บทที่ 26 เคราะห์ซ้ำกรรมซัด
เทอมแรกของชั้นมัธยมปลาย มีนักเรียนลาป่วยกว่าสิบคน คุณครูปวดหัวมาก จึงหยิบข้อสอบมาสอนทบทวนเนื้อหาม.ปลาย 1
หลินชิงอิ่นชอบการทบทวนมาก นอกจากวิชาภาษาที่เธอรู้สึกกดดันนิดหน่อย นอกนั้นไม่มีปัญหา แค่เรียนให้ครบก็ตามทันแล้ว
มีก็แต่วิชาภาษาอังกฤษที่เธอไม่มีทางสู้จริงๆ
คงเพราะสีหน้าของหลินชิงอิ่นชัดเจนเกินไป หลี่เหยียนอู่จึงเห็นเข้าพอดี เคาะนิ้วที่โต๊ะ "หลินชิงอิ่น เธอลองตอบข้อ 23 หน่อย"
หลินชิงอิ่นดูข้อสอบ "เลือก A ค่ะ!"
"ทำไมถึงเลือก A?"
หลินชิงอิ่นหัวร้อนผ่าว จ้องข้อสอบอยู่ครู่ นึกคำตอบเพอร์เฟกต์ได้ "เพราะมีแค่ A ที่ถูกค่ะ"
ในใจของหลี่เหยียนอู่เย็นวาบ นี่มันข้อง่ายที่สุดในข้อสอบเลยนะ ท่านปรมาจารย์น้อยรู้ภาษาอังกฤษแค่ไหนกันแน่
แต่ต่อหน้าเพื่อนๆ ตั้งมากมาย หลี่เหยียนอู่ไม่กล้าซักไซ้มากกว่านั้น กลัวว่าหลินชิงอิ่นจะอับอาย คิดแล้วก็ให้เธอนั่งลง แกล้งช่วยเหลือเบาๆ "คำตอบของหลินชิงอิ่นถูกต้อง เรามาดูโจทย์กัน..."
หลินชิงอิ่นถอนหายใจเบาๆ ความรู้สึกหวาดหวั่นจางหายไป ดูท่าอาจารย์จะไม่ถามอีกแล้ว
ใช้เวลาหนึ่งคาบเพื่อสอนการทำข้อสอบ หลี่เหยียนอู่มองนักเรียนในห้อง "ช่วงบ่ายมีสองคาบ เป็นคาบอิสระสำหรับสอบภาษาอังกฤษ ระดับยากง่ายพอๆ กับข้อสอบที่เพิ่งสอนไป ผมจะดูว่าพวกคุณตั้งใจฟังที่ผมอธิบายไปหรือเปล่า"
ได้ยินเสียงโหยหวนด้านล่าง หลี่เหยียนอู่จับจ้องไปที่หลินชิงอิ่น "ตอนสอบบ่ายนี้ บนโต๊ะอนุญาตให้มีแค่ปากกาลูกลื่น..." คิดแล้วเขาเสริมอีกประโยค "มีได้แค่ด้ามเดียว ที่เหลือเก็บใส่ลิ้นชักโต๊ะไป ไม่งั้นจะถือว่าทุจริต"
ที่เขาไม่ใส่ใจนักเรียนไม่ใช่เพราะเขาไม่เห็นใจ เพียงแต่เขากลัวจริงๆ ว่าท่านปรมาจารย์น้อยจะหยิบปากกามาทำนายซะอีก เขาแค่อยากรู้ว่าระดับภาษาอังกฤษของเธอเป็นยังไง ถ้าไม่ดีจริงๆ เขาก็จะช่วยสอนพิเศษเธอเงียบๆ
ในฐานะมหาบัณฑิตเกียรตินิยมจากต่างประเทศ หลี่เหยียนอู่ไม่อยากให้มีนักเรียนที่เรียนไม่รู้เรื่องภาษาอังกฤษเลย
ได้ยินน้ำเสียงที่เห็นได้ชัดของหลี่เหยียนอู่ หลินชิงอิ่นยังคงสีหน้านิ่งเฉย ไม่มีเปลือกเต่าก็ไม่เป็นไร ผมไม่มีเปลือกเต่าก็ยังเป็นประมุขได้อยู่ดี!
