บทที่ 27 ชั่วย่อมได้รับผลกรรมชั่ว
หลินซู่ซู่ได้ยินแบบนั้นก็แทบระเบิดด้วยความโกรธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลินชิงอิ่นพูดประโยคนี้แล้วแหงนหน้าขึ้นมาเล็กน้อย ยิ่งเผยให้เห็นรูปหน้าที่งดงามราวกับแกะสลักอย่างประณีต ประกอบกับสีหน้าที่ไม่แยแสนั้น งดงามจนคนมองแล้วละสายตาไม่ได้
ก่อนหยุดเรียน หลินชิงอิ่นยังไม่สวยขนาดนี้เลย เธอไปทำศัลยกรรมมางั้นเหรอในช่วงปิดเทอม?
ความอิจฉาของหลินซู่ซู่เกือบจะทำให้เธอเป็นบ้า ทำไมหลินชิงอิ่นถึงได้ดึงดูดความสนใจของชูจุ้นอี้ได้? ในเมื่อตัวเธอเองต่างหากที่เหมาะสมกับชูจุ้นอี้มากกว่า!
ถึงแม้ชูจุ้นอี้จะกลายเป็นคนแก่ แต่ก็มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์เป็นหลานสะใภ้ของเขา คนอื่นอย่าแม้แต่จะคิด!
หลินชิงอิ่นมองสีหน้าเกรี้ยวกราดของหลินซู่ซู่ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วเปิดโหมดถ่ายวิดีโอ หันเลนส์มาทางหลินซู่ซู่
การกระทำนี้ยิ่งทำให้หลินซู่ซู่โกรธจนหน้ามืด เธอสบถคำหยาบคายออกมาแล้วยกมือขึ้น ตั้งใจจะตบหน้าหลินชิงอิ่น แต่เธอเพิ่งจะก้าวเดินไปได้ก้าวเดียวก็เหยียบโดนเปลือกกล้วยพอดี ทำให้สมดุลของร่างกายเสียหลบ เซถอยหลังไปสองก้าว
สี่ลูกสมุนที่ตามมาเห็นท่าไม่ดี รีบยื่นมือออกไปพยุงหลินซู่ซู่กันใหญ่ พอคนเยอะก็เลยเกิดความวุ่นวาย ไม่รู้ใครไปสะดุดเท้าใคร ทั้งห้าคนเซล้มไปชนกำแพงเก่าๆ สร้างความเสียหายเป็นรูโหว่ใหญ่ จากนั้นกำแพงทั้งแถบก็พังถล่มลงมา ซากอิฐปูนกองทับร่างทั้งห้าคนเอาไว้
หลินชิงอิ่นเซฟคลิปเรียบร้อยแล้วเดินไปยืนข้างกองอิฐ ทำเสียง "ชิชิ" สองที
"ลืมบอกพวกเธอไปเมื่อกี้ พอดูจากลักษณะหน้าตาแล้ว วันนี้พวกเธอทั้งห้าคนมีเคราะห์ร้าย ควรอยู่ห่างจากกำแพงไปหน่อย แต่ตอนนี้พูดไปก็คงไม่สายเกินไป!"
หลินซู่ซู่โกรธจนคอหวานศีรษะมึนงง สลบไปในทันใด
หลินชิงอิ่นเปิดวีแชทส่งคลิปที่ถ่ายไปยังกลุ่มของห้อง พร้อมกับแท็ก @หยูเฉิงเจ๋อ อาจารย์ประจำชั้น
"คุณครูคะ มีเพื่อนห้านายทำกำแพงพังแล้วนะ หนูควรจะโทร 110 หรือ 120 ดีคะ?"
หยูเฉิงเจ๋อ เพิ่งพาเด็กนักเรียนชายที่ติดอยู่ใต้ราวกั้นออกมา กำลังติดต่อให้ผู้ปกครองไปจัดการเรื่องอุบัติเหตุที่กองจราจร พอได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากวีแชทส่งมาเป็นระลอก เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วเห็นภาพเหตุการณ์ในกลุ่ม ตาเขาก็พรายไปด้วยแสงวูบวาบ
"อาจารย์ใหญ่ครับ เกิดเรื่องอีกแล้ว! มีนักเรียนห้าคนถูกกำแพงที่พังทับจนสลบไปเลย!"
