บทที่ 45 เนตรฮวงเทียน
สำนักเสินเจี้ยน เป็นสำนักหลักแห่งแรกจากสี่สำนักอันน่าประทับใจในอาณาจักรเสินไห่
เขายืนแหงนมองประตูเหล็กขนาดใหญ่เบื้องหน้า ที่ถูกสร้างขึ้นจากกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน
และที่หยางเสี่ยวเทียนสัมผัสถึงกลิ่นอายจากปราณกระบี่ คงเพราะอิทธิพลของกระบี่มากมายที่ซ้อนทับกันตรงนั้น จึงทำปราณกระบี่แผ่กลิ่นอายปกคลุมไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก
หยางเสี่ยวเทียนรับรู้ถึงความลึกลับอันน่าประหลาดใจจากประตูนี้ได้อย่างรวดเร็ว กระบี่เหล่านี้ไม่ได้เรียงซ้อนทับกันเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นถึงค่ายกลกระบี่
เฉินหยวนสังเกตเห็นหยางเสี่ยวเทียนจับจ้องยังประตูด้วยท่าทางสงสัย จึงได้เอ่ยขึ้นว่า “นี่คือค่ายกลกระบี่ มันถูกสร้างโดยเซียนกระบี่ทั้งห้าของสำนักเรา เป็นหนึ่งในค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเสินไห่แห่งนี้”
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้ารับและตั้งใจสังเกตมันมากขึ้น
เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของหยางเสี่ยวเทียน หยางจงก็พลันเยาะเย้ย “อย่าดูนักเลย อัจฉริยะหลายคนในสำนักเสินเจี้ยนยังมิอาจเข้าใจค่ายกลกระบี่นี้ได้ ยิ่งเป็นคนเช่นเจ้า ต่อให้ใช้เวลาเป็นร้อยปี ก็มิอาจเข้าใจได้แม้เพียงหนึ่งในหมื่น”
แต่ในเวลานี้เอง ภายใต้การจดจ้องของหยางเสี่ยวเทียน บรรดากระบี่ที่ประตูทุกเล่มต่างเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต พวกมันโยกย้ายเปลี่ยนทิศทางเข้าหากันเพื่อก่อตัวสร้างเป็นค่ายกล
จนที่สุด รูปแบบการสร้างค่ายกลกระบี่ของห้าเซียน ก็ถูกจำลองขึ้นจนสำเร็จประจักษ์ต่อดวงตาหยางเสี่ยวเทียน
“ไปกันเถอะ” เฉินหยวนกล่าวแทรก ขณะหยางเสี่ยวเทียนยังคงยืนมองมันไม่วางตา “ข้าจะพาเจ้าไปพบเจ้าสำนัก”
เขาต้องรู้ให้ได้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับวิญญาณยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียน เหตุใดมันจึงสามารถก้าวหน้าแลทำให้เขาแข็งแกร่งเข้าขั้นนักยุทธ์ระดับสี่ได้
หยางเสี่ยวเทียนติดตามเฉินหยวนผ่านประตูเข้าสู่สำนักเสินเจี้ยน
เฉิงเป้ยเป้ยกับหยางจงก็ติดตามเช่นกัน เพราะใคร่รู้เรื่องนี้ จากความคิดพวกเขามันจะมิใช่วิญญาณยุทธ์เต่าธรรมดาได้อย่างไร
หลังผ่านประตูสำนักเสินเจี้ยนเข้ามา พวกเขาก็เดินผ่านโถงทางเดินด้านหน้าทอดยาวไปจนถึงลานกว้างจัตุรัส
รอบข้างจัตุรัส มีศิลาคล้ายกระบี่ขนาดใหญ่นับร้อยเล่มปักอยู่
ซึ่งศิลากระบี่ขนาดใหญ่นับร้อย ตั้งตระหง่านอยู่ทั้งสองข้างทางเดินภายในจัตุรัส แต่ละเล่มสูงราวสามจั้งเห็นจะได้ ถือเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ใจมากสำหรับหยางเสี่ยวเทียน
“นี่คือจัตุรัสร้อยกระบี่”
“เป็นหนึ่งในสถานที่อันน่าประทับใจสำหรับฝึกฝนเพลงกระบี่ของสำนักเสินเจี้ยนเรา”
“ศิลากระบี่แต่ละเล่ม ล้วนมีเพลงกระบี่ที่เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาถูกสลักเอาไว้บนนั้น”
“ศิษย์ส่วนใหญ่มักมาที่นี่ เพื่อฝึกฝนเพลงกระบี่เหล่านี้”
เฉินหยวนแนะนำหยางเสี่ยวเทียนพอประมาณไม่ทางการนัก
“มีใครสามารถแตกฉานเพลงกระบี่ทั้งร้อยเล่มนี้ได้หรือไม่” หยางเสี่ยวเทียนถามอย่างสงสัย
เฉิงเป้ยเป้ยผู้ติดตามมาด้วยตลอด ได้ยินที่เขาถามถึงกับอดแสดงทัศนคติอันเย่อหยิ่งไม่ไหว
