บทที่ 44 ปีศาจเฒ่าเฟิง
ซึ่งไม่ได้มีแค่นางผู้เดียว องค์หญิงสี่เฉิงเป้ยเป้ยตรงนั้นก็พลอยหลุดหัวเราะเยาะกับวาจาโอ้อวดของหยางเสี่ยวเทียน ที่บอกว่าเขาจะผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงโอสถเช่นกัน
“ฮ่าๆๆ มีแค่วิญญาณยุทธ์ระดับสอง ยังอยากทดสอบเพื่อเป็นนักปรุงโอสถอีกงั้นหรือ ช่างกล้าเพ้อฝันยิ่งใหญ่เหลือเกินนะ ฮ่าๆๆ”
“หยางเสี่ยวเทียน ถ้าอย่างเจ้าสามารถเป็นนักปรุงโอสถได้ เช่นนั้นทุกคนในโลกนี้ก็เป็นได้เช่นกัน” หยางจงแสยะยิ้มเย้ย
สีหน้าหยางเฉาและหวงอิ๋งดูเจื่อนๆ กระดากใจต่อวาจาใหญ่โตของลูกชายที่เกินจริงเช่นกัน
แต่เมื่อได้เวลาจากกันจริงๆ หยางเฉากับหวงอิ๋งผู้หวังดีต่อลูกชายกว่าใคร กล่าวอวยพรส่งหยางเสี่ยวเทียนโชคดีพลางรักษาตัวเองให้มากครั้นต้องไปเผชิญแวดวงภายนอก
ภายใต้การจ้องมองอันห่วงใยของหยางเฉาและคนอื่นๆ ที่สุด หยางเสี่ยวเทียนพร้อมขบวนองครักษ์ก็ค่อยๆ ไกลลับตาจากพวกเขาทั้งสามไป
และสิ่งที่หยางเฉากับหวงอิ๋งไม่รู้คือ ในไม่ช้าชื่อของลูกชายตน หยางเสี่ยวเทียนผู้นี้จะถูกกล่าวขานเลื่องลือไปทั่วอาณาจักรเสินไห่
ระหว่างทาง เฉิงเป้ยเป้ยก็นึกถึงวาจาของหยางเสี่ยวเทียน ที่เขาบอกจะผ่านการทดสอบเพื่อเป็นนักปรุงโอสถ นั่นทำให้นางรู้สึกสงสัยมาสักพักใหญ่ ก่อนตัดสินใจถามเขาทันที
“หยางเสี่ยวเทียน เจ้าคิดว่าตัวเองสามารถผ่านการทดสอบของสมาคมนักปรุงโอสถได้จริงหรือ”
“เจ้าเคยสัมผัสถึงไฟแห่งสวรรค์และโลกหรือไม่” จากนั้นนางก็ยิ้มเยาะเช่นเคย แล้วเอื้อนเอ่ยต่อเมื่อเห็นเขาไม่โต้ตอบใดๆ
“ข้าเกรงว่าในชีวิตนี้ของเจ้า จะไม่มีโอกาสได้เห็นไฟแห่งสวรรค์และโลกเลยด้วยซ้ำ!”
