บทที่ 5 แนวคิด
บทที่ 5 แนวคิด
เวลาประมาณ 23.00 ภายในพื้นที่ทํางานของนักเขียน
ภายในดูเหมือนจะมีขนาดเกินประมาณ 40 พยอง (ประมาณ 132 ตารางเมตร) ดูเหมือนเป็นบ้านในอพาร์ตเมนต์ แต่ทั้งหมดเป็นพื้นที่ทํางานของนักเขียน ผู้ช่วยนักเขียนกําลังยุ่งอยู่กับการพิมพ์บนโน๊ตบุ๊คของเขาบนโต๊ะที่อยู่ตรงกลางห้องนั่งเล่น
เป็นเรื่องปกติที่ผู้ช่วยนักเขียนจะใช้เวลาทั้งคืนในที่ทํางาน ซึ่งในห้องที่ใหญ่ที่สุดยังล้อมรอบด้วยชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมาย
แต๊ก.. แต๊ก.. แต๊ก
เสียงพิมพ์อย่างบ้าคลั่งดังก้องไปทั่วห้อง เป็นหญิงวัยกลางคนสวมที่คาดผมสีเทาที่กำลังขะมักเขม้นอยู่
“ชิ”
เธอเดาะลิ้นราวกับว่าเธอเขียนไม่เก่ง แต่แท้จริงแล้วเธอเป็นถึงเจ้าของพื้นที่ห้องทำงานของนักเขียนใหญ่แห่งนี้ เธอคือนักเขียนพัคอึนมี ใบหน้าละม้ายคล้ายเพิ่งอายุประมาณ 40 ปี มี ผมยาวดัดไว้ด้านหลัง
ใช่แล้ว เธอคือนักเขียนพัคอึนมี
"เฮ้อ..."
เธอเอามือปิดหน้าราวกับกำลังอดกลั้นต่อความปวดใจ
-ริง ริง ♬♪
โทรศัพท์มือถือของเธอที่อยู่ด้านข้างๆ โน๊ตบุ๊คได้ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกเข้าที่ฟังดูร่าเริง แต่ทว่าทางนักเขียนปาร์คอึนมี...
“….”
เพียงแค่เหลือบมองอย่างรวดเร็วและไม่รับสาย มีสายโทรเข้าเรื่อยๆ มาประมาณหนึ่งเดือนแล้ว
เหตุผลนั้นง่ายมาก
“[เกาะติดประเด็น] นักเขียนบทละครชื่อดังปาร์คอึนมี กลับมาแล้ว! วงการโทรทัศน์คงได้กลับมาฮือฮาอีกครั้ง”
เธอเป็นหนึ่งในนักเขียนบทละครดาวรุ่งไม่กี่คนในประเทศ เธอได้เขียนบทละครทั้งหมด 14 เรื่องและ 8 เรื่องรวมถึงผลงานล่าสุดของเธอได้รับความนิยมเป็นส่วนมาก ส่วนหกเรื่องที่เหลือล้มเหลวหรือเปล่าน่ะเหรอ? ไม่เลย แต่พวกมันทำได้แค่ดีนิดหน่อยเท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือนักเขียนพัคอึนมีเป็นนักเขียนระดับซูเปอร์สตาร์ที่ไม่เคยล้มเหลวในงานของเธอมาก่อน
บุคคลเช่นนี้...
“ราชินีละครฮิตกับนักเขียนพัคอึนมีได้ร่วมงานกับช่อง SBC ในผลงานใหม่ล่าสุดของเธอ”
ได้จับมือกับช่องละคร SBC ซึ่งในครั้งนี้ ผู้กำกับคือซงมันวู ผู้ถือเป็นหนึ่งในพีดีรุ่นใหญ่ที่มีอยู่ พวกเขาได้ร่วมมือกันมาห้างานแล้ว มีการยืนยันถึงนักแสดงชั้นนำที่จะมาร่วมแสดงแล้วด้วย
ฮงฮเยยอน
ทั้งสามคนเป็นเหมือนตัวหลัก ดังนั้นก่อนที่การสร้างจะเริ่มขึ้น ข่าวลือก็ได้แพร่กระจายด้วยความเร็วแสง
ด้วยเหตุนี้
-ริง ริง ♬♪
โทรศัพท์ของนักเขียนพัคอึนมีดังขึ้นทุกนาที ส่วนใหญ่เป็นสายโทรจากบริษัทบันเทิงขนาดกลางและขนาดใหญ่ พวกเขาต้องการที่จะให้นักแสดงของพวกเขาเข้ามาแคสบท ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดา
เพราะหากพวกเขาได้รับเลือก มันคงเรียกว่าแจ็คพอตได้เลย
นักเขียนพัคอึนมีก็ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน
"วุ่นวาย วุ่นวายเสียจริง"
สําหรับนักเขียนที่มีความสามารถอย่างเธอ การควบคุมฉากและการคัดเลือกนักแสดงย่อมไม่ใช่ปัญหา โครงบทสําหรับนักแสดงละครเรื่องใหม่นี้ได้ถูกวาดขึ้นแล้ว ฮงฮเยยอนก็ได้รับการยืนยันว่าจะมาร่วมแสดงด้วยแล้ว ดังนั้นสายจากบริษัทบันเทิงพวกนี้จึงไม่มีอะไรอีกแล้วนอกจากมาสร้างความรำคาญให้กับนักเขียนพัคอึนมี
บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้...
