ตอนที่แล้วบทที่ 40 ข้าจะเป็นนักปรุงโอสถ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 42 หยางหมิง เจ้าสุนัขตาบอด

บทที่ 41 นักปรุงโอสถระดับหนึ่งดาว


เมื่อรับรู้ถึงอันตรายได้อย่างนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็ออกตัวเคลื่อนไหว ปรี่ตรงไปทางต้นเสียงโหยหวนหวีดแหลมด้วยเจ็บปวดของมัน เขาเพิ่มความเร็ววิ่งไปข้างหน้าเป็นสองเท่า ให้ถึงตัวมันโดยเร็วที่สุด

ไม่นานนัก หยางเสี่ยวเทียนก็มาถึงยังสถานที่เกิดของเสียง

เขาหยุดอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ สอดส่องประมาณสถานการณ์เบื้องหน้า ว่ามีผู้อื่นใดอีกหรือไม่นอกจากพวกคนชั่วกลุ่มนั้น

หนึ่งในสามคนตรงนั้น คงจะเป็นผู้คอยควบคุมออกคำสั่ง เฝ้าดูอีกสองคนยืนปิดล้อมขัดขวางทางหนีของเจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทองสหายเขา

พอหลังได้ลองสังเกตดูดีๆ หนึ่งในคนที่คอยกั้นกางขวางทางตรงนั้นกลับไม่ใช่ใครที่ไหน ซึ่งเขาพอจะคุ้นหน้าและรู้จักเป็นอย่างดี หลี่กวง ผู้นำตระกูลหลี่แห่งเมืองซิงเยว่

ส่วนอีกคน ผู้สวมชุดเกราะองครักษ์แห่งเมืองซิงเยว่ ดูแล้ว น่าจะเป็นองครักษ์ของเจ้าเมืองซิงเยว่

สำหรับชายหนุ่มผู้เฝ้าดูอยู่ไม่ห่าง ชุดเสื้อคลุมผ้าทอขาวสะอาดที่เขาสวมใส่ คล้ายของชุดเหล่านักปรุงโอสถนัก หยางเสี่ยวเทียนเบิกตาตื่นขณะไล่มองดูชายชุดขาวนั้นอย่างละเอียด ก่อนเห็นเหรียญรูปดาวกลัดยังหน้าอกอันชัดเจน

นักปรุงโอสถ หนึ่งดาว!

แม้นหยางเสี่ยวเทียนจะอยู่ในโลกนี้มาหลายปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นนักปรุงโอสถตัวเป็นๆ

เสื้อคลุมสีขาวสะอาดและเหรียญตราหนึ่งดาวอันได้รับจากสมาคมนักปรุงโอสถ มันแสดงถึงอำนาจแลเกียรติยศ ที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือแตกต่างจากผู้ที่เป็นถึงวิญญาจารย์ทุกคน

และในเมืองซิงเยว่แห่งนี้ มีนักปรุงโอสถเพียงคนเดียว จึงทำให้หยางเสี่ยวเทียนรู้ได้ทันที ว่าอีกคนตรงนั้นคือ ชิวไห่ชิว ผู้ที่เจ้าเมืองซิงเยว่นับถือเป็นปูชนียบุคคลประจำเมือง

การคาดเดาของหยางเสี่ยวเทียนมิผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย ชายหนุ่มคนนี้คือชิวไห่ชิว

แม้ชิวไห่ชิวจะอายุเพียงยี่สิบปี แต่เขาสามารถทดสอบผ่านการเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่งดาวได้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา และเป็นถึงวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์ระดับห้า จะเรียกว่าเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ผู้โดดเด่นที่สุดในอาณาจักรเสินไห่แห่งนี้ก็มิแปลกแต่อย่างใด

หากไร้ซึ่งคำเชื้อเชิญอันจริงใจจากเจ้าเมืองซิงเยว่ และความจริงที่ว่าทั้งสองตระกูลสนิทกัน ไหนเลยจะมายังเมืองทุรกันดารเช่นนี้

เมื่อชิวไห่ชิวเห็นเลือดของสัตว์เดรัจฉานที่ไหลหยดออกมาจากแผลฉกรรจ์เจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทอง หลังพวกเขาพยายามหาทางทำร้ายมันจนบาดเจ็บเพื่อดูพิสูจน์บางอย่าง เขาก็เผยแสยะยิ้มทันทีก่อนกล่าวด้วยความพอใจ

“สัตว์วิญญาณตัวนี้แท้จริงแล้วไม่ธรรมดา เลือดมันมีของเหลวสีทองปะปนอยู่ด้วย มีความใกล้เคียงกับสัตว์วิญญาณบรรพกาลมันไม่น้อย หากใช้โลหิตของมันมาหลอมเป็นโอสถ อาจหลอมได้กระทั่งโอสถขั้นเซียนเทียน”

ซึ่งหมายความว่า สามารถเลื่อนระดับพลังยุทธ์ให้สูงขึ้นได้ หากมีเลือดของมันนำไปหลอมโอสถขั้นเซียนเทียน

“อย่าปล่อยให้สัตว์วิญญาณตัวนี้หนีไปได้”

คนที่ปิดล้อมสัตว์วิญญาณเกราะทองร่วมกับหลี่กวง คือหลินเฉิงซินหัวหน้าองครักษ์ของเจ้าเมืองซิงเยว่ หลินเฉิงซินยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างลำพองแล้วพลันเอ่ย