หวังชิงเฟิง อาจารย์ใหญ่ที่กำลังใช้มือหวีผม มือสั่นเทิ้มจนผมหลุดออกมาหนึ่งกำใหญ่ เขาเสียใจจนน้ำตาไหล ทว่าคนอื่นไม่รู้หรอกว่าที่เขาร้องไห้นั้นเพราะนักเรียนหรือเพราะผมบนหัวกันแน่
พิจารณาจากพิกัดที่หลินชิงอิ่นส่งมา อาจารย์ใหญ่พาคณะครูรีบวิ่งไปยังตรอกเล็กแห่งนั้นอีกครั้ง เขามองตึกเก่าๆ เตี้ยๆ รอการรื้อถอนสองข้างทาง และสายไฟที่พันกันยุ่งเหยิง หวังชิงเฟิง โกรธจนตับปวดแปลบ
"กลับบ้านตามปกติไม่ได้เหรอ? ต้องมาที่ๆ ไม่มีคนแบบนี้ทำอะไรกัน?"
หลินชิงอิ่นถือโทรศัพท์ถ่ายภาพห้าสาวคนละหลายช็อตแบบเน้นๆ ที่เบาที่สุดก็ขั้นหน้าเขียวตาเขียว ส่วนหลินซู่ซู่ดูจะเจ็บหนักที่สุด นอกจากหน้าผากแตกเป็นแผลเปิดแล้ว เศษอิฐที่กระเด็นยังฟาดเปิดแผลที่เปลือกตาบนอีกแผลใหญ่ ถึงจะไม่ถึงขั้นเสียชีวิต แต่ร่างกายพิการแน่นอน
ซ้ำตำแหน่งเปลือกตาบนพอดีกับตำแหน่งลูกหลาน ในศาสตร์โหงวเฮ้ง ตอนนี้รอยแผลเป็นยาวพาดผ่านตำแหน่งนี้เกือบทั้งหมด ทำให้หน้าตาของหลินซู่ซู่มีแต่ลางร้าย ไม่มีความเป็นมงคล บ่งบอกชะตากรรมยากจนข้นแค้น ชั่วชีวิตไร้โชคลา�
รถพยาบาลนำตัวหลินซู่ซู่ทั้งห้าไปส่งที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการรื้อย้ายบ้านเรือนในบริเวณนั้น รีบเรียกทีมคนงานมากั้นแผงไม้ปิดกั้นพื้นที่เอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนได้รับบาดเจ็บจากซากกำแพงพังอีก
ผู้ปกครองของทั้งห้าคนก็มาถึงโรงพยาบาลแล้ว ตอนแรกพวกเขายังคิดว่าลูกหลานได้รับบาดเจ็บที่โรงเรียน ทุกคนต่างโจมตีสอบถามอาจารย์ใหญ่กับคุณครูอย่างกร้าวแกร่ง
พ่อแม่ของหลินซู่ซู่มีอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่แล้วเพราะกิจการที่บ้านไม่ราบรื่น พอเห็นลูกสาวผู้สวยงามต้องมารับบาดเจ็บพิการโฉมหน้า ความโกรธแค้นเต็มอัดอยู่ในอก พากันตะโกนจะย้ายโรงเรียนให้ลูก ขู่ให้โรงเรียนชดใช้ค่าเสียหาย สุดท้ายยังอาละวาดถึงขั้นแจ้งความ
หวังชิงเฟิง ตอนแรกคิดว่าเรื่องของโรงเรียน เขาจะค่อยๆ แก้ไขเองเงียบๆ แต่พ่อแม่ของหลินซู่ซู่ไม่มีเหตุผลเกินไป เขาจำต้องหยิบคลิปที่หลินชิงอิ่นถ่ายไว้ออกมา
ในคลิป หลินซู่ซู่ทำหน้าเหยเก พูดจาหยาบคาย แล้วก้าวเท้าเหยียบเปลือกกล้วย ควักขาพยายามทรงตัวอยู่สองก้าว ก่อนจะหงายหลังไปชนกำแพงแรงๆ
ส่วนอีกสี่คนที่บาดเจ็บนั้นล้วนเป็นเพราะพยายามจะพยุงหลินซู่ซู่ไว้ ถ้าจะว่าไป เรื่องนี้หลินซู่ซู่เองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเหมือนกัน
หลักฐานจากคลิปชัดเจนไม่มีข้อกังขา เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางโรงเรียนเลยสักนิด หลินซู่ซู่เป็นต้นเหตุปัญหาทั้งหมดด้วยฝีมือตนเอง
ส่วนผู้ปกครองของสี่สาวอีกกลุ่มก็ไม่พอใจ พากันมารุมพ่อแม่ของหลินซู่ซู่ เรียกร้องให้จ่ายค่ารักษาพยาบาลแทน
หวังชิงเฟิง จับอกตัวเองด้วยความเหนื่อยหน่าย รู้สึกว่าจะต้องไปหาอาจารย์ใหญ่มาดูฮวงจุ้ยซะแล้ว ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับโรงเรียนช่วงนี้