“เฮ้อ น่ารำคาญเกินไปแล้ว”
นักเขียนพัคอึนมีกำลังจะยื่นมือออกไปปิดโทรศัพท์ของเธอที่ส่งเสียงดัง แต่แล้วเธอก็หยุด
“ห๊ะ?”
หลังจากตรวจสอบหมายเลขผู้โทรแล้ว เธอก็เอียงศีรษะและวางโทรศัพท์ไว้ข้างหู
“โอ้ ผู้กำกับซงมันวู ทำไมคุณถึงโทรมาในเวลานี้ล่ะคะ? ไม่ใช่ว่าคุณต้องไปตัดสินรอบคัดเลือกสําหรับรายการ ‘สุดยอดนักแสดง’ เหรอ? การถ่ายทำจบลงแล้วเหรอคะ?”
อีกฝ่ายไม่ได้มาจากบริษัทบันเทิง แต่เป็นผู้กำกับซงมันวู หลังจากนั้นผู้กำกับซงมันวูก็ตอบทางโทรศัพท์อย่างเร่งรีบ
“อ่า มันเสร็จแล้วครับ ที่สำคัญกว่านั้นคือผมกำลังไปที่ทำงานของคุณนะครับ”
“ตอนนี้เหรอคะ?”
“ผมเกือบจะถึงที่นั่นแล้ว คงจะไปถึงในอีกประมาณ 20 นาทีครับ”
มันไม่ใช่ปัญหาสําหรับเขาเลยที่จะมาที่ทํางานของเธอ เพราะพวกเขาอยู่บนเรือลําเดียวกันแล้ว แต่พัคอึนมีได้แต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะมันดึกมากแล้ว
“ฉันกำลังจะไปอาบน้ำ คือว่าหากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนพรุ่งนี้เช้าได้ไหมคะ?”
"ไม่ ไม่ครับ มันเป็นเรื่องเร่งด่วน คุณต้องดูตอนนี้เลย เอ่อ ดาราฮงฮเยยอนก็อยู่กับผมด้วยนะครับ”
“ฉันต้องดูอะไรนะคะ? เดี๋ยวนะ ฮงฮเยยอนมากับคุณเหรอคะ?”
“ใช่ครับ ไว้ค่อยคุยกันเรื่องรายละเอียดกันอีกทีตอนที่ผมไปถึงดีกว่า”
มันเลยเวลา 23.00 น. ไปแล้ว และผู้กํากับซงมันวูและฮงฮเยยอนที่ถูกยืนยันว่าจะรับบทเป็นนางเอกกําลังจะมา มันดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วสิ
“เฮ้อ...คงมาพร้อมกันจากรายการคัดเลือกนั่นสินะคะ ก็ได้ ฉันเข้าใจแล้ว”
"ดีเลยครับ!”
