บทที่ 39 ผูกวิญญาณ
“ฮูก!——”
“ฮูก!——”
“ยามจื่อ( 23.00-01.00 น.)แล้ว ทุกอย่างปกติ”
“แป๊ง! แป๊ง! แป๊ง——”
ในเวลาเที่ยงคืน กลางคืนจะเงียบสงบ
ชาวเมืองฉางทั้งหมดหลับใหลไปแล้ว
ทุกอย่างเงียบสงบ
กลางคืนเริ่มมืดลงเรื่อยๆ
ซึบ!
ซึบ! ซึบ!
ภายใต้ค่ำคืนอันเงียบสงบของข้างแรม ยังคงได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้คนจำนวนมากในเทศมณฑลฉาง เสียงฝีเท้านั้นเเป็นระเบียบรียบร้อยดังพร้อมเพรียงและกระแทกพื้นราวกับว่ามีกองทหารนับพันเดินทัพ
มีความเคลื่อนไหวมากมาย
ในเวลานี้ผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงยังคงหลับลึก
มีคนไม่มากที่ได้ยินทหารหยินเดินทัพ
แม้ว่าบางคนจะได้ยินเสียงเดินทัพของทหารหยินในขณะที่ครึ่งหนึ่งหลับอยู่ก็ตาม แต่พวกเขาก็คิดว่ามันเป็นแค่ความฝัน พลิกตัวกลับแล้วนอนต่อ ส่วนน้อยคนนักจะสังเกตเห็นสิ่งแปลกๆ
แม้ว่าบางคนสังเกตเห็นสิ่งแปลกๆ แต่ก็เป็นเวลาห้ามออก และพวกเขาก็ไม่กล้าออกไปตรวจสอบ เพราะกลัวว่าจะถูกยามจับตัวและประหารชีวิตทันที
เสียงทหารหยินเดินทัพค่อยๆ จางหายไป
หายไปในค่ำคืนอันมืดมิด
สู่ประตูในทิศทางตะวันออกของเทศมณฑลฉาง
ตะวันออกของเทศมณฑลฉาง
ณ บ้านของหลินลู่
โลงศพสีขาวในลานบ้านยังอยู่ที่นั่นอย่างปลอดภัย
ม้านั่งยาว ผงปูนขาว ผ้าผืนใหญ่คลุมบดบังพระจันทร์ ชามทองแดง เงินกระดาษ เทียนหอม และสิ่งของอื่นๆ ก็วางไว้ในสวนเช่นเคย
มีบุรุษตระกูลหลินเลือดร้อนหลายคนเฝ้าอยู่ที่ลานหน้าบ้าน พวกเขากำลังกินเนื้อสัตว์และดื่มเหล้าระหว่างเฝ้าระวัง
เฝ้าโลงศพสีขาวในลานบาน
นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าไม่ได้เฝ้าโลงศพในค่ำคืนนี้
ไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากที่ทำงานบนภูเขามานาน นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าอดอาหารและพักผ่อนไม่เพียงพอ เขาที่เพิ่งกลับมาที่เทศมณฑลฉางในวันนี้ จึงเข้านอนอย่างรวดเร็ว
ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็คือคนสูงอายุและความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาก็ไม่ดีเท่าของคนหนุ่มสาว
ดังนั้นหลังจากที่เขากลับมาจากภัตตาคารอาหารเต๋อชาน เขาก็กลับไปที่บ้านแล้วนอนหลับพักผ่อน หากมีการเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น เขาบอกให้คนจากตระกูลหลินมาเรียกเขาได้ทันที
นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าเหนื่อยมากจนเมื่อเขาเอนกายลงนอนก็หลับสนิททันที
ในห้องมีเสียงกรนและเสียงกัดฟันดังสนั่น เสียงดังจนแม้แต่คนในตระกูลหลินที่เฝ้าโลงศพในลานบ้านก็ยังได้ยิน
ทันใดนั้นดูเหมือนจะมีเสียงฝีเท้าอันเป็นระเบียบเรียบร้อยของกองทหารนับพันเดินทัพมาจากที่ไกลและใกล้ เมื่อเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เสียงฝีเท้าของผู้คนจำนวนมากก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
แม้แต่เสียงกรนและเสียงกัดฟันที่ดังกึกก้องของนักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าก็ไม่สามารถสู้กับเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินได้ และในที่สุดนักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าก็ตื่นขึ้นจากการหลับใหล
นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าไม่มีปฏิกิริยาอะไรในตอนแรก เขาคิดว่าใครกันที่มาทำเสียงดังอึกทึกข้างนอกนั่นและรบกวนเวลาฝันของผู้คน เขากำลังจะเปิดหน้าต่างเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผลก็คือเสียงฝีเท้านั้นก็เดินเข้ามาในบ้านของหลินลู่แฃ้ง
ในที่สุดนักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าก็เปลี่ยนสีหน้า เขาคิดว่านี่ต้องเป็นทหารหยินเดินทัพที่จะมาเอาวิญญาณเขา!