ช่วงบ่าย หลี่เหยียนอู่ถือข้อสอบภาษาอังกฤษเข้าห้องตรงเวลา เอกสารวางเรียงส่งต่อไปข้างหลัง พอหลินชิงอิ่นที่นั่งแถวสองได้ข้อสอบ ก็เริ่มเขียนคำตอบทันทีโดยไม่แม้แต่จะอ่านโจทย์
หลี่เหยียนอู่เดินรอบห้องเก็บข้อสอบที่เหลือ เมื่อผ่านโต๊ะของหลินชิงอิ่น เห็นหางตาแล้วอึ้งไป
ก็ผมยังไม่ได้เปิดเทปฟังเลยนะ เธอทำข้อฟังเสร็จได้ไงกัน!
เปิดเครื่องเล่นเสียงฟังข้อสอบ หลี่เหยียนอู่อดใจไม่ไหว เดินมาข้างหลังหลินชิงอิ่นแอบมอง เห็นว่าหลินชิงอิ่นเริ่มทำข้อแรกจากตัวเลือก A ทุกข้อ ถ้าข้อไหนคำตอบคือ A ก็ดีไป หากคำตอบที่ถูกต้องคือ D ก็จะเห็นเธอขีดฆ่า A B C ที่อยู่ข้างหน้า เห็นได้ชัดว่าเลือกคำตอบตามสัญชาตญาณล้วนๆ
หลี่เหยียนอู่แทบจะร้องไห้ มีนักเรียนที่มีสัญชาตญาณการทำนายที่แม่นยำระดับนี้ ช่างเป็นเรื่องน่ากลัวชะมัด ยากจะป้องกัน!
ภายใต้สัญชาตญาณขั้นเทพแบบนี้ เมื่อนักเรียนคนอื่นทำข้อฟังเสร็จ หลินชิงอิ่นก็ทำข้ออ่านจับใจความแล้ว ตอนที่นักเรียนเพิ่งทำข้ออ่านจับใจความเรื่องแรกเสร็จ หลินชิงอิ่นก็มาดูข้อเขียนข้างหลังแล้ว
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลี่เหยียนอู่ก็ตัดสินใจไปดูการทำข้อสอบของเพื่อนคนอื่นบ้าง ตอบข้อเลือกคำตอบด้วยสัญชาตญาณก็พอไป แต่ข้อเขียนอาศัยพื้นฐานแท้ๆ เมื่อวานนี้ในการสอบเปิดเทอม หลินชิงอิ่นเว้นว่างข้อเขียนทั้งหมด ต่อให้เวลาผ่านไปแค่วันเดียวก็คงก้าวกระโดดไม่มากนักหรอก
หลี่เหยียนอู่กำลังจะก้าวเดิน ก็เห็นหลินชิงอิ่นพลิกกระดาษสอบหน้าสุดท้าย เธอข้ามไปดูข้อการเขียนเรียงความภาษาอังกฤษเลย โดยไม่สนใจข้อแก้ไขประโยค
หัวข้อคือเชิญเพื่อนต่างชาติมาเยี่ยมบ้าน แนะนำธรรมเนียมปฏิบัติและความรู้เรื่องมารยาทให้
หลินชิงอิ่นดูแค่ชื่อในโจทย์ ก็เริ่มเขียนยาวเหยียด ยังใส่เนื้อหาที่โจทย์ไม่ได้ถามเพิ่มอีกหลายอย่าง ทำให้จดหมายนี้ดูสมบูรณ์มากขึ้น
ตอนแรกที่หลี่เหยียนอู่เห็นหลินชิงอิ่นใช้ประโยคและสำนวนที่เกินกว่าเนื้อหาที่เรียนในตอนนี้ค่อนข้างดีใจ คิดว่าตัวเองมองข้ามเธอไป แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าเนื้อหาคุ้นเคยมาก
เขารีบหยิบมือถือจากกระเป๋ามาค้นหาตามเรียงความที่หลินชิงอิ่นเขียน ก็พบเฉลยมาตรฐานของข้อสอบ GAO KAO ปีหนึ่ง หัวข้อในนั้นไม่ต่างจากโจทย์ในข้อสอบนี้มากนัก แค่เพิ่มการแนะนำมารยาทบนโต๊ะอาหาร ซึ่งส่วนนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้หลี่เหยียนอู่รู้สึกว่าเนื้อหาสมบูรณ์ขึ้นนั่นเอง
หลี่เหยียนอู่อ่านเฉลยมาตรฐานทั้งฉบับ แล้วก็มาอ่านข้อสอบของหลินชิงอิ่น แม้แต่เครื่องหมายวรรคตอนก็เหมือนกันทุกประการ
นี่คือการทำนายหัวข้อเรียงความออกมาก่อน แล้วมาท่องจำเอาไว้เหรอ? ความจำดีจริงๆ นะ!