-แกร๊ก
ในไม่ช้าพัคอึนมีที่โยนโทรศัพท์อย่างไม่ใส่ใจก็ถอดที่คาดผมและออกจากห้องไป ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะไปส่งผู้ช่วยนักเขียนที่อยู่ข้างนอกให้กลับบ้าน
“พวกเธอ ผู้กำกับซงมันวูกำลังมา เพราะงั้นวันนี้ทุกคนกลับบ้านกันได้แล้วล่ะ พักกันสักวันสองวัน”
ผู้ช่วยนักเขียนรีบเก็บข้าวของทันทีที่หัวหน้าของพวกเขาพูดจบ พัคอึนมีที่เห็นเช่นนี้ก็ได้แต่หัวเราะคิกคัด
"จริงสิ เดี๋ยวฉันจะให้บัตรของฉันกับพวกเธอ เอาไปซื้อของอร่อยๆ กินก่อนกลับถึงบ้านได้เลยนะ ไม่ต้องห่วงเรื่องราคาหรอก”
"โอ้! ขอบคุณนะครับ"
ผู้ช่วยนักเขียนที่ได้รับบัตรไปก็รู้สึกตื่นเต้นมาก ในกลุ่มพวกเขามีหญิงสาวสวมแว่นตาคนหนึ่งยื่นกระดาษบางๆ ให้พัคอึนมี
“หัวหน้า นี่คือเนื้อหาของคนต่อต้านสังคมที่หัวหน้าขอค่ะ”
พัคอึนมีที่ได้รับชุดเอกสารมาก็ได้แต่ถอนหายใจเล็กน้อย
“อืม ลำบากเธอพอสมควรเลย แต่บางทีฉันอาจจะไม่ได้ใช้สิ่งนี้แล้วล่ะ”
“ทำไมเหรอคะ? อ๋อ-เป็นเพราะนักแสดงหรือเปล่าคะ?”
“ใช่ มีคนมากมายที่อาจจะแสดงได้ แต่ปัญหาคือพวกเขาไม่สามารถแสดงมันออกมาจริงๆ ได้ คนที่ฝีมือดีส่วนใหญ่ก็ไม่ขอแสดงอีก”
พัคอึนมีเดาะลิ้นของเธอและวางของบนโต๊ะหน้าทีวีโดยไม่สนใจอะไรนัก
“บางทีฉันคงต้องเปลี่ยนอุปนิสัยของตัวละครแล้วกระมัง”
ไม่กี่สิบนาทีต่อมา
ผู้ช่วยนักเขียนได้ออกจากพื้นที่ทำงานไปแล้ว ได้มีคนใหม่สองร่างปรากฏบนโซฟาในห้องนั่งเล่น พวกเขาคือผู้กํากับซงมันวูและนักแสดงชั้นนําฮงฮเยยอน ผู้ซึ่งนั่งติดอยู่กับพัคอึนมี
“โอ้ คุณนักเขียน ที่ทำงานของคุณนี้กลิ่นหอมดีจริงๆ! คุณเปลี่ยนกลิ่นน้ำหอมแล้วใช่ไหมคะเนี่ย?”
ด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบสาเหตุ พัคอึนมีเริ่มรู้สึกรำคาญเล็กน้อย
“คุณดาราฮงเชิญนั่งค่ะ ว่าแต่คุณมีสติอยู่ครบใช่ไหมคะเนี่ย?”
เธอตำหนิฮงฮเยยอนเบาๆ ทว่าดูเหมือนฮงฮเยยอนจะไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้
"ฉันรู้ว่าคุณอาจจะดูรำคาญ แต่ที่จริงคุณก็หวังว่าฉันจะสังเกตเห็นว่าคุณเปลี่ยนกลิ่นน้ำหอมใช่ไหมล่ะคะ?”
"ไม่หรอกค่ะ ยังไงก็นั่งลงเถอะนะคะ ชาพร้อมแล้ว”
พัคอึนมีวางชาที่เตรียมไว้บนโต๊ะข้างหลัง ในขณะเดียวกัน...
-ฟึบ
เธอเหลือบมองผู้กํากับซงมันวูที่ดูโทรศัพท์ของเขามาระยะหนึ่งแล้ว เธอจึงเอ่ยปากพูด
"คือว่าคุณพีดี ผู้กำกับใหญ่อย่างคุณจะมากำกับได้เหรอคะ? ครั้งที่แล้วคุยกันว่าอาจจะเปลี่ยนผู้กำกับไม่ใช่เหรอคะ?”
“เหอะ!”
ผู้กำกับซงมันวูแค่นเสียงตอบทันที
"ถ้าผมบอกว่าผมจะทํา พวกเขาจะทําอะไรได้?"