ความจริงคือผู้คนส่วนใหญ่ ไม่เคยมีโอกาสหรือบังเอิญได้เห็นโอสถที่อยู่ในระหว่างการหลอมของนักปรุงโอสถสักคน จึงมิแปลกที่พวกคนเหล่านั้น จะไม่มีใครได้สัมผัสแลประจักษ์ต่อสายตาสักครั้ง ว่าไฟแห่งสวรรค์และโลกเป็นเช่นไร
พอได้ยินเฉิงเป้ยเป้ยถามถึงไฟแห่งสวรรค์และโลก หยางเสี่ยวเทียนก็พลันนึกถึงครั้งแรกที่เขาสัมผัสพวกมันได้ในระยะสามร้อยฉื่อ ก่อนแสร้งตอบไป
“ข้าสามารถสัมผัสถึงไฟแห่งสวรรค์และโลกรอบตัวได้ ในระยะร้อยห้าสิบฉื่อ”
เฉิงเป้ยเป้ย หยางจง พร้อมคนอื่นๆ ต่างระเบิดเสียงหัวเราะจนตัวงอครั้นได้ฟังอย่างนั้น พวกเขาไม่คิดว่าคนเยี่ยงเขาจะยังมีหน้ากล่าววาจาโอ้อวดได้เช่นนี้ ทั้งที่ตนมีเพียงวิญญาณยุทธ์ระดับสอง
แม้แต่เฉินหยวนเองก็ส่ายหัวเวทนาต่อเขาไม่ต่างจากคนอื่น
“ร้อยห้าสิบฉื่อ ทำไมเจ้าไม่บอก ว่าเจ้าสามารถสัมผัสไฟแห่งสวรรค์และโลกได้ในระยะสามร้อยฉื่อไปเลยล่ะ” เหลียวเฉิงเฟย องครักษ์ของเฉิงเป้ยเป้ยกล่าวเย้ยจวนกลั้นหัวเราะแทบไม่ไหว
ก่อนที่ทุกคนจะหลุดอ้าปาก หัวเราะออกมาเสียงดังอีกครั้ง
เฉิงเป้ยเป้ยหยุดขบขันชอบใจก่อนเอ่ยน้ำเสียงดูแคลนต่อ “หยางเสี่ยวเทียน เจ้าคงไม่รู้ว่าร้อยห้าสิบฉื่อคืออะไรใช่หรือไม่ แม้แต่เหล่านักปรุงโอสถผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่แห่งอาณาจักรเสินไห่ ยังสามารถสัมผัสถึงไฟแห่งสวรรค์และโลกได้มากสุดเพียงร้อยห้าสิบฉื่อเท่านั้น”
“อาจารย์ ข้ากล่าวถูกหรือไม่” นางหันถามเฉินหยวนเพื่อเน้นย้ำสิ่งที่ตนพูด
เฉินหยวนพยักหน้าขณะยิ้มลำพอง “ถูกต้อง ด้วยความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของนักปรุงโอสถผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่แห่งอาณาจักรเสินไห่ มีเพียงพวกเขา ที่สามารถสัมผัสถึงไฟแห่งสวรรค์และโลกได้ มากสุดร้อยห้าสิบฉื่อ”
จากนั้นหันมองยังหยางเสี่ยวเทียนในสายตาปรามาส “ส่วนเด็กอายุน้อยเช่นเจ้า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถสัมผัสถึงไฟแห่งสวรรค์และโลกได้ ภายในร้อยห้าสิบฉื่อ”
ด้วยประการฉะนี้ วาจาของหยางเสี่ยวเทียน จึงเป็นเพียงเรื่องโกหกเหลวไหลอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ท่าทีแลคำพูดพวกเขาจะสบประมาทตนเช่นไร แต่หยางเสี่ยวเทียนกลับยังคงสีหน้านิ่งเฉย ไม่คิดโต้แย้งหรืออธิบายสิ่งใด ราวกับการกระทำพวกนั้นเป็นเพียงอากาศธาตุ
ไม่นาน พวกเขาก็หันมาสนใจถึงข่าวคราวการตายของชิวไห่ชิว
“ข้าไม่รู้ว่าใครสังหารชิวไห่ชิว” เฉิงเป้ยเป้ยเผยปากขึ้นพลางเอ่ยต่อ
“ตอนนี้ สมาคมนักปรุงโอสถแห่งอาณาจักรเสินไห่ ได้ส่งคนไปยังเมืองซิงเยว่เพื่อไต่สวนเรื่องนี้อย่างละเอียด”