เธอเอาความจำขนาดนี้ไปจำคำศัพท์ไม่ได้หรือไง? พอคลังคำศัพท์เพิ่มขึ้น เรียงความแบบไหนก็เขียนออกมาได้หมดแล้ว!
หลี่เหยียนอู่มองท้ายทอยของหลินชิงอิ่นแทบจะร้องไห้ ท่านปรมาจารย์น้อย เธอทำนายหนึ่งครั้งนะแพงถึงพันหยวนเลยนะ ใช้เป็นข้อสอบเล็กๆ แบบนี้ไม่เปลืองไปหน่อยเหรอ? ทำนายให้ตัวเองไม่ต้องเสียตังค์ใช่ไหมล่ะ?
เขียนถึงคำสุดท้าย หลินชิงอิ่นพอใจเก็บปากกา ยื่นกระดาษคำตอบส่งให้หลี่เหยียนอู่ที่ยืนอยู่ข้างหลัง "อาจารย์ หนูทำเสร็จแล้วค่ะ!"
หลี่เหยียนอู่รับกระดาษคำตอบไปด้วยใจที่ขมขื่น "งั้นเธอก็ไปทบทวนเนื้อหาอื่นๆ เองนะ"
เพิ่งพูดจบ หลี่เหยียนอู่ก็เห็นหลินชิงอิ่นล้วงหยิบหนังสือ Writing Topics for GAO KAO ออกมาจากลิ้นชักโต๊ะ ทั้งยังหยิบเปลือกเต่าออกมาด้วย
หลี่เหยียนอู่แทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นฉากนี้ เธอกำลังจะทำนายหัวข้อเรียงความข้อสอบอังกฤษครั้งหน้าแล้วเหรอ? ก็ผมยังไม่ได้ออกข้อสอบเลยนะ!
---
นักเรียนที่บาดเจ็บลาหยุดไปหนึ่งวัน ตอนนี้กลับมาเรียนที่โรงเรียนกันหมดแล้ว หลักสูตรของชั้นมัธยมปลายไม่เหมือนช่วงเวลาอื่น ถ้าขาดเรียนไปหนึ่งวัน อาจทำให้ตามเนื้อหาต่อไปไม่ทัน ตราบใดที่ยังมีแรงลุกจากเตียงได้ ผู้ปกครองก็ต้องประคองส่งพวกเขามาโรงเรียนให้ได้
แม้ทุกคนจะมาเรียน แต่ก็ดูสภาพย่ำแย่เหลือเกิน
ชูจุ้นอี้ที่เพิ่งโชว์ท่ายืดขาชนิดร้องลั่นไปทั่วถึง ในที่สุดก็รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่แสนทรมานของหลี่หมิงอวี่ เข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเดินหนีบขาหุบไม่ลง เพราะเขาเองก็ซวยกว่าหลี่หมิงอวี่เสียอีก
ชูจุ้นอี้กล้ามเนื้อฉีกขาดค่อนข้างหนัก ตอนกลางวันมาเรียน ตอนกลางคืนต้องไปฉีดยาแก้อักเสบที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล จริงๆ แล้วการฉีดยาก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โต แต่สาเหตุและตำแหน่งที่เขาบาดเจ็บมันช่างพิเศษสุดๆ แม้แต่พยาบาลในโรงพยาบาลก็ยังจำเขาได้ ตอนฉีดยาให้ก็ยังกลั้นหัวเราะไม่อยู่ นี่ทำให้ชูจุ้นอี้ที่หน้าตาดีได้รับบาดแผลทั้งทางกายและจิตใจ
เขารู้สึกว่าเกิดมาสิบกว่าปี นี่เป็นครั้งแรกที่อับอายขนาดนี้!