“เจ้าคิดว่ามันเป็นเคล็ดวิชาที่สามารถฝึกฝนให้แตกฉานได้ง่ายตามต้องการหรืออย่างไร อีกทั้งยังมีมากถึงร้อยเพลงกระบี่ ด้วยความสามารถเช่นเจ้า หากแตกฉานได้แม้เพลงกระบี่เดียว ก็จะราวกับควันเขียวผุดจากหลุมฝังศพบรรพบุรุษ*”
แต่นั่นกลับทำให้หยางเสี่ยวเทียน ยิ่งสนใจยังบรรดาเหล่าศิลากระบี่นับร้อยเล่มเบื้องหน้ามากขึ้น
จากนั้นไม่นาน เฉินหยวนก็พาหยางเสี่ยวเทียนมายังเรือนเล็กๆ หลังหนึ่ง ซึ่งหลินหยง เจ้าสำนักเสินเจี้ยนพำนักอยู่
โดยหลินหยงตอนนี้ กำลังชี้แนะเพลงกระบี่ให้หูซิงผู้เป็นศิษย์สายตรงของเขา แต่ครั้นเห็นเฉินหยวนมาเยือนยังเรือน เขาก็พลันหยุดการกระทำเหล่านั้นลงทันที
ทั้งสองต่างแสดงความยินดีที่ได้พบกัน ไม่ช้า เฉินหยวนก็รีบอธิบายจุดประสงค์ที่เขามาเยือนในครั้งนี้ให้หลินหยงฟัง
“โอ้ วิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้งั้นหรือ” หลังจากได้ฟังดังนี้ หลินหยงก็จับจ้องไปยังหยางเสี่ยวเทียนด้วยความประหลาดใจ
นี่เป็นครั้งแรก ที่เขาได้ยินว่าวิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์ระดับสองสามารถเปลี่ยนแปลงได้
“เสี่ยวเทียน แสดงวิญญาณยุทธ์ให้เจ้าสำนักหลินดูเถิด” เฉินหยวนกล่าวกับหยางเสี่ยวเทียน
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้า เพราะเขาก็ใคร่รู้เช่นกันไม่ต่างจากผู้อื่น เขาเริ่มโคจรพลังยุทธเพื่อปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์เสวียนอู่ออกมาไม่รีรอ
ทันใดนั้น ปราณดำทะมึนก็ทะยานสูงขึ้นเหนือหัวของเขาในทันที
ทำให้พื้นที่โดยรอบมืดลงราวกับมีเมฆครึ้มขนาดใหญ่แผ่ปกคลุมทั่วทั้งเวหา
ไม่ช้า เต่าขนาดใหญ่ที่มีอสรพิษพันรอบตัวก็ปรากฏขึ้นประจักษ์ต่อสายตาทุกคู่ให้ได้ตกตะลึงกันอีกครา
บัดนี้ เสวียนอู่และอสรพิษนิลกาฬกลับมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง มันมีลวดลายที่คล้ายอักขระเพิ่มมากขึ้นพร้อมกับแผ่กลิ่นอายอันน่าพิศวงออกมาจากกระดองของเจ้าเสวียนอู่
ส่วนเกล็ดสีดำของอสรพิษนิลกาฬก็มีลวดลายลึกลับปรากฎขึ้นเช่นกัน
เฉินหยวนที่พึ่งเห็นวิญญาณยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียนมาไม่กี่วันก่อน กลับต้องประหลาดใจอีกครั้ง เมื่อพบว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงต่างไปจากก่อนหน้านี้
หลินหยงมีอากัปกิริยาประหลาดใจ เมื่อเห็นวิญญาณยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียน เขาย่างเท้าเข้าใกล้สองสามก้าว เพื่อสังเกตวิญญาณยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียนโดยละเอียด
บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดลงอย่างกะทันหัน
ชั่วพริบตา ดวงเนตรขนาดใหญ่ก็พลางปรากฏขึ้นเบื้องหลังหลินหยง ขณะเขาเดินพินิจมองวิญญาณยุทธ์ของเด็กน้อยเบื้องหน้า
ดวงเนตรนี้ คือวิญญาณยุทธ์หลินหยงที่เรียกว่า เนตรฮวงเทียน เป็นวิญญาณยุทธ์ที่สามารถมองเห็นทุกสิ่ง และล่วงรู้ทุกอย่าง
มันส่องแสงสว่างไสวคล้ายทิวา แผ่ปกคลุมวิญญาณยุทธ์เสวียนอู่ของหยางเสี่ยวเทียนในทันที
นั่นแสดงให้เห็นว่า เนตรฮวงเทียนของหลินหยงกำลังตรวจสอบวิญญาณยุทธ์ของเขา
ไม่นานหลังจากนั้น หลินหยงก็คืนวิญญาณยุทธ์เนตรฮวงเทียนกลับเข้าร่าง
“เจ้าสำนักหลิน เป็นอย่างไรบ้าง” เฉินหยวนรีบถามอย่างรวดเร็ว
เชิงอรรถ
*ควันเขียวผุดจากหลุมฝังศพบรรพบุรุษ เป็นสำนวนหมายถึงผู้มีความดีความชอบหรือเป็นขุนนางใหญ่ แต่ก็เป็นเรื่องให้ถูกว่าร้ายถากถาง (มีครหาไม่น่าเชื่อถือ)