"เอ่อ จริงอยู่ค่ะ แต่ว่า…กับทีมงานว่ากันยังไงเหรอคะ? พูดตรงๆ ด้วยประสบการณ์ ชื่อเสียงและอายุของคุณ ไม่ใช่ว่าคุณPDควรไปทำงานนั่งโต๊ะสบายๆ แล้วเหรอคะ? "
“ทำงานนั่งโต๊ะ? ถ้ากํากับไม่ได้ผมก็ขอเกษียณดีกว่า”
ตอนนั้นเองที่ซงมันวูเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์และมองไปที่นักเขียนพัคอึนมีบนโต๊ะฝั่งตรงข้าม
“แต่นี่อาจเป็นงานสุดท้ายจริงๆ ผมแก่แล้วและต้องคิดถึงพวกคนหนุ่มสาวด้วย ดังนั้นผมเลยคิดว่าจะถอยออกมาเหมือนกัน”
ผู้กำกับซงมันวูที่ไว้หนวดเคราคนนี้มีอายุราว 40 ปลายๆ แต่แท้จริงแล้วเขาอายุ 50 กว่าๆ ซึ่งเมื่อดูจากความสำเร็จและอายุเขา เขาควรจะเป็นผู้บริหารระดับสูงของสถานีมานานแล้ว แต่ในหัวเขามันมีแค่ความคิดที่ว่าหากไม่สามารถกำกับได้ เขาขอยอมตายดีกว่า
เขาถอนหายใจลึกๆ
"ตอนนี้ไม่มีใครสามารถเพิ่มเรตติ้งได้เหมือนผมได้ ดังนั้นผมก็มีแต่ต้องทำต่อไปก่อน"
ทั้งฮงฮเยยอนและนักเขียนพัคอึนมีต่างเริ่มพูดคุยกัน
“ฉันเองก็หวังว่าคุณจะกำกับต่อไปนะคะ!”
ฉันก็คิดเหมือนกันเลยค่ะ แต่…หนูว่าถ้าคุณ PD มาเป็น CP แทนก็คงดีไม่น้อยนะคะ "
[CP=ผู้อำนวยฝ่ายการผลิต PD=ผู้กำกับ]
อย่างไรก็ตาม ผู้กำกับซองมันวู เพียงแค่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วส่ายหัวตอบ
"ช่างเรื่องนี้เถอะน่า เมื่องานนี้เสร็จสิ้นแล้ว ผมก็คิดที่จะออกจากบริษัทไป ผมกำลังคิดเรื่องที่จะจัดตั้งบริษัทผลิตและทำงานเป็นผู้กำกับต่อไปอยู่ดี”
“โอ้ -ถ้าเป็นคุณPD คงมีเงินลงทุนมากมายไหลมาเลยทันทีแหละค่ะ”
ในขณะนั้นเอง
“เพราะงั้นแล้ว…”
ดวงตาของผู้กำกับซงมันวูเริ่มจริงจัง
“คราวนี้เรามาทำให้มันบันลือโลกเลยเถอะ”
ฮงฮเยยอนสะบัดผมยาวของเธอพร้อมกับยิ้มแย้มตอบ
“เห็นด้วยเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยค่ะ”
นักเขียนพัคอึนมีถอนหายใจเบาๆ ยักไหล่แล้วเดินเข้ามาร่วมด้วย
“เป้าหมายของเราก็แบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ? ว่าแต่อะไรคือเหตุผลที่พวกคุณสองคนบุกเข้ามาที่นี่ในคืนนี้กันคะ?”
เพื่อตอบคำถามนั้น พีดีซงมันวูก็ลุกขึ้นจากโซฟา จากนั้นเขาก็เชื่อมต่อโทรศัพท์เข้ากับทีวีเครื่องใหญ่ตรงหน้า นักเขียนพัคอึนมีถึงกับขมวดคิ้ว
“คุณกำลังทำอะไรอยู่คะเนี่ย? จะดูหนังเหรอคะ?”
ผู้กำกับซงมันวู ซึ่งกำลังเชื่อมต่อโทรศัพ?กับทีวีขนาดใหญ่ได้ตอบอย่างใจเย็นขณะที่ถือรีโมทคอนโทรล
“แค่ดูมันก่อนแล้วค่อยมาคุยกันเถอะครับ”
“ดูอะไรเหรอคะ?”
“ยอดฝีมือเร้นกายที่ผมพบในวันนี้ ไม่ใช่นักแสดงด้วย”
“...คุณพูดบ้าอะไรของคุณกันคะเนี่ย?”
