บทที่ 43 เดินทางสู่เมืองเสินเจี้ยน
ในเวลานี้ หยางเสี่ยวเทียนเริ่มค้นสัมภาระของชิวไห่ชิวรวมทั้งคนอื่นๆ เผื่อมีสิ่งของจำเป็นต่อการนำมาใช้ฝึกฝนตนเอง
แล้วก็เป็นไปตามที่เขาคาด เขาพบคัมภีร์เกี่ยวกับการหลอมโอสถจากร่างไร้วิญญาณของชิวไห่ชิวอันน่าจะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า
พร้อมทั้งคัมภีร์กระบี่หลิงเสอแลคัมภีร์การหลอมอาวุธขั้นต้น ในร่างหลี่กวงกับหลินเฉิงซิน
เมื่อไม่พบสิ่งใดเพิ่มเติม หยางเสี่ยวเทียนก็นำร่างของทั้งสามทิ้งไว้ข้างถนน ก่อนทางขึ้นไปบนหุบเขา แล้วทำความสะอาดพื้นที่สังหารคนทั้งสามหมดจด
ก่อนจากนั้น อุ้มเจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทองกลับไปยังถ้ำในหุบเขา เพื่อรักษาทำบาดแผลที่มันถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ
มีสมุนไพรที่ใช้รักษาบาดแผลมากมายแลหาได้ง่ายในหุบเขา หยางเสี่ยวเทียนเก็บมาเพียงบางส่วน แล้วบดใช้ทารอยแผลของเจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทอง
แต่เขากลับต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทองมีความสามารถในการฟื้นตัวได้สูงมาก หลังผ่านไปเพียงสองถึงสามชั่วยาม ร่องรอยบาดแผลที่เดิมปริกว้างก็เริ่มสมานจนสนิทอย่างรวดเร็ว ไม่ทิ้งแผลเป็นให้เห็นราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น
พอแน่ใจว่ามันเริ่มอาการดีขึ้น หยางเสี่ยวเทียนก็ปล่อยให้มันพักแล้วเข้าไปเก็บคัมภีร์พร้อมสมุนไพรทั้งหมดจากถ้ำในหุบเขา
ครั้งนี้ เขาต้องเดินทางไปเมืองเสินเจี้ยน และไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใดกว่าจะได้กลับมา ดังนั้น หากทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้ที่นี่ มันคงไม่มีคุณประโยชน์แก่ใคร
จึงคิดว่าควรนำพวกมันทั้งหมดติดตัวไปด้วยจะเกิดประโยชน์ต่อตัวเขาในอานาคตมากกว่าอยู่ในที่รกร้างแห่งนี้
รวมทั้งเตียงหยกเย็น ที่เขาก็เก็บมันลงในแหวนเตาหลอมเช่นกัน
เพราะการบ่มเพาะบนเตียงหยกเย็นจะช่วยเพิ่มโอกาศในการทะลวง เมื่อถึงเวลานั้นความแข็งแกร่งของเขาก็จะก้าวหน้าได้เร็วขึ้น
เมื่อได้เวลาต้องจาก หยางเสี่ยวเทียนนั่งคุกเข่ายื่นมือลูบหัวสหายเพื่อบอกลามันก่อนจะยืนขึ้นก้าวไป แต่เจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทองกลับวิ่งเข้ากัดขากางเกงเขาดึงดันไม่ยอมปล่อย
“เจ้าอยากไปกับข้างั้นหรือ” หยางเสี่ยวเทียนเผยยิ้มรื่น เข้าใจว่ามันใคร่สื่อถึงอะไร
เจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทองพยักหน้ารับอย่างรีบเร่ง
“แต่เจ้าตัวใหญ่เกินไป มันไม่สะดวกที่จะติดตามข้า” เขาคิดลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวบอกเหตุผลกับมันไป
การจะเดินทางไปที่สำนักเสินเจี้ยน มันคงไม่สะดวกหากพาสัตว์วิญญาณที่ตัวใหญ่เทอะทะติดตัวไปด้วย อีกอย่างมันจะเป็นจุดสังเกตทำเขาถูกจับตาได้ง่าย
แต่ทันใดนั้น ร่างกายเจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทองก็พลันเปล่งลำแสงแทรกทะลุผ่านเกล็ดหนาของมันระยิบระยับ ก่อนจากนั้น ตัวมันจะหดเล็กลงเรื่อยๆ จนที่สุด ก็มีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ ราวกับมันเข้าใจที่เขาบอก
หยางเสี่ยวเทียนประหลาดใจชั่ววินาทีที่เห็นอย่างนั้น ตั้งแต่มีมันคอยอยู่เป็นเพื่อน เขาก็ไม่เคยเห็นหรือรู้มาก่อน ว่าเจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทองสามารถเปลี่ยนขนาดตัวของมันได้
เจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทองมีความสามารถเช่นนี้ด้วยหรือ