พวกนักเรียนหญิงที่ถูกน้ำร้อนลวกก็รู้สึกอับอายไม่แพ้กัน
คนที่ถูกน้ำร้อนลวกมีตุ่มใสๆ ผุดขึ้นตามผิวหนัง ที่มือยังพอพันแผลได้ แต่ที่หน้าต้องเปิดโล่งอยู่แบบนั้น ตุ่มแดงใสเยิ้มถูกทายาลวกแล้วก็เงางาม เห็นได้ชัดมาก สำหรับเด็กผู้หญิงที่เน้นเรื่องความสวยความงาม นี่แทบจะเป็นฝันร้ายชะมัด แต่ผู้ปกครองไม่ยอมให้พวกเธอลาเรียนด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ทุกคนเลยถูกบังคับให้มาโรงเรียน
นักเรียนหญิงส่วนมากในตงฟางกั๋วจี่มีนิสัยชอบแต่งหน้า ซึ่งพวกที่ถูกลวกก็ไม่ต่างกัน ปกติพวกเธอไม่แต่งหน้าทาปากยังไม่ยอมออกจากบ้านเลย แต่ตอนนี้ล่ะก็ ไม่ต้องพูดถึงแป้งฝุ่นเลย แม้แต่การโชว์หน้าสดยังกลายเป็นความฝันอันแสนไกลเกินเอื้อม พวกเธอไม่อยากให้นักเรียนชายในห้องเห็นหน้าอันทรงเกียรตินี้ จึงต้องใส่หน้ากากอนามัยมาเรียนกันทุกคน พวกเธอไม่รู้เลยว่าถ้าเอาตุ่มน้ำมาทับแน่นๆ แบบนี้ ตุ่มจะยิ่งหายยากขึ้นไปอีก
นักเรียนหญิงที่ชอบโกหกใส่ร้ายหลินชิงอิ่นโดนลวกหนักที่สุด สองสามวันให้หลังตุ่มน้ำที่เธอปิดมิดชิดก็ติดเชื้อ พอผู้ปกครองรู้เรื่องก็ด่าเธอยับ รีบพาเธอไปหน่วยบาดแผลไฟไหม้บีบหนองทายา แล้วพาไปฉีดยาแก้อักเสบที่ห้องฉุกเฉิน
ชูจุ้นอี้ที่กำลังฉีดยาอยู่เห็นสภาพของเธอแทบจะอ้วก หยิบมือถือมาถ่ายรูปโพสต์เยาะเย้ยในโซเชียล นักเรียนหญิงที่เป็นหนองติดเชื้อโกรธจนตาแดง ถือขวดน้ำเกลือเดินวนรอบหนึ่ง สืบเรื่องอาการชูจุ้นอี้ออก แล้วโพสต์เรื่องที่ชูจุ้นอี้พยายามปิดบังมานานลงในโซเชียลทันที
วันรุ่งขึ้น เพื่อนในห้องมองชูจุ้นอี้ด้วยสายตาเหมือนกันหมด แม้แต่หลี่หมิงอวี่ที่เพิ่งโชว์ท่าห่อขามาก็โดนมองด้วยความสงสารแปลกๆ ก็นั่นมันจุดอ่อนไหวส่วนนั้นเขาฉีกขาดนะ ไม่รู้ต่อไปจะใช้การได้อีกหรือเปล่า
แล้วชูจุ้นอี้และหลี่หมิงอวี่ก็มีชื่อเล่นใหม่คนละอัน ชูกงกับหลี่กง*
(*กง คำเรียกขันที)
สำหรับเด็กผู้ชายอายุสิบหกสิบเจ็ด นี่ถือเป็นความอับอายสูงสุดแล้ว พวกเขาเพิ่งเคยสัมผัสถึงความเจ็บปวดจากคำพูดที่รุนแรง ทรมานจนแทบอยากตาย!