นักเขียนพัคอึนมีบ่นออกมาอย่างเปิดเผย แต่พีดีซงมันวูก็เล่นวิดีโอในโทรศัพท์ของเขา จากนั้นชายคนหนึ่งก็เริ่มปรากฏตัวในทีวีเครื่องใหญ่
คนผู้นี้คือคังวูจิน ผู้เข้าร่วมคนแรกในรอบคัดเลือกของรายการ ‘สุดยอดนักแสดง’ เมื่อเช้านี้
ทันทีที่เธอเห็นเขา นักเขียนพัคอึนมีก็เอียงศีรษะของเธอ
“นั่นใครเหรอคะ? อ๋อ-นี่เป็นภาพที่บันทึกมาของรายการ ‘สุดยอดนักแสดง’ หรือเปล่าคะ?”
อย่างไรก็ตาม ซงมันวูที่ถือรีโมทคอนโทรลได้ตอบคำถามด้วยคำถามกลับไป พลางชี้ไปที่ทีวีด้วยนิ้วชี้ของเขา
“คุณคิดยังไงกับผู้ชายคนนี้?”
คังวูจินนั่งอยู่บนเก้าอี้ ศีรษะของเขาเอียงเล็กน้อยและนำโทรศัพท์ถือไว้แนบกับหู รูม่านตาของเขาขยายเล็กน้อย นักเขียนพัคอึนมีประเมินเขาทันทีราวกับว่าเธอไม่รู้สึกสนใจสักนิดเดียว
"สูงดีนะคะ หน้าตาดีด้วย ดูมีเสน่ห์แบบหนุ่มแบดๆ นิดๆ แต่...เขาเมาหรือเปล่านะ? ตาแดงๆ เหมือนคนเมาเลย…”
ฮงฮเยยอนที่กำลังไขว้ขาอยู่ด้านข้างก็กล่าวเสริมอย่างรวดเร็ว
“เซ็กซี่ดีใช่ไหมล่ะคะ? ดูมีเสน่ห์แบบแปลกๆ”
“ก็ดูมีของนะคะ ไม่รู้ว่าเป็นมือใหม่หรือว่าเด็กฝึกหัด? แต่ดูมีเอกลักษณ์ดี ไม่เหมือนคนโนเนมเลย”
“ไม่เชิงนะครับ แยกตามเกณฑ์ว่าเป็นมือใหม่หรือเด็กฝึกหัดก็คงไม่ได้หรอก”
"อะไรเนี่ย? คุณพีดีซง ให้ฉันมาดูเด็กแบบนี้ทำไมกันคะเนี่ย? ฉันเหนื่อยมากนะ วันนี้ฉันเขียนบทไม่ออกเลย หัวของฉันตื้อจนมันแทบจะระเบิดแล้ว”
ในขณะนั้นเอง
ตุ้บ
ในทีวี คังวูจินเคลื่อนไหวช้าๆ ยืนอยู่หน้ากรรมการ จากนั้นเขาก็เริ่มแสดงอะไรบางอย่าง
ราวกับกำลังชักเกร็งไม่ก็คลุ้มคลั่ง
ลมหายใจหอบ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ท่าทางมือและเท้าที่สับสน ร่างกายสั่นระริกด้วยความสิ้นหวังและความโหดร้าย รอยยิ้มที่บ่งบอกถึงอารมณ์มากมายที่ปรากฏบนใบหน้า
มันดำเนินไปเป็นเวลา 30 วินาที 1 นาที 3 นาที
คังวูจินในทีวีดูแตกต่างจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง ส่วนคุณพัคอึนมีที่นั่งอยู่บนโซฟา...
ก่อนที่เธอจะรู้ตัว เธอก็ขยับเข้าไปใกล้ทีวีเครื่องใหญ่แล้ว คำบ่นมากมายของเธอเมื่อสักครู่ได้หายไปอย่างหมดสิ้น ตอนนี้สีหน้าของเธอกลับดูหนักแน่นและตื่นเต้น
‘นี่มัน......นี่มันคือการแสดงจริงเหรอ?’
มีคนสามารถบิดตัวแบบนั้นได้ด้วยเหรอ? พัคอึนมียังคงรู้สึกสงสัยในขณะที่เธอมองดูมัน
‘หรือว่าเขามีประสบการณ์ในการถูกแทงด้วยมีดจริงๆ เหรอ? เขาแสดงได้ถึงระดับนี้ได้ยังไงกัน?’
ในขณะนั้นเอง
ปิ๊บ!
ผู้กำกับซงมันวูหยุดวิดีโอที่กำลังเล่นอยู่อย่างกะทันหัน จากนั้นเขาก็ถามพัคอึนมีที่ตาเบิกกว้าง
“ระหว่างความรู้สึกแรกที่คิดว่าเขาเป็นคนขี้เมาและตอนนี้ดูทุกข์ทรมานอย่างน่าสังเวช คุณคิดว่าด้านไหนคือบุคลิกที่แท้จริงของผู้ชายคนนี้กันครับ?”