หรือจะเป็นอย่างที่ชิวไห่ชิวพูดไว้ตอนนั้น เจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทองตัวนี้มีความเป็นไปได้ที่มันจะตกทอดเชื้อสายจากสัตว์วิญญาณบรรพกาลของมัน แล้วดูท่าใกล้เคียงอยู่ไม่น้อย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาคงต้องพามันไปด้วยอย่างปฏิเสธไม่ได้
หยางเสี่ยวเทียนหันกลับไปมองยังหุบเขาเบื้องหลัง แล้วหันกลับมาก้าวเดินต่อไปข้างหน้าพร้อมกับเจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทองเกาะบนไหล่
ท้องฟ้ายังคงมืด ครั้นพวกเขากลับเข้าในเมืองซิงเยว่
ทว่าตอนนี้ ทั่วทั้งมืองซิงเยว่กลับตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย บรรดาผู้พิทักษ์จวนเจ้าเมืองต่างออกเดินเพ่นพ่านเที่ยวตรวจตราทั่วอาณาบริเวณ
ดูท่าการตายของชิวไห่ชิวและสองคนนั้น จะสร้างความตื่นตระหนกต่อเจ้าเมืองซิงเยว่ได้ลำบากแลเป็นทุกข์กับการตามล่าหาตัวผู้ลงมืออยู่ไม่น้อย
ซึ่งท่าทีของหยางเสี่ยวเทียนยังคงเช่นเดิมมิเปลี่ยน เขาเดินมุ่งหน้ากลับเรือนพร้อมสหายบนไหล่ต่อไปอย่างใจเย็น ทิ้งความยุ่งเหยิงนั้นปล่อยให้ผู้คนในเมืองซิงเยว่จัดการกันไป
ถึงเรือน เขาก็กลับมานั่งหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการเม็ดที่สองต่อข้างเตียง ขณะที่เจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทองได้ยึดเอาเตียงไม้เขา แล้วผลอยหลับไปเรียบร้อย
เนื่องด้วยสมุนไพรอันได้จากสมาคมการค้าเฟิงยวินยังพอมีให้หลอมอยู่ เขาจึงใช้เวลาที่เหลือก่อนออกเดินทางหลอมมัน
จากประสบการณ์ในการหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการครั้งแรก หยางเสี่ยวเทียนมีความเชี่ยวชาญมากขึ้นในครั้งนี้ ยิ่งพอหลังจากที่เขาทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ระดับสามสำเร็จ ปราณแท้ของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นการหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการในครานี้จึงง่ายกว่าครั้งก่อนมาก
เพียงหนึ่งชั่วยาม การหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการก็สำเร็จ
จนฟ้าเริ่มสาง สว่างสดใสเปลี่ยนวันใหม่ไปโดยสมบูรณ์
เขาหยุดหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการ ตระเตรียมข้าวของพร้อมคัมภีร์การหลอมโอสถลงในแหวนเตาหลอมบนมือ
ครึ่งชั่วยามต่อมา ได้เวลาที่เฉินหยวนต้องออกเดินทางกลับยังสำนักเสินเจี้ยน
ซึ่งไม่ลืมหยุดรับหยางเสี่ยวเทียนชั่วคราว ขณะกำลังผ่านเข้าเมืองซิงเยว่
ครั้นต้องแยกจากกัน ดวงตากลมโตของเด็กน้อยหยางหลิงเอ๋อร์ก็พลันแดงก่ำ เพราะร่ำไห้สะอึกสะอื้นไม่เหลือเค้าของเด็กซนด้วยใจผูกพันแลห่วงหาพี่ใหญ่ผู้ต้องห่างไปไกล
“พี่ใหญ่ ท่านกลับมาเมื่อใด ต้องซื้อขนมอร่อยๆ กลับมาฝากข้านะ” หยางหลิงเอ๋อร์กล่าวขณะตัวสั่นสะอึก พร้อมเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มกลมป่องของนาง
ทำหยางเสี่ยวเทียนถึงกับประหลาดใจกล่าวอะไรไม่ออก พลอยเป็นห่วงแลรู้สึกสะเทือนอารมณ์ตาม ด้วยนี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองต้องแยกจากกันไปไกลและนานกว่าทุกครา
เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้นี่…
เขาฝืนยิ้มกว้างอย่างขมขื่นก่อนเผยปากเอ่ยกับนางน้ำเสียงอ่อนโยน “แน่นอน ข้าต้องผ่านการทดสอบเพื่อเป็นนักปรุงโอสถให้ได้ ถึงตอนนั้นข้าจะร่ำรวยมีเงินกลับมาซื้อขนมอร่อยๆ มาฝากเจ้า”
เพราะที่เมืองเสินเจี้ยนมีสมาคมนักปรุงโอสถ ซึ่งเขาสามารถขอเข้าร่วมทดสอบเป็นนักปรุงโอสถได้
แต่ครั้นได้ยินสิ่งนี้ หยางหลิงเอ๋อร์ผู้กำลังร้องไห้น้ำตาไหล ก็พลันหัวเราะคิกคักออกมาพลางคิดว่าพี่ชายพูดเย้าให้นางสบายใจแลคลายกังวล