แต่ยังไม่จบแค่นั้น เพื่อนๆ ในชั้น ม.1 พบว่าพวกเขาโชคร้ายมากช่วงนี้ ยางรถจักรยานแตก คนนั่งรถส่วนตัวมาเรียนเจอตะปูเสียบยางก็ยังเป็นเรื่องเล็ก พวกเขาเดินผ่านแอ่งน้ำทีไรต้องล้มคว่ำทุกที ก้มหรือนั่งยองทีไรกางเกงต้องขาดทุกที สระผมมาเรียนต้องโดนขี้นกตกหัวทุกที ซวยยันกินน้ำเย็นยังติดฟัน
ในโรงเรียนที่ชอบรังแกเพื่อนไม่ได้มีแค่นักเรียน ม.1 ห้องอื่นก็มีไม่น้อย
แต่แน่นอนว่าถ้ามีเด็กใจร้ายก็ต้องมีเด็กดีใจบริสุทธิ์รักการเรียน หลินชิงอิ่นเลยใช้ต้นไม้และน้ำในบ่อโรงเรียนเป็นฐานวางอาคมธรรมชาติ ดูซิว่าพวกที่หน้าเปื้อนฝุ่นวันละหลายรอบจะมีแรงไปรังแกคนอื่นอีกไหม
ภายใต้การทำงานของอาคม โชคชะตาของทุกคนก็เปลี่ยนไปอย่างเงียบๆ คนที่มีใจดีชอบช่วยเหลือคนอื่นระยะนี้มีแต่โชคดี คนที่ไม่รังแกคนแต่ก็ไม่ช่วยเหลือใคร ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนนักเรียนที่ชอบข่มเหงรังแกคนอื่นอย่างสนุกสนาน ใช้ความรุนแรงในโรงเรียนมาอวดฝีมือ บอกได้เลยว่าเหมือนมีเมฆดำปกคลุมหัวเลย และการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มีผลแต่ในโรงเรียน พอโชคชะตาเสียแล้ว จะไปที่ไหนก็ซวยทั้งนั้น แม้แต่ญาติพี่น้องก็ยังได้รับเคราะห์กรรมไปด้วย
โชคดีมักไม่ค่อยมีใครสังเกต แต่พวกซวยๆ มารวมกัน จะยิ่งโดดเด่นเป็นพิเศษ
ผู้อำนวยการหวังชิงเฟิงของตงฟางกั๋วจี่หลุดผมไปเยอะช่วงหลินชิงอิ่นกระโดดสะพานช่วงปิดเทอม โชคดีที่กินขิงมาเดือนกว่าเลยงอกกลับมามากแล้ว แต่พอเห็นนักเรียนในโรงเรียนเกิดอุบัติเหตุกันเป็นพรวน ผมของเขาก็หลุดร่วงเป็นกำๆ อีกแล้ว
แม้ว่านักเรียนที่เกิดอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นฝีมือตัวเอง ผู้ปกครองไม่ได้โทษโรงเรียน แต่หวังชิงเฟิงก็ยังกังวลอยู่ดี นักเรียนทั้งหมดในโรงเรียนก็แค่สองพันกว่าคน วันๆ หนึ่งมีคนเข้าโรงพยาบาลหกร้อยคน แม้แต่ความก้าวหน้าในการเรียนการสอนของโรงเรียนก็ยังได้รับผลกระทบ และถ้าปล่อยให้คนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปพูดไป ก็จะกระทบชื่อเสียงของโรงเรียน
ขณะที่หวังชิงเฟิงกำลังร้อนใจเดินวนไปมา โทรศัพท์จากหน่วยรักษาความปลอดภัยก็ดังขึ้น "ท่านผู้อำนวยการ นักเรียน ม.1 ของเราคนหนึ่ง อยากขี้เกียจไม่ข้ามสะพานลอย เลยกระโดดข้ามแผงกั้น สุดท้ายเท้าเกี่ยวติดร่วงลงมา ทำเอาแผงกั้นพังไปกว่าร้อยเมตรเลย ตำรวจจราจรกำลังมา"
หวังชิงเฟิงลูบหน้าผากที่ยิ่งมันวาวขึ้นอดครางไม่ได้ นี่นักเรียนบ้าตายคนไหนอีกเนี่ย!
