บทที่ 42 หยางหมิง เจ้าสุนัขตาบอด
ระหว่างที่หยางเสี่ยวเทียนกำลังจะถูกฟันจนขาดครึ่งด้วยดาบของหลินเฉิงซิน ทันใดนั้น ลำแสงสีครามสว่างใสดุจหยก รี่ประกายวับจากฝ่ามือราบข้างลำตัวเขา พุ่งตรงยังหน้าอกของหลินเฉิงซินชั่วพริบตาท่ามกลางความมืดมิด
จู่ๆ หลินเฉิงซินก็รู้สึกชายังหน้าอกตน ทว่าไม่นาน มันก็แปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดแสนสาหัสบีบให้เขาก้มหน้าลงมอง ถึงพบกระบี่ยาวเล่มหนึ่งปักแทงทะลุอกตนอยู่
เขาค่อยๆ เลื่อนสายตามองตามตัวกระบี่ไป จนพบกับมือน้อยหนึ่งกระชับด้ามกระบี่แน่นด้วยมือเพียงข้างเดียว และมือนั้นมิใช่ใครอื่น แต่เป็นของหยางเสี่ยวเทียนที่พลันจับจ้องนัยน์ตาเขาสีหน้าเรียบเฉย
ม่านตาเขาเบิกกว้างด้วยไม่เชื่อ ครู่หนึ่งก็พลันได้ยินเสียงเรียบเย็นลอดไรฟันส่งผ่านอากาศราวกับเสียงแว่ว
“เจ้าเช่นกัน หากเกิดใหม่ภพหน้า อย่าออกมาวิ่งเล่นในยามวิกาลเช่นคืนนี้”
น้ำเสียงที่หยางเสี่ยวเทียนเอื้อนเอ่ยนั้นช่างเยือกเย็นไร้ปราณี ไม่ช้าเขาก็กระชากกระบี่ตงเทียนออก แล้วเหวี่ยงไปด้านข้างสะบัดของเหลวโสโครกที่เปื้อนเปรอะอยู่ยังคมกระบี่ทิ้ง
ทันที่ทีกระบี่ถูกดึงออก เลือดก็พ่นทะลักจากอกของหลินเฉิงซิน หลั่งไหลลงตามลำตัวปานสายธารขนาดย่อม
ฉากนี้ประทับอยู่ในสายตาของหลี่กวงกับชิวไห่ชิว ความสยดสยองนี้เริ่มก่อตัวภายในจิตใจ จนเกิดเป็นความกลัวส่งผ่านไปทั่วกาย ทำเอาแขนขาสั่นสะท้านไปหมด
จนกระทั่ง ร่างไร้วิญญาณของหลินเฉิงซินล้มลงกระแทกกับพื้นแข็งเสียงดัง ทั้งสองถึงได้คืนสติ
“เจ้า!” เสียงร้องสะดุ้งตกใจดังลั่น ซ้อนน้ำเสียงจากคนทั้งสองที่อุทานออกมาพร้อมกัน
หลี่กวงและชิวไห่ชิว ยังไม่ทันเห็นเลยว่าหยางเสี่ยวเทียนชักกระบี่ออกมาตอนไหน เมื่อไร
หลินเฉิงซิน ในฐานะหัวหน้าองครักษ์ของเจ้าเมืองซิงเยว่ เขาเป็นถึงวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์ระดับสี่ตอนปลาย ซึ่งภายในปีหน้า เขาก็จะทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ระดับห้าได้สำเร็จ
แต่มาบัดนี้ วิญญาจารย์ผู้โดดเด่นคนนั้น กลับถูกสังหารไปแล้ว!
ด้วยน้ำมือของเด็ก อายุเพียงแปดขวบ
หลี่กวงและชิวไห่ชิวช้อนตามองไปยังหยางเสี่ยวเทียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด ในมือถืกกระบี่พร้อมกับแววตาสะท้อนแสงรำไรราวกับปีศาจ แผ่กลิ่นอายอันน่าพรั่นพรึงราวกับมิใช่เด็ก
ทันใดนั้น ใบหน้าของพวกเขาก็ซีดเผือดลง เผยให้เห็นถึงความหวาดหวั่น แรงกดดันมหาศาลบังคับขาให้ก้าวถอยหลังไปอย่างพร้อมเพรียงกัน สวนลึกในจิตใจร่ำร้องให้หนีไป... หนีไป…
เด็กแปดขวบที่เพิ่งปลุกวิญญาณยุทธ์ขึ้นมาได้เพียงสองเดือน ตอนนี้กลายเป็นวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์
ทันทีที่นึกถึงเรื่องนี้ บรรยากาศก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบ ทำพวกเขาถึงกับขนลุกชันรู้สึกหนาวสั่นยันกระดูกสันหลังราวตัวตกสู่หล่มน้ำแข็ง
ชิวไห่ชิวหันขวับหาหลี่กวงพลันตะคอกด้วยโทสะ ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับสั่นเครืออย่างครั่นคร้าม
“เจ้าไม่ได้บอกเองหรือ ว่าเด็กคนนี้มีเพียงวิญญาณยุทธ์ขยะระดับสอง แล้วนี่มันอะไร”
ขณะที่หลี่กวงกำลังจะเปิดปากเอ่ย หยางเสี่ยวเทียนก็ผลุนผลันกระโจนขึ้นสูงเหนือพื้นราวสิบจั่ง ร่ายรำเพลงกระบี่ปลดปล่อยกระบวนท่า
“หนึ่งกระบี่ชั่วพริบตา!”