“ฉันไม่รู้หรอก แต่ว่าเขาแสดงแบบนี้ได้ยังไงกัน? ฉันไม่เคยเห็นการแสดงแบบนี้มาก่อนเลย มันดูไม่เหมือนการแสดง มันเหมือนเป็นความเป็นจริงด้วยซ้ำ”
“ครับ แล้วคิดยังไงถ้าเขาแสดงแบบนี้หลังจากอ่านบทด้วยการใช้เวลาเพียงแค่ 1 นาทีล่ะครับ?”
“คุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ?”
“ถึงฉันจะไม่รู้รายละเอียดอะไรมาก แต่การแสดงระดับนี้คงต้องทุ่มเทอย่างหนักแน่นอน”
"พวกคุณหมายความว่ายังไงกันคะเนี่ย?"
“ผมว่าเราแค่ดูการสัมภาษณ์ของเขาก็พอแล้วล่ะครับ”
ในไม่ช้า บทสัมภาษณ์สั้นๆ ของคังวูจินที่ได้หยุดการแสดงแล้วก็ถูกเล่นทางทีวี เขาดูหยิ่งผยองมากระหว่างที่เขาตอบคำถาม 'ผมเรียนรู้ด้วยตัวเอง' หรือบางทีเขาอาจจะเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง ซึ่งพอวิดีโอมาถึงจุดนี้ ผู้กำกับซงมันวูก็ถามอีกครั้ง
“คุณคิดว่านี่คือตัวจริงของเขาหรือเปล่า?”
“...ฉันรู้สึกสับสน”
“ใช่มั้งคะ?”
จากนั้นผู้กำกับซงมันวูที่มีหนวดเคราก็ขยับเข้าไปใกล้พัคอึนมีที่กำลังจ้องดูทีวีอยู่
“การแสดงของเด็กคนนั้นมันดูบ้ามาก แต่เขากลับสามารถสับเปลี่ยนอารมณ์ได้ดั่งใจนึก มันเย็นเดี๋ยวก็ร้อนเดี๋ยวก็หนาว เหมือนคนโรคจิต พอคุณเห็นเขา คุณไม่นึกถึงตัวละครหนึ่งในบทเหรอ?”
หลังจากนั้นพัคอึนมีก็กลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง เธอหันกลับมาแล้วมองบนโต๊ะทันที
บนโต๊ะ สิ่งที่เธอเห็นคือ...
"อา"
มันเป็นเนื้อหาข้อมูลคนต่อต้านสังคมที่ผู้ช่วยนักเขียนไปรวบรวมมาให้เธอ
เช้าวันรุ่งขึ้น วันที่ 13 ในอพาร์ทเมนท์ของคังวูจิน
เวลาประมาณ 8 โมง คังวูจินที่กำลังหลับอยู่จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา ผมของเขายุ่งเหยิงและมีบทมากมายกระจัดกระจายอยู่รอบๆ หัวเตียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะหลับไปในขณะที่อ่านบทพวกนี้
แต่ถึงอย่างไร...
"อึบ"
คังวูจินที่ลุกขึ้นก็ได้ยืดเส้นยืดสาย เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำ จากนั้นเขาก็เช็คโทรศัพท์ของเขา เมื่อถึงจุดนี้เอง เขาก็ได้หยุดชะงักไป
“โอ้มาถึงแล้ว”
เขาได้รับข้อความจากคนแปลกหน้า คงเป็นพีดีรายการ ‘สุดยอดนักแสดง’ ที่ได้ส่งวิดีโอการแสดงมาให้เขา คังวูจินดาวน์โหลดวิดีโอลงในโทรศัพท์ของเขาทันที
ควั่บ!
เขานั่งขัดสมาธิ เขาต้องตรวจสอบวิดีโอ แต่ก็ไม่สามารถรวบรวมพลังใจไปเปิดวิดีโอได้อย่างง่ายดายนัก
“ก็มันค่อนข้างน่าอายพอสมควรนิ”
ความอับอายที่เขาฝังมันไว้ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกเหมือนเตะผ้าห่ม รู้สึกอึดอัดแม้กระทั่งการฟังเสียงที่บันทึกไว้ของตัวเอง ยิ่งคิดว่าต้องดูวิดีโอการแสดงของตัวเอง มันยิ่งทำให้เขารู้สึกอายขึ้นมากกว่าเดิม
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แต่ก็นะ....