ในฐานะเมืองเล็กทางตอเหนือ ศาสตร์ฮวงจุ้ยไม่ค่อยเป็นที่นิยมสักเท่าไหร่ในที่นี่ ส่วนมากก็มีแต่พ่อค้ามักจะถือเคล็ดอยู่บ้าง ส่วนชาวบ้านทั่วไปแทบไม่ได้เข้าถึงเรื่องพวกนี้
ตอนที่ หวังชิงเฟิง สร้างโรงเรียนแห่งนี้ เขาตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าอยากจะหาอาจารย์ฮวงจุ้ยมาช่วยดูทิศทางนิดหน่อย แต่ภายหลังมีคนมาบอกว่าโรงเรียนเป็นสถานที่เรียนรู้และบ่มเพาะ ถ้าเอาเรื่องพวกนี้ไปพัวพันจะไม่ดี หวังชิงเฟิง เลยลอยแพความคิดนั้นไป
แต่ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจสุดๆ ที่ตัดสินใจแบบนั้นตอนก่อน ต้องเป็นเพราะว่าตอนสร้างโรงเรียน ไม่ได้คำนึงถึงฮวงจุ้ยแน่ๆ ถึงได้มีนักเรียนดีๆ ปนๆ กันไม่เท่ากัน!
เดิมทีเขาตั้งใจจะสร้างโรงเรียนมัธยมชั้นสูงเพื่อบ่มเพาะชนชั้นนำที่มีคุณภาพ แต่เมื่อเผชิญกับความเป็นจริง กลับทำเอาเขาหดหู่ใจหาย นักเรียนเก่งๆ หายากมาก ตอนนี้โรงเรียนแทบจะกลายเป็นสถานที่รวมตัวของลูกเศรษฐีที่เรียนไม่ติดระดับมหาวิทยาลัยของรัฐไปแล้ว
ดูจากความถี่ของการก่อปัญหาต่างๆ หวังชิงเฟิง รู้สึกว่าผมบนหัวที่เหลืออยู่นิดหน่อยนี่ก็ยังมีโอกาสรักษาไว้ไม่ได้ซะแล้ว
ยังไงก็ต้องไปหาอาจารย์ฮวงจุ้ยมาดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่เรื่องนี้ต้องทำอย่างเงียบๆ ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด หวังชิงเฟิง เรียกผู้บริหารโรงเรียนมาประชุม ครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก่อนจะเรียกอาจารย์หนุ่มสาวรุ่นใหม่เข้ามาด้วย ด้วยความคิดว่าโลกอินเตอร์เน็ตสมัยนี้มีข้อมูลเยอะแยะ อาจารย์วัยหนุ่มสาวอาจจะมีความรู้ในเรื่องพวกนี้ก็ได้
หวังชิงเฟิง นั่งอยู่ในห้องประชุมด้วยใจเหนื่อยล้า เขาลูบหน้าครางออกมา "เรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนช่วงนี้ ทุกคนก็คงพอจะรู้นะ ทั้งเรื่องใหญ่เรื่องเล็กมีไม่น้อย ถึงจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ก็รู้สึกว่ามันเยอะจนเกินไปแล้ว นอกจากให้พวกเราควบคุมพฤติกรรมของนักเรียน เพิ่มความเข้มงวดในการจัดการแล้ว ก็ต้องคิดหาทางออกในมุมอื่นๆ ด้วย ไม่งั้นข่าวลือจากภายนอกก็ต้องรุมเข้ามาแน่ๆ จะมีผลต่อชื่อเสียงของโรงเรียนเราไม่น้อย"
หยูเฉิงเจ๋อ เป็นอีกคนที่รู้สึกได้มากที่สุด นักเรียนในห้องที่เขาดูแลก็มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ตอนนี้เยอะมาก ตั้งแต่กรณีใหญ่ระดับหลินซู่ซู่ที่โดนกำแพงทับจนหมดสติ ไปจนถึงเรื่องเล็กๆ อย่างเด็กผู้หญิงล้มหน้าฟาดแตกปากแตกคอ บ้างก็ตัดขาด บ้างก็เอ็นยึด ถึงขั้นมีคนปีนข้ามรั้วแล้วดันดึงรั้วยาวร้อยเมตรหล่นมาด้วย วิธีบาดเจ็บสุดอลังการถึงขั้นเกินจินตนาการ หยูเฉิงเจ๋อ รู้สึกว่านอกจากอาจารย์ใหญ่จะต้องหัวล้านก่อนแล้ว คนที่สองก็ต้องเป็นเขาแน่ๆ
เขาเศร้าใจจนแทบจะร้องไห้!