และขบวนแห่ราตรีแห่งผีนับร้อยก็เข้ามาที่ลานบ้านแล้ว เขาคิดว่าคนของตระกูลหลินที่เฝ้ายามตอนเวลากลางคืนคงเสร็จพวกทหารหยินเดนทัพแล้ว!
นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าจึงรีบปิดประตูและหน้าต่างทั้งหมด จากนั้นนำยันต์ขับไล่วิญญาณทั้งหมดที่เขามีติดตัวออกมาและฉาบไปทั่วประตู หน้าต่าง และผนัง
หลังจากทำสิ่งนี้เสร็จแล้ว นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋ารู้สึกว่ามันยังไม่เพียงพอ เขาจึงนำเลือดไก่ผสมกับชาดออกมาเพื่อปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย และเริ่มเขียน "ตราประทับทองซิ๋งซีจินกวนเฉวียน" บนผนังทั้งสี่ด้วยจังหวะอันพริ้วไหวดั่งโบยบิน
"ตราประทับทองซิ๋งซีจินกวนเฉวียน" มีชื่อของเทพเจ้าสายฟ้า กลยุทธ์ซิ๋งซี ยันต์การประดิษฐ์ตัวอักษร และอื่นๆ
นี่คือคาถานิกายลัทธิเต๋าที่มีชื่อเสียงเพื่อปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย
แต่ในสายตาคนธรรมดานั้น มันเปรียบเสมือนยันต์ปัดเป่าวิญญาณที่จารึกไว้บนสวรรค์
และเลือดไก่ไม่ใช่เลือดไก่ธรรมดา แต่เป็นเลือดของไก่ที่ถูกฆ่าในตอนเที่ยงแล้วดูดซับปราณหยางในเวลานั้น
นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าภูมิใจที่เขาประพฤติตัวอย่างระมัดระวังรอบคอบ และไม่ลืมที่จะพกพาของทำมาหากินนี้ติดตัวไปด้วยแม้ในขณะที่เขานอนหลับอยู่
ไม่เช่นนั้น เขาคงจะสับสนวุ่นวายและไม่ได้เตรียมพร้อมจนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องนั่งบนพื้นแล้วรอความตาย
นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋ากล่าวสาบาน
ความเร็วมือของเขาไม่เคยรวดเร็วขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
โชคดีที่เขาไม่เคยลืมวิชาของบรรพบุรุษที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น
โดยปกติแล้วเขามักจะพยายามค้นหา "บทของตราประทับทองซิ๋งซีจินกวนเฉวียน" ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเขา
มิฉะนั้น แม้ว่าความเร็วมือของเขาจะเร็วเพียงใด
แต่มันสายเกินไปที่ต้องคัดลอกตามตำราเมื่อเขาต้องลุกขึ้นมาในวินาทีสุดท้าย
นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าเขียนบนผนังหน้าต่างเสร็จ ก็เริ่มเขียนขอบประตูบนผนังแม้แต่หน้าต่างกระดาษและประตูไม้ก็ยังเต็มไปด้วยคาถา
จากนั้นเขาก็เขียนผนังอีกสองด้านที่เหลือด้วยคาถา
แม้ว่ามือของเขาจะเจ็บปวดจากการเขียนเพียงใด
เหน็ดเหนื่อยจนเหงื่อออกมากแค่ไหน
แต่นักพรตลัทธิเต๋าก็ไม่กล้าที่จะรอช้า เส้นประสาทของเขาถูกยืดออกจนสุด มือของเขาเจ็บจนเขาไม่สามารถเขียนมันได้ แต่มันก็ยังดีกว่าถูกทหารหยินพรากวิญญาณของเขาและสูญเสียชีวิตไป!
ภายใต้สถานการณ์ที่สิ้นหวัง ในที่สุดช่วงเวลาวิกฤตินี้ นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าก็ระเบิดศักยภาพที่ไม่เคยมีมาก่อนเขาวาดผนังทั้งหมดด้วยคาถาทองคำและผนึกจนเสร็จสิ้น
ทันใดนั้น นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าก็ทิ้งพู่กันและชาดในมือของเขา แล้วถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เพราะในที่สุดเขาก็ทำมันสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม!
ความสุขของนักพรตเฒ่าลัทธิเต๋านั้นก็อยู่ได้ไม่นาน ดูเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงอุทานว่า "ชะอุ๊ย!"
นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าเงยหน้าขึ้นมองดูหลังคาที่สูงกว่าพื้นดินแปดหรือเก้าจั้ง ใบหน้าของเขากลายเป็นหินอยู่ครู่หนึ่ง เขาคำนวณไว้ซะดิบดี แต่ไม่สามารถดึงหลังคาลงได้
ในขณะนั้น นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋ารู้สึกว่าวิญญาณของเขาเหมือนถูกอะไรบางอย่างพันธนาการไว้ เขาราวกับตกลงไปในธารแข็งที่รายล้อมไปด้วยสายลมอันมืดมนและแล้วเขาถูกควบคุมตัวอย่างแผ่วเบาราวกับไม่มีอะไร
ในขณะที่วิญญาณของนักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าถูกพรากไป ภาพตรงหน้าเขาก็เปลี่ยนไปผนังทั้งสี่ด้านของบ้านไม่ได้ถูกปกคลุมไปด้วยเครื่องรางขับไล่วิญญาณ มีเพียงร่างกายของเขาที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงในห้องเท่านั้น
การต่อสู้ครั้งก่อนหน้านี้ทั้งหมด
คาถาการวาดทั้งหมด
ทั้งหมดมันเป็นความฝันของเขา
ช่วงเวลาที่วิญญาณของเขาถูกทหารหยินพรากไป นั่นคือตอนที่ความฝันของเขาพังทลายลง
ก่อนที่นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าจะมีเวลาโศกเศร้า วิญญาณของเขาได้ "ผ่านทะลุ" กำแพงหนาทึบไปแล้วและยืนอยู่ในลานบ้านที่มีลมแรง
คนจากตระกูลหลินที่รับผิดชอบเฝ้ายามตอนกลางคืนในลานบ้านก็ยังคงกินเนื้อสัตว์และดื่มสุราตามปกติ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้ยินเสียงดังของทหารหยินเดินทัพ
นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าอยากจะวิ่งไปตะโกนขอความช่วยเหลือ เพราะสิ่งที่คนจากตระกูลหลินเหล่านั้นดื่มนั้นไม่ใช่เหล้าเฟินจิ่วหรือเหล้าเชาจิ่วธรรมดา แต่เป็นเหล้าซันหยางที่นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าทิ้งไว้ให้พวกเขาโดยเฉพาะ
คนจากตระกูลเหล่านั้นก็เป็นเหมือนเตาไฟที่ลุกโชนในสายตาของเขา และแล้วจิตวิญญาณของเขาก็รู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง
“อย่างที่คาดไว้ คนที่จมน้ำย่อมเป็นคนที่ว่ายน้ำเป็น!”
เมื่อมองดูสถานการณ์ตรงหน้าเขา คำสี่คำ "สาวไหมพันตนเอง" น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์นี้ที่สุด นักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าที่กำลังรู้สึกโศกเศร้า จู่ๆ ก็ตระหนักถึงคติพนจ์ประจำชีวิตอีกประการหนึ่งนี้ได้
(สาวไหมพันตนเอง เปรียบเทียบได้กับ แกว่งเท้าหาเสี้ยน)
ในเวลานี้ จิตวิญญาณของเขาถูกผูกไว้ และไม่มีร่างกายเพื่อปกป้องจิตวิญญาณที่เปราะบางของเขา เขาก็แค่ไหลไปตามกระแสน้ำในโลกนี้เท่านั้น!
ทหารหยินนำวิญญาณของนักพรตเฒ่าลัทธิเต๋าออกไปตามท้องถนน และเดินต่อไปๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ และหายลับไปในค่ำคืนอันมืดมิด
…
ณ โรงเตี๊ยม
ค่ำคืนอันเงียบสงบ ผู้คนจำนวนมากหลับใหล แม้แต่เทียนก็ยังดับ แม้กระทั้งโรงเตี๊ยมก็ตกอยู่ในความมืด
น้องชาย
จินอันเพิ่งผล็อยหลับไปได้ไม่นานมานี้
หลังจากที่เขากลับถึงโรงเตี๊ยม เขาไม่ได้หลับไปในทันที แต่เขากลับฝึกฝนศิลปะยุทธอย่างขยันขันแข็งก่อนที่จะเข้านอนไปในกลางดึก
เมื่อจินอันรู้สึกว่าเขาเพิ่งผล็อยหลับไป ทันใดนั้น!
ซึบ! ซึบ——
เขาได้ยินเสียงกองทหารเดินทัพในกลางดึก
เสียงฝีเท้าดังมาจากที่ไกลและเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว มันเดินตรงไปตามท้องถนน ผ่านอาคาร และโรงเตี๊ยมเล็กๆ และในที่สุดเสียงฝีเท้าจำนวนมากก็ดังขึ้นใกล้กับบ้านที่อยู่ด้านนอกประตูของเขา
ทหารหยินเดินทัพมาเยือนหน้าบ้านเขา!
หลังจากที่จินอันมีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก็กลิ้งตัวลงจากเตียงแล้วลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจจนตัวสั่นเทา เขาจ้องไปที่ประตูอันมืดมิดด้านนอกอย่างประหม่าในตอนกลางคืน!
(จบบทนี้)