มิช้า ปราณกระบี่ก็ปรากฎลอยเด่นท่ามกลางเวหา คล้ายคลาม่านแสง จำแลงคล้ายจันทร์เสี้ยว
ม่านแสงกว้างใหญ่ฉายสุกสกาว ราวดอกไม้ไฟที่เจิดจ้าท่ามกลางนภาอันมืดมิด
แม้นม่านกระบี่จะพราวแสงงดงามน่าอัศจรรย์ แต่อากัปกิริยาของหลี่กวงและชิวไห่ชิวกลับผันเปลี่ยน รู้สึกถึงภยันตรายแลความตายที่ใกล้คืบคลานเข้ามา ปรากฏแก่สายตาเบื้องหน้า
ชั่วเพลานี้ ทั้งคู่ต่างมีความรู้สึกที่หลากหลายคละเคล้ากันไป ทั้งหวั่นวิตก โกรธแค้น แลเอาชีวิตรอด ก่อนคิดชักกระบี่ยาวในมือฟันออกไปอย่างสุดกำลัง
นี่คือการโจมตีที่รุนแรงและทรงพลังมากสุดในชีวิตของพวกเขา
เพียงเพื่อต้านทานม่านกระบี่ขนาดใหญ่จากเด็กน้อยอันกำลังซัดดิ่งเข้าหา
ปราณกระบี่จากพวกเขาทั้งสองฟันสวนขึ้นไปป้องกัน แต่กลับไร้ประโยชน์
เมื่อต้องเผชิญกับม่านกระบี่คล้ายจันทร์เสี้ยวขนาดใหญ่ ปราณกระบี่ที่พุ่งขึ้นไปต้านทานกลับสลายสิ้นครั้นโดนแรงปะทะอย่างหนักหน่วง ตัดผ่านลำคอของทั้งสองอย่างพร้อมเพรียงปานไร้สิ่งกีดขวาง
ชายทั้งสองยืนแข็งทื่อ
จิตรับรู้ของหลี่กวงผันดับ ดั่งโลกเงียบงันลงทันตา
ขณะร่างโอนเอนไปข้างหน้า หลี่กวงพลันปักกระบี่ในมือลงพื้นเบื้องล่าง เพื่อช่วยพยุงร่างไร้เรี่ยวแรงของตนเอาไว้ ก่อนที่ความพยายามจากแรงหยาดสุดท้ายจะ
ส่งร่างหลี่กวงและชิวไห่ชิวล้มลงกองกับพื้นแข็งไปทีละคน
ทั้งสองทำได้เพียงนอนตาลอยแน่นิ่ง เหม่อมองดูเลือดที่ไหลหลั่งออกจากลำคอของกันและกันอย่างน่าสังเวช
หยางเสี่ยวเทียนสืบเท้าเข้าหาพวกเขา แล้วเหลือบมองร่างทั้งสองผู้สิ้นหวัง
ครั้นหลี่กวงเห็นเท้าของเด็กน้อยตรงหน้า เขากลับอยากใช้แรงที่เหลืออันน้อยนิด ดึงคว้าเพื่อบอกกล่าวบางอย่างแก่เขา แต่กลับทำได้แค่เขยื้อนมือไม้เท่านั้น
หลี่กวงแสดงรอยยิ้ม กล่าวออกมาน้ำเสียงแหบแห้งแผ่วเบา “หยางหมิง เจ้ามันตามืดบอด”
แน่นอนว่าหยางหมิงไม่ใช่คนเดียวที่ตามืดบอด
เขาเองก็ไม่เคยพบใครในโลกแห่งวิญญาจารย์ ที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ได้ภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน หลังปลุกวิญญาณยุทธ์
หยางเสี่ยวเทียนคนนี้ มีเพียงวิญญาณยุทธ์เต่าขยะระดับสองจริงหรือ
วิญญาณยุทธ์เขา คือวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงหรือเปล่า
หรือบางที อาจเป็นขั้นสูงสุด!
นี่คือความคิดสุดท้ายในใจของหลี่กวง ก่อนสิ้นลมหายใจ
ข้างๆ ร่างไร้วิญญาณของหลี่กวง ชิวไห่ชิวกำลังพยายามอ้าปากพะงาบๆ อย่างเต็มที่เพื่อสูดอากาศหายใจ ซึ่งมันทำให้เขาได้รู้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ว่าการหายใจสำคัญมากแค่ไหน
“หยาง… เสี่ยว… เทียน” น้ำเสียงแผ่วเบาพยายามเอ่ยจดจำชื่อนี้ไว้ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ
ชิวไห่ชิวเป็นหนึ่งในนักปรุงโอสถที่อายุน้อยที่สุดในอาณาจักรเสินไห่ และมีอนาคตสดใสไร้ขีดจำกัด แต่ตอนนี้ กลับต้องมาตายในถิ่นทุรกันดารแห่งนี้
วันนี้ เขายังไม่อยากตาย ไม่อยากตายในที่แบบนี้
“อาจารย์ ล้างแค้นแทนข้า ด้วย…” ใบหน้าจมไปกับพื้นเย็นหลังได้เอื้อนเอ่ยประโยคสุดท้าย
สิ้นเสียง ลมหายใจสุดท้ายของชิวไห่ชิวก็พลันหยุดลงและไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