หลี่เหยียนอู่ ก็ติดตามสังเกตุการณ์หลายเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้เหมือนกัน เนื่องจากหลินชิงอิ่นเปิดประตูสู่โลกใหม่ให้เขา ทิศทางที่ หลี่เหยียนอู่ คิดจึงคล้ายๆ กับอาจารย์ใหญ่ เพียงแต่เขาคิดลึกซึ้งกว่าอีกขั้น
สองสามวันที่ผ่านมา หลี่เหยียนอู่ จดรายชื่อนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด แล้วไปสอบถามข้อมูลของนักเรียนพวกนี้จากอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเขา เขาสามารถหาจุดร่วมจากนักเรียนกลุ่มนี้ได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือทุกคนเคยทำร้ายเพื่อน
"อาจารย์ใหญ่ครับ มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่แน่ใจว่าควรพูดหรือไม่ครับ"
หวังชิงเฟิง ที่กำลังเกาหัวอยู่ชะงักมือ แล้วรีบชี้ไปที่เขาอย่างใจจดใจจ่อ "มีอะไรก็พูดมาเร็วๆ!"
หลี่เหยียนอู่ เปิดโน้ตบุ๊คของตนเองแล้วเชื่อมต่อกับโปรเจคเตอร์ในห้องประชุม เปิดแผนภูมิที่เขาทำเตรียมไว้
"เรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนช่วงนี้มีเยอะพอสมควร ผมจึงไปสอบถามข้อมูลจากอาจารย์ประจำชั้นทุกห้อง แล้วมาทำเป็นแผนภูมินี้ครับ"
หลี่เหยียนอู่ ใช้ปากกาเลเซอร์วงรอบแผนภูมิวงกลม
"โรงเรียนเรามีนักเรียน 2385 คน ช่วงนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 632 คน คิดเป็น 27 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนทั้งหมด ผมพอจะทราบข้อมูลคร่าวๆ ของนักเรียน 632 คนนี้ ในจำนวนนี้ก็มีเด็กเรียนดีอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตัวปวดหัวของครูอาจารย์ทั้งนั้น และพวกเขาก็มีจุดร่วมอย่างหนึ่งคือเคยใช้ความรุนแรงกับเพื่อน ไม่ว่าจะทางวาจาหรือทางกายภาพ พวกเขาล้วนเคยสร้างความเจ็บปวดให้คนอื่นมาก่อน"
"แล้วผมก็พบปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากอย่างหนึ่ง" หลี่เหยียนอู่ พูดต่อ "ผมพบว่าอาการบาดเจ็บของนักเรียนพวกนี้ ผันแปรตามสัดส่วนของการกลั่นแกล้งเพื่อนพอดี"
หยูเฉิงเจ๋อ เมื่อได้ยินแบบนั้นก็คิดทบทวนถึงสถานการณ์ในห้องเรียน ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยติดๆ กัน "ห้องเราก็เป็นแบบนี้จริงๆ"
หวังชิงเฟิง ได้ฟังถึงตรงนี้ก็เกิดความคิดแล่นพรวดขึ้นมา เขารีบมองไปยังกราฟสัดส่วนข้อมูลของห้องมัธยมปลายปีสอง ห้อง 1 แผนภาพแสดงให้เห็นว่าห้องมัธยมสองห้อง 1 นั้นเกือบจะล้มระเนระนาดไปทั้งห้อง นอกจากเด็กเรียนดีนิดหน่อยไม่กี่คนแล้ว ที่เหลือต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันถ้วนหน้า อาการไม่หนักมากจนขาดเรียนไม่ได้ ดังนั้นเขาถึงไม่ได้สังเกตรายละเอียดนี้
