บทที่ 25 ฮวงจุ้ยไม่ดี
อาจารย์กับนักเรียนต่างเงียบกริบ อ้วนหวังได้ยินว่าหลินชิงอิ่นใช้วิธีเสี่ยงทายในการสอบ เขาเหงื่อแตกพลั่ก แม้ในใจจะเกรงกลัวอาจารย์ แต่ก็ยังฝืนเข้าไปช่วยกล่อมประโลม "ที่นี่ของท่านปรมาจารย์น้อยเสร็จแล้ว เธอควรกลับไปทบทวนบทเรียนได้แล้ว เธอบอกเองไงว่าพรุ่งนี้ยังมีสอบอีก"
หลินชิงอิ่นพยักหน้ารัวๆ สะพายกระเป๋าหนังสือที่เต็มไปด้วยเงินแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว "อาจารย์หลี่ สวัสดีค่ะ!"
หลี่เหยียนอู่มองแผ่นหลังของหลินชิงอิ่นแล้วหัวเราะเยาะ รอดูเถอะว่าพอผลสอบออกมา ฉันจะดูว่าเธอทบทวนหนังสือได้ดีแค่ไหน!”
คุณยายแม่ของหลี่เหยียนอู่คุยกับลูกสะใภ้เสร็จแล้วเงยหน้าขึ้นมา พบว่าหลินชิงอิ