เฉินหยวนส่ายหัวอย่างมืดมนจนหนทาง “ข้าก็ไม่รู้ว่าคนที่สังหารเขานั้นแค่เบิงเอิญหรือโง่เขลากันแน่ ปีศาจเฒ่าเฟิงมีศิษย์เพียงคนเดียวคือชิวไห่ชิว แต่ตอนนี้ชิวไห่ชิวถูกสังหารไปแล้ว เขาจะมิแทบเป็นบ้าเลยหรือ”
“ข้าเกรงว่าเจ้าปีศาจเฒ่าเฟิง คงได้โค่นทั้งอาณาจักรเสินไห่ตามล่าหามือสังหารผู้นั้นเป็นแน่”
“ปีศาจเฒ่าเฟิงคือใครงั้นหรือ” หยางเสี่ยวเทียนถามอย่างสงสัย
เฉิงเป้ยเป้ยเหลือบมองยังคนถามพลางถอนหายใจ “ปีศาจเฒ่าเฟิงคืออาจารย์ของชิวไห่ชิว และเป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่แห่งอาณาจักรเสินไห่ของเรา ถึงข้าจะบอกเจ้าไป เจ้าคงไม่รู้จักหรอก”
ไม่น่าแปลกใจที่เขาเอาแต่เพ้อถึงอาจารย์ขณะใกล้ตาย
ถึงปีศาจเฒ่าเฟิงจะเป็นอาจารย์ของผู้ใด หยางเสี่ยวเทียนยังไม่ให้ความสนใจต่อนามนี้มากนัก
เพราะแม้เจ้าปีศาจเฒ่าเฟิงจะโค่นล้มทั้งอาณาจักรเสินไห่ คงไม่มีใครสงสัยเขาผู้มีเพียงวิญญาณยุทธ์ขยะว่าเป็นมือสังหารได้
……
หลังใช้เวลาเดินทางนานกว่าสองวัน ที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองเสินเจี้ยน
“เมืองเสินเจี้ยน”
หยางเสี่ยวเทียนพึมพำขณะมองไปยังกำแพงสูงของเมืองเสินเจี้ยนเบื้องหน้า
ยิ่งเข้าใกล้ตัวเมืองมากเท่าไร เขายิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายจากปราณกระบี่ที่มองไม่เห็นแผ่ซ่านอยู่ทั่วเมืองเสินเจี้ยน ทำเขาเริ่มรู้สึกตื่นเต้นสนใจอย่างอธิบายไม่ถูก
เมืองเสินเจี้ยน เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่และเจริญรุ่งเรืองที่สุดในอาณาจักรเสินไห่
อีกทั้งมันยังเป็นเมืองที่เหล่าวิญญาจารย์ทุกคนในอาณาจักรเสินไห่โหยหา
ก่อนหน้านี้ บิดาของเขาก็เคยทำงานที่เมืองเสินเจี้ยนแห่งนี้อยู่พักหนึ่ง
“เข้าเมืองเถอะ” เฉินหยวนโบกมือเรียกทุกคน
เมื่อผู้พิทักษ์ประตูเมืองเสินเจี้ยนเห็นเฉินหยวน เฉิงเป้ยเป้ยและขบวนองครักษ์ของนาง พวกเขาก็ต่างแสดงท่าทีนับถือพร้อมก้มโค้งให้เกียรติอย่างทันควัน
ในเมืองแห่งนี้ มันคึกคักมากกว่าที่หยางเสี่ยวเทียนเคยจินตนาการไว้มาก
ขบวนพาหนะสัญจรไปมา พร้อมกับเหล่าวิญญาจารย์ทุกเผ่าพันรวมทั้งศิษย์จากนิกายอื่นๆ ต่างหลั่งไหลเข้าออกกันอย่างไม่สิ้นสุด
ก่อนที่หยางเสี่ยวเทียนจะตาโตอย่างตื่นเต้นอีกครั้ง หลังหันไปเห็นคนแคระ
ด้วยฝีมืออันเก่งกาจ คนแคระเหล่านี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักหลอมอาวุธชั้นดี ครึ่งหนึ่งของนักหลอมอาวุธสิบอันดับแรกในโลกแห่งวิญญาจารย์ก็มาจากคนแคระเหล่านี้ทั้งนั้น
นอกจากคนแคระแล้ว ยังมีบรรดามนุษย์ครึ่งอสูรที่เรียกขานกันว่าออร์ค อีกทั้งภูติวิญญาณหรือเอลฟ์ และเผ่าพันธุ์อื่นๆ อีกมากมาย
หลังจากผ่านถนนที่มีผู้คนพลุกพล่านมากมาย ในที่สุด ทุกคนก็มาถึงสำนักเสินเจี้ยน