นอกจากเรื่องของหลินชิงอิ่นที่กระโดดแม่น้ำที่อาจารย์ประจำชั้น หยูเฉิงเจ๋อ, อาจารย์ใหญ่ หวังชิงเฟิง และผู้บริหารบางส่วนทราบแล้ว ครูส่วนใหญ่ก็ไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ แม้แต่ครูประจำวิชาห้องมัธยมสองห้อง 1 ก็ไม่เคยรับรู้ว่าเคยเกิดเหตุการณ์รังแกกันในห้อง ดังนั้นเมื่อ หลี่เหยียนอู่ สืบข้อมูลแล้วพบว่าหลินชิงอิ่นเคยถูกเพื่อนทั้งห้องรังแกมาก่อน ความคิดแรกของทุกคนที่ได้ยินคือเป็นไปไม่ได้
แต่ข้อเท็จจริงก็อยู่ตรงหน้า หลี่เหยียนอู่ ขบคิดอยู่สักพักก็เริ่มมีสมมติฐานใหม่: บางทีหลินชิงอิ่นอาจจะกำลังหล่อหลอมจิตใจของตัวเองก็ได้? ขนาดเป็นปรมาจารย์น้อยที่มีสัญชาตญาณที่ดีและเซียมซีแม่นขนาดนั้น ยังไงก็ไม่น่าจะเป็นพวกที่โดนรังแกได้ง่ายๆ หรอก
แต่แน่นอนว่า หลี่เหยียนอู่ จะไม่โง่ไปเปิดเผยความสามารถในการเสี่ยงทายและวางลาภยศของหลินชิงอิ่น เขาคาดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับหลินชิงอิ่นแน่ๆ และเมื่อเทียบกับเรื่องการรังแกกันในโรงเรียนที่กำลังระบาดหนักในตอนนี้ หลี่เหยียนอู่ ก็รู้สึกว่าหลินชิงอิ่นน่าจะกำลังช่วยขจัดสิ่งชั่วร้ายให้บริสุทธิ์อยู่ต่างหาก
"ผมพบว่าเพื่อนนักเรียนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลย แถมยังมีเด็กนักเรียนบางคนที่โชคดีมากๆ สอบผ่านใบรับรองที่ยากสุดๆ ได้ ผมคิดว่าพวกเราอาจารย์ควรกลับไปแนะนำนักเรียน ให้พวกเขารับรู้ถึงอันตรายจากการกลั่นแกล้งรังแกกันในโรงเรียน และสอนให้เข้าใจหลักเรื่องกฎแห่งกรรม ที่ผ่านมาพวกเขาอาจฟังหูไว้หู แต่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นตัวอย่างที่เจ็บปวดสาหัสกันเอง ผมเชื่อว่าพวกเขาน่าจะรู้ดีแล้วว่าควรจะทำยังไงต่อไป"
หวังชิงเฟิง พยักหน้าเห็นด้วย การรังแกกันในโรงเรียนก็เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่เขามุ่งแก้ไขอยู่แล้ว ถือโอกาสนี้จัดกิจกรรมปลูกฝังจริยธรรมซะเลยก็ดี
แต่อาจารย์ฮวงจุ้ยก็ยังต้องหาอยู่ดี ไม่งั้นเขาไม่วางใจ!
"พวกนายมีใครรู้จักอาจารย์ฮวงจุ้ยที่เก่งๆ บ้างไหม?" หวังชิงเฟิง พูดเสียงเบาๆ "เราลองหาคนมาดูว่าตอนสร้างโรงเรียน เราไปขัดข้องเรื่องข้อห้ามอะไรหรือเปล่า ทำไมฉันรู้สึกว่าโรงเรียนของเรายิ่งนานยิ่งห่างไกลจากเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ตอนแรกเลย เบี่ยงเบนเกินไปแล้ว!"
"ผมเองก็เคยได้ยินมาอยู่เหมือนกัน" หัวหน้าฝ่ายปกครองดันแว่นตากรอบดำ "ผมเพิ่งได้ยินแม่พูดเมื่อไม่นานมานี้เอง เรื่องอะไรสักอย่างเกี่ยวกับปรมาจารย์น้อย ท่านว่ามีฝีมือวิเศษมากๆ เลย!"