---
ตอนนี้นักเรียนกลับบ้านกำลังมุงดูจูซินต้าที่โดนแผงกั้นทับ เทอมที่แล้วเขาเป็นคนที่ใส่ใบมีดโกนหนวดลงไปในลิ้นชักโต๊ะหลินชิงอิ่น ทำให้นิ้วหลินชิงอิ่นถูกบาดหลายแผลจนเจ็บหลายวันจับปากกาไม่ได้
หลินชิงอิ่นเดินออกจากประตูโรงเรียน เหลือบมองจูซินต้าที่ยังนอนอยู่ใต้แผงกั้นอย่างเย้ยหยัน ตรงกลางถนน ตำรวจจราจรเรียกคนมาช่วยกันยกแผงกั้นหลายคน ไม่งั้นขาของจูซินต้าที่ติดอยู่ในนั้นจะเอาออกมาไม่ได้
หลังจากมองครึ่งนาที หลินชิงอิ่นหันตัวเดินไปยังซอยเล็กใกล้โรงเรียนอย่างรู้สึกถึงบางอย่าง
ซอยเล็กนี้มีกำแพงต่ำๆ สองข้างทาง เนื่องจากเก่าและไม่ได้ซ่อมแซมมานาน จึงค่อนข้างทรุดโทรม รัฐบาลตัดสินใจจะรื้อบ้านเก่าในบริเวณนี้ทั้งหมดเพื่อปรับปรุงใหม่ กำแพงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะถูกรื้อ มีคำว่า 'รื้อ' เขียนด้วยปากกาแดงตัวโตๆ อยู่บนกำแพง
หลินชิงอิ่นเดินไม่ช้าไม่เร็ว พอเดินมาถึงตรงกลางตรอก เธอก็หยุดผูกเชือกรองเท้า ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง
หลินชิงอิ่นลุกขึ้นหันไปมอง เป็นเพื่อนผู้หญิงในห้องห้าคน ผู้ที่วิ่งนำสุดคือหลินซู่ซู่ที่เคยตบหูหลินชิงอิ่น
ที่หลินซู่ซู่ไม่ถูกชะตากับหลินชิงอิ่นมีสาเหตุ สมัยมัธยมต้นเธอชอบชูจุ้นอี้อยู่แล้ว นึกว่าได้เรียนมัธยมปลายด้วยกันจะได้ผล ไม่นึกว่าชูจุ้นอี้จะดันไปปิ๊งหลินชิงอิ่นตั้งแต่เข้าเรียนมัธยมปลาย
ทั้งที่หลินชิงอิ่นไม่ได้คิดอะไรกับชูจุ้นอี้เลยจริงๆ ชูจุ้นอี้ที่ถูกหลินชิงอิ่นปฏิเสธไปก็โกรธจนอับอาย เริ่มข่มขู่แกล้งเธอเป็นความสุข หลินซู่ซู่ก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี ยังคงมีความรู้สึกเป็นศัตรูเคียดแค้นหลินชิงอิ่น
เด็กจนคนนึงจะไปเรียกความสนใจจากชูจุ้นอี้ได้ยังไง
หลินซู่ซู่ไม่กล้าไปถามชูจุ้นอี้ ก็เลยมาลงที่หลินชิงอิ่น ไม่เพียงแค่ระดมสมัครพวกในห้องมากลั่นแกล้งเธอ ยังชอบหาเรื่องดึงผมตบหูหลินชิงอิ่นอีก
เด็กผู้หญิงคนเดิมทนไม่ไหวกระโดดสะพานฆ่าตัวตาย หลินซู่ซู่ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยนั้น
หลินชิงอิ่นขยับไปใต้ต้นไม้ข้างๆ สองก้าว มองหลินซู่ซู่อย่างเฉยเมย "ตามฉันมามีอะไร?"
เห็นหลินชิงอิ่นทำหน้าเย็นชา หลินซู่ซู่โกรธจนฟันคัน
พอปิดเทอมผ่านไป เธอคิดว่าครั้งหน้าที่จะได้เจอหลินชิงอิ่นคงจะเป็นเด็กขี้อายไร้เดียงสา ใครนึกว่าหลินชิงอิ่นจะดูเหมือนลืมการกลั่นแกล้งในเทอมที่แล้วไปหมดแล้ว ยังกล้าพูดเสียดสีเพื่อนในห้องเลย
ที่น่าหงุดหงิดที่สุดคือ เธอรู้สึกว่าหลินชิงอิ่นสวยขึ้นกว่าก่อนปิดเทอมอีก
จริงๆ แล้วหน้าตาของหลินชิงอิ่นไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เพียงเพราะการฝึกฝนทำให้ผิวดีขึ้นกว่าเดิม แถมยังมีบุคลิกที่ไม่ธรรมดา เลยทำให้เธอดูโดดเด่นขึ้นไปอีก
"เด็กจนแบบแกยังมีหน้ามาเรียนอีกเหรอ?" หลินซู่ซู่บ่นอย่างรังเกียจ "เกรดยังสู้ฉันไม่ได้เลย ถ้าฉันเป็นแก ป่านนี้คงอับอายจนฆ่าตัวตายไปแล้ว"
"ก็มีคนไร้ยางอายอย่างเธอตัดกันนี่นา ฉันว่าฉันยังดีอยู่ใช่มั้ย!" มุมปากของหลินชิงอิ่นเชิดขึ้น จงใจใช้เรื่องที่หลินซู่ซู่ใส่ใจที่สุดยั่วโมโหเธอ "อย่างน้อยก็หน้าตาสวยกว่าเธอ!"