“วุ้ย-ใจเย็นๆ ก่อนไอ้เสือ มันก็แค่วิดีโอเอง”
คังวูจินต้องดูมัน เพราะวิดีโอนี้เป็นหลักฐานของการเข้าสู่มิติอันว่างเปล่าครั้งแรกของเขา
ในไม่ช้านั้นเอง
- ฟึบ
คังวูจินเปิดวิดีโอที่บันทึกไว้ ภาพของเขาปรากฏบนโทรศัพท์ของเขา มันเป็นคังวูจินที่มีสภาพน่าขยะแขยง แต่เขาก็สามารถอดทนดูมันได้
ได้เพียงประมาณ 5 วินาที
“หือ?”
คังวูจินเอียงศีรษะ ความอับอายภายในใจที่คุกรุ่นลดลงไปมาก เหตุผลนั้นธรรมดามาก
“นี่…เอาจริงเหรอ?”
การแสดงของเขาในวิดีโอที่ถ่ายมาจากโทรศัพท์ดูไม่เลวเลย แต่การได้เห็นตัวเขาแสดงเช่นนี้มันก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดพอสมควร
ซึ่งในขณะเดียวกัน
"ฉันป่วยไหมเนี่ย? ฉันสามารถแสดงแบบนั้นออกไปได้ด้วยเหรอ?”
มันไม่ใช่ทักษะการแสดงที่จะทำให้เขารู้สึกอับอายหรือละอายใจอีกต่อไป ที่จริงเขารู้สึกอายแค่ชั่วครู่เท่านั้น เพราะในวิดีโอต่อจากนั้นเขาคล้ายดั่งถูกแทงและกรีดร้องออกไปสุดเสียง
“...ว้าว น่ากลัวเกินไปไหม?”
คังวูจินถึงกับเอ่ยคำชมออกไปโดยไม่รู้ตัว นี่ฉันจริงๆ เหรอ? แน่นอนว่าเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการแสดง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่ามันดีขนาดไหน แต่ในฐานะผู้ชม เขารู้สึกว่าตัวเขาในวิดีโอนั้นยอดเยี่ยมมาก
ก่อนที่เขาจะรู้ตัว คังวูจินก็หมกหมุ่นอยู่ในวิดีโอ จากนั้นเขาก็ตระหนักอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ไม่เห็นน่าอายตรงไหนเลยนิ?”
เขาไม่รู้สึกอายสักนิดเดียว
“จะว่าไปพอย้อนคิดกลับไปก่อนหน้านี้ ไหงฉันรู้สึกแบบนั้นกันนะ?”
เขาคงเมาค้างและสมองยังทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพนัก นอกจากนี้คังวูจินยังไม่รู้เกณฑ์ที่ชัดเจนกับคำว่า ‘การแสดงที่ดี’ ด้วย แม้ว่าทุกคนจะยกย่องว่าเขาแสดงได้ดี แต่เขาก็ดันคิดเอออออไปเองว่ามันแย่ นั่นแหละสภาพคังวูจินเมื่อวานนี้
อย่าลืมสิว่าการแสดงจำเป็นต้องให้คนอื่นประเมิน ไม่ใช่ตัวเขาเอง
น่าเสียดายที่คังวูจินดันวิ่งหนีไปทันทีที่เขาแสดงจบ หนีไปด้วยความอับอายที่ท่วมท้น ซึ่งตอนนี้คังวูจินที่สงบเล็กน้อยก็เริ่มนึกถึงเรื่องเมื่อวันก่อนขึ้นมา
‘ถ้าการแสดงของฉันมันน่าเหลือเชื่อมากขนาดนี้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันใช้ความสามารถนี้ดีๆ ล่ะ?'
ทันใดนั้นประวัติศาสตร์อันดำมืดที่ฝังอยู่ในใจของเขาก็ถูกลบเลือนไป คำถามที่ถูกถามโดยกรรมการทั้งสามนั้นไม่ได้เกิดจากการถามไปตามมารยาท เป็นเพราะความตกใจต่างหาก คงพีดีของรายการ 'สุดยอดนักแสดง' ก็คงเหมือนกัน
"เดี๋ยวก่อนนะ แสดงว่าที่ฉันผ่านรอบแรกไปไม่ใช่เพราะพวกเขาจะเอาฉันไปเป็นตัวฮา แต่หมายความว่าฉันผ่านการแสดงจริงๆ สินะ”
ทุกคนที่คังวูจินพบเมื่อวันก่อนต่างหลงเสน่ห์การแสดงของเขา นั่นแหละคือข้อสรุป ณ ตอนนี้
“อ่า แม่งเอ๊ย”
คังวูจินเอามือข้างหนึ่งปิดหน้า เพราะเขาจำความคิดอันน่าสะพรึงกลัวของเขาเมื่อวันก่อนได้ดี เหตุใดเขาถึงพยายามทำหน้าจริงจังแกล้งทำเป็นเข้มแข็งและตอบไปแบบนั้นกัน
“ฉันคงบ้าไปแล้ว”
ในเวลาเขาทำเพื่อกลบเกลื่อนความอายของเขา แต่เมื่อมองย้อนกลับไป มันกลับดันทำให้เขาดูเหมือนคนอวดดีเสียอย่างนั้น
“พวกเขาคงเห็นฉันเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างมากเลยสินะ”
ได้กลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการแสดงหรือปีศาจนักแสดงอัจฉริยะ ชื่อเสียงเช่นนี้คงสูงส่งจนทำให้ใครหลายคนรู้สึกอิจฉาริษยา แต่เขาดันทำตัวอวดดีมากขนาดนี้ เฮ้อ น่าเสียดายเสียจริงที่ก้อนหิมะแห่งความเข้าใจผิดดันได้เริ่มกลิ้งไปแล้ว แถมกลิ้งไปเร็วมากเสียด้วย
แน่นอนว่าคนที่เกี่ยวข้องอย่างคังวูจินไม่รู้อะไรเลย
จากนั้นเอง
“ช่างเถอะ”
คังวูจินที่พึมพำเบาๆ ก็ได้ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
“พวกเขาเป็นคนที่ฉันจะไม่ได้เจอหน้าอีกแล้ว ดังนั้นฉันไม่เห็นจำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักหน่อย”
สิ่งที่เขาต้องให้ความสำคัญในตอนนี้คืออีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
“ดูเหมือนว่าฉันจะสามารถเข้าสู่ความว่างเปล่าหรืออะไรก็ตามได้ ขอเพียงมันมีบทสินะ”
คังวูจินสามารถแสดง ' ชายผู้หวาดกลัว' ของเมื่อวันก่อนได้แบบเป๊ะมาก เหมือนมันเป็นความรู้สึกที่ได้ถูกบันทึกไว้ในสมองของเขา ในไม่ช้าคังวูจินก็กอดอกและมองไปที่บทที่อยู่ข้างๆ เขาอย่างเงียบๆ
มันยังคงมีสี่เหลี่ยมสีดำถัดจากตัวบท
จากนั้นเขาก็พึมพำเบาๆ
“ถึงพูดแบบนี้มันจะดูไร้สาระก็เถอะ แต่ฉันลองไปเป็นนักแสดงแทนการไปทำงานในออสเตรเลียจะดีกว่าไหมเนี่ย?”
ตอนนั้นเอง
- ริง ริง
โทรศัพท์ในมือของเขาดังขึ้นเป็นเวลานาน มีสายเข้าและเป็นหมายเลขที่ไม่รู้จักปรากฏบนหน้าจอ ด้วยเหตุนี้คังวูจินจึงเอาโทรศัพท์แนบหูอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ครับผม สวัสดีครับ?”
เสียงผู้ชายดังมาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์
“คุณคังวูจิน?? ผมคือพีดีซงมันวู คุณจำได้ไหม? ผมนั่งอยู่ตรงกลางที่นั่งของกรรมการครับ”
“โอ้ คุณคนที่มีหนวดเครา”
ปลายสายคือพีดีซองมันวู
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถูกต้องแล้วครับ ไม่มีอะไรมากนักหรอก แต่เราพอจะมาเจอกันได้ไหมครับ? เอาแบบเร็วที่สุดเท่าที่คุณจะว่าง”
ฉันเหรอ? ทำไมล่ะ? เขานิ่งไปพักใหญ่ คังวูจินขมวดคิ้วและกระแอมในลำคอเบาๆ จากนั้นเขาจึงตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ผมว่าคุณควรบอกผมก่อนนะครับว่ามีเรื่องอะไร?”
ดูท่าเขาคงต้องแสดงบทบาทอันแสนอวดีของเขาต่อไป