“คุณชายชิวโปรดวางใจ สัตว์วิญญาณตัวนี้ไม่มีทางหลุดมือเราไปได้แน่”

“อย่าได้ฆ่ามันเชียว ต้องจับมันทั้งเป็นเท่านั้น เพราะข้าจะกรีดเอาเลือดมันออกมาทีละน้อย!” จู่ๆ ชิวไห่ชิวก็พลันหยุดชะงักหลังกล่าวจบ ในแววตาปรากฎเห็นบางอย่างมิใกล้มิไกลนัก

ครั้นตั้งใจเพ่งมองโดยพินิจ ก็เห็นเป็นเด็กอายุเจ็ดหรือแปดขวบกำลังเยื้องย่างใกล้เข้ามาอย่างเชื่องชาราวไม่หวาดกลัวกับสิ่งที่พวกตนกระทำเลย

เช่นเดียวกับหลี่กวงและหลินเฉิงซิน ทั้งคู่พลันหยุดการกระทำทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นหยางเสี่ยวเทียน

ระหว่างที่ทั้งสองตะลึงจนเสียสมาธิ สัตว์วิญญาณเกราะทองก็ได้โอกาส มันฟาดหางเข้าใส่พวกเขาจนร่างปลิวออกไปอย่างทันควัน

มันรีบเร่งเข้าหาหยางเสี่ยวเทียน ขยับมือไม้กรีดกรายอย่างร้อนใจ คล้ายแสดงท่าทางบอกกล่าว คล้ายอธิบายให้หยางเสี่ยวเทียนฟัง

“เจ้าเป็นหลานชายของหยางหมิงมิใช่รึ” แม้ว่าค่ำคืนนี้จะวิกาลไปมาก แต่ทว่าหลี่กวงยังจดจำใบหน้าของหยางเสี่ยวเทียนได้เป็นอย่างดี

ชิวไห่ชิวและหลินเฉิงซินได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งตกใจ เมื่อได้ยินว่าเขาเป็นหลานชายของหยางหมิง

“เขาคือหยางจงงั้นหรือ” ชิวไห่ชิวขมวดคิ้วปมพลันถามอย่างสงสัย

หากเด็กเบื้องหน้าตนคือหยางจง นั่นคงจะเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว

เนื่องจากหยางจงเป็นศิษย์ของเฉินหยวนแห่งสำนักเสินเจี้ยน สำนักใหญ่แห่งอาณาจักรเสินไห่

หลี่กวงส่ายศรีษะและอธิบาย “ไม่ใช่ เด็กคนนี้คือหยางเสี่ยวเทียน” จากนั้นยิ้มเยาะพร้อมกล่าวเสริมอย่างใจเย็น

“เขาเป็นผู้ที่ปลุกวิญญาณยุทธ์เต่าขยะระดับสอง ผู้นั้นอย่างไรเล่า”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ชิวไห่ชิวพลางได้ถอนหายใจ รู้สึกคลายกังวลราวยกภูเขาออกจากอก

ในเมื่อเขาไม่ใช่หยางจง มันก็เป็นเรื่องง่ายหากคิดจะปิดปาก แล้วทำนิ่งเฉยปิดตาอุดหู ผู้ใดจะล่วงรู้ได้

ขณะหยางเสี่ยวเทียนคุกเข่าข้างหนึ่งดูบาดแผลบนร่างของเจ้าสัตว์วิญญาณเกราะทอง เขาก็พลันเบือนหน้าสะเทือนอ่อนไหวจากสหาย ชายตาช้อนขึ้นมองหลี่กวงและชิวไห่ชิวด้วยแววตาเยือกเย็นอันแผ่จิตสังหารที่รุนแรงออกมา

แต่เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น ชิวไห่ชิวก็กล่าววาจาเย้ยหยันทันที “ดูแววตาเจ้าหนูนั่นสิ มิใช่ว่าเขาอยากจะฆ่าเราจนตัวสั่นแล้วหรือ ฮ่าๆๆ”

จากนั้น ชิวไห่ชิวก็หันกลับมายิ้มกระหยิ่มใจแก่หลี่กวง ส่งสายตาเชิงเวทนาแล้วกล่าววาจาอำมหิต

“ฆ่ามันซะ!”

หลี่กวงพยักหน้ารับคำอย่างไม่ลังเล แต่ระหว่างที่เขากำลังจะก้าวออกไป หลินเฉิงซินก็ปรี่ยกมือเข้ามาขวางเอาไว้ทันควัน

“ช้าก่อนท่านหลี่ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่จำเป็นต้องถึงมือท่านกระมัง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าดีกว่า” กล่าวจบ หลินเฉิงซินก็เดินตรงเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนในสายตาเหี้ยมเกรียมไร้ความปราณี

“เจ้าเด็กเหลือขอ หากเกิดใหม่ภพหน้า จงจำไว้ ว่าอย่าออกมาวิ่งเล่นคนเดียวในยามวิกาลอีก มิฉะนั้น เจ้าจะได้ตายเช่นคืนนี้”

เมื่อหลินเฉิงซินกล่าวจบ เขาก็ชักดาบออกมาเหวี่ยงมันเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด