดาศิษย์ของสำนักเสินเจี้ยน จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่ต้องการให้ศิษย์คนใดโดดเด่นกว่า
เฉินหยวนตอนนี้ห่อเหี่ยวลงราวกับต้นไม้แล้งน้ำ เขารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมากหลังได้ฟังคำตอบของหลินหยง
เดิมที เฉินหยวนคิดว่าหยางเสี่ยวเทียนอาจสามารถทำให้เขาประหลาดใจได้ ถึงพากลับมายังสำนัก ทว่าบัดนี้กลับเสียแรงเปล่า
แต่ในตอนนั้นเอง หลินหยงกล่าวเสริม “เพียงแต่ว่า วิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์ของเขานั้น เป็นประเภทที่สามารถเติบโตได้”
“ประเภทที่เติบโตได้งั้นหรือ” เฉินหยวนตะลึงงันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นร่างห่อเหี่ยวเมื่อครู่ก็พลันกลับมาเบิกบาน แววตาที่หม่นหมองก็เปลี่ยนเป็นสดใส ก่อนเปิดปากถามอย่างมีความหวัง
“เช่นนั้นท่านก็หมายความว่า วิญญาณยุทธ์ของเขาสามารถเติบโตและเลื่อนระดับต่อไปได้อย่างนั้นใช่หรือไม่”
หลินหยงส่ายศรีษะแล้วกล่าวต่อ “ไม่เสมอไป เพราะจากที่ข้าเคยอ่านพบในคัมภีร์โบราณ วิญญาณยุทธ์ประเภทเติบโตนี้ สามารถเติบโตได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะมันก็มีข้อจำกัดอยู่ ยกตัวอย่างง่ายๆ คือตอนนี้วิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์ของเขาอยู่ในระดับสอง มันจะสามารถเติบโตได้สูงสุดเพียงระดับหกหรือเจ็ดเท่านั้น”
สามารถเติบโตได้เพียงระดับหกหรือเจ็ดแค่นั้นหรือ เมื่อเฉินหยวนได้ยินคำนี้ เขาก็รู้สึกราวกับถูกสาดน้ำเย็นใส่* สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองลงอีกครั้ง
ส่วนหยางจง เฉิงเป้ยเป้ยและหูซิง ขณะนี้ไร้ซึ่งความกังวลโดยสมบูรณ์
หลินหยงมองไปยังวิญญาณยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียนอีกครั้ง ก่อนจะส่ายศรีษะแล้วกล่าวว่า “ช่างน่าเสียดาย เพราะวิญญาณยุทธ์ประเภทเติบโตนั้นหาพบได้ยากมาก แต่วิญญาณยุทธ์ของเขาเป็นเพียงวิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์ระดับสองอย่างแน่นอน”
คำว่าน่าเสียดายของหลินหยงหมายถึง หากหยางเสี่ยวเทียนสามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ระดับสิบขึ้นมาตั้งแต่แรก มันอาจจะเติบโตเป็นวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงเลยก็เป็นได้
หยางเสี่ยวเทียนได้ยินที่หลินหยงกล่าวถึงวิญญาณยุทธ์เขา ว่าเป็นวิญญาณยุทธ์ประเภทเติบโตได้ หัวใจของเขาก็สั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น
เนื่องจากวิญญาณยุทธ์ของเขาเป็นวิญญาณยุทธ์ประเภทเติบโตได้ นั่นก็หมายความว่าวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงสุดของเขาสามารถก้าวหน้าต่อไปได้อีกงั้นหรือ
“เจ้าสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นนักยุทธ์ระดับสี่ได้อย่างไร หรือว่าเจ้าใช้โอสถงั้นหรือ” หลินหยงถามหยางเสี่ยวเทียนด้วยความสงสัย
หยางเสี่ยวเทียนไม่คิดปิดบังจึงเอ่ยบอกไป “ใช่ ข้าใช้โอสถในการบ่มเพาะ จึงสามารถทะลวงได้เช่นนี้”
เหตุผลของคำตอบนั้นคือ ที่เขาสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ระดับสามได้อย่างรวดเร็ว เพราะใช้โอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์และโอสถวิญญาณสี่ประการที่เขาหลอมเอง
เมื่อเฉินหยวนได้ยินว่าหยางเสี่ยวเทียนใช้โอสถในการบ่มเพาะ เขาก็แอบส่ายศรีษะด้วยความผิดหวัง เดิมทีเขาคิดว่าเด็กคนนี้จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นนักยุทธ์ระดับสี่ด้วยพลังของตัวเอง
แต่เมื่อใคร่ครวญดูอีกที ขนาดหยางจงศิษย์เขา ยังไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ระดับสี่ได้เร็วเช่นนั้น แล้วเด็กคนนี้ สามารถฝึกฝนด้วยพลังของตัวเองจนทะลวงเข้าสู่ระดับสี่อย่างรวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร
เฉินหยวนขบคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวกับหลินหยง “เจ้าสำนักหลิน เนื่องจากวิญญาณยุทธ์ของเสี่ยวเทียนเป็นประเภทที่เติบโตได้ บางทีอาจจะมีโอกาศเลื่อนเป็นระดับเก้า มิสู้เราลองปล่อยให้เขาอยู่ในสำนักเสินเจี้ยนก่อนชั่วคราวเพื่อคอยจับตาดู ท่านเห็นเป็นอย่างไร”
ให้อยู่ในสำนักเสินเจี้ยนงั้นหรือ…
หลินหยงไตร่ตรองคำตอบอยู่ครู่แล้วกล่าวว่า “ได้ เช่นนั้นก็ปล่อยให้เด็กคนนี้อยู่ในสำนักเป็นเวลาหนึ่งปี หากครบกำหนดแล้ววิญญาณยุทธ์ของเขาสามารถทะลวงไปถึงระดับที่เจ็ดได้ เขาก็สามารถอยู่ในสำนักต่อไปได้เช่นกัน”
หูซิงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้คนที่มีเพียงวิญญาณยุทธ์ระดับสองอย่างหยางเสี่ยวเทียนมาเป็นศิษย์อยู่ในสำนักเสินเจี้ยนแห่งนี้
เนื่องจากสำนักเสินเจี้ยน เป็นสำนักหลักแห่งแรกที่ยิ่งใหญ่สุดของอาณาจักรเสินไห่ ดังนั้น เกณฑ์ในการรับลูกศิษย์คือ ระดับของวิญญาณยุทธ์จะต้องไม่ต่ำกว่าระดับที่เก้า
ทว่า เนื่องจากอาจารย์ของเขาได้กล่าวไปแล้ว ต่อให้เขาไม่พอใจก็ไม่อาจคัดค้านอะไรได้อีก
เชิงอรรถ
*สาดน้ำเย็นใส่ เป็นสำนวนหมายถึง ทำลายความกระตือรือล้น