หลินซู่ซู่ได้ยินหลินชิงอิ่นพูดแบบนั้นก็ถลึงตามองอย่างเดือดดาล สองมือกำแน่นเดินเข้าไปหาหลินชิงอิ่น "แกมันนังบ้า ฉันไม่สวยเหรอ!"
หลินชิงอิ่นมองโครงหน้าที่ถูกขมวดคิ้วบิดเบี้ยวของหลินซู่ซู่ เม้มปากแล้วพูด "ก็ไม่สวยจริงๆ นี่นา"
"นังตัวดี ฉันจะสอนให้แกรู้ว่าใครสวยกว่าใคร!" หลินซู่ซู่พูดจบก็เงื้อมือตบเข้าที่ใบหน้าของหลินชิงอิ่น ทว่าฝ่ามือของเธอกลับถูกหลินชิงอิ่นคว้าไว้ราวกับจงใจรอให้เธอลงมือ หลินซู่ซู่ตกใจมาก พยายามสะบัดแขนแต่หลินชิงอิ่นจับข้อมือเธอไว้แน่น ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บ
"ใครสวยกว่าคนอื่นไม่รู้ แต่แรงของเธอเทียบกับฉันไม่ได้แน่ๆ" หลินชิงอิ่นจ้องหน้าหลินซู่ซู่พลางบีบข้อมือของเธอแน่นขึ้นเรื่อยๆ
หลินซู่ซู่โกรธจนตัวสั่น "แกกล้านะ!"
"ไม่แค่กล้า ฉันถึงกับอยากเตะเธอซักที สงสัยจังเลยว่าฉันถีบทีเดียว เธอจะปลิวไปได้กี่เมตร" หลินชิงอิ่นพูดอย่างไม่ยี่หระ
"แกมันบ้าจริงๆ!" หลินซู่ซู่กัดฟันด่าทอ พยายามเอาขาถีบหลินชิงอิ่น แต่ขาของเธอกลับเตะเข้ากับลำต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ
"โอ๊ย!" หลินซู่ซู่ร้องด้วยความเจ็บปวด แรงที่หลินชิงอิ่นจับข้อมือเธอก็คลายลง เธอรีบชักมือออกและลูบขาตัวเองที่เจ็บแปลบ
"อุ๊บส์! เธอเตะเองนะ อย่ามาว่าฉันทำนะ" หลินชิงอิ่นยิ้มอย่างสะใจ
"ฉันจะฟ้องอาจารย์แน่!" หลินซู่ซู่โกรธจนหน้าแดง พลางชี้นิ้วใส่หลินชิงอิ่น
"ไปสิ! ฉันอยากดูนักว่าใครจะโดนตำหนิ เธอหรือฉัน" หลินชิงอิ่นไม่สนใจคำขู่ของหลินซู่ซู่เลย แถมยังเดินจากไป
หลินซู่ซู่มองแผ่นหลังของหลินชิงอิ่นอย่างเจ็บแค้น ในใจคาดโทษเด็กสาวข้างหน้า เมื่อเธอหันไปมองพวกสี่คนที่มาด้วย ทุกคนก็ต่างก้มหน้าไม่กล้าสบตา ทำท่าทางอยากจะเผ่นหนีไปให้พ้น
หลินซู่ซู่ชักสีหน้า หันไปมองทางที่หลินชิงอิ่นจากไป แต่เด็กสาวร่างเล็กก็เดินลับตาไปไกลแล้ว ความรู้สึกแพ้และเสียหน้าทำให้เธอต้องกลืนความแค้นเอาไว้
แต่หลินชิงอิ่นอย่าได้เพิ่งดีใจไป เธอจะต้องให้เด็กแสบนั่นเจ็บปวดกว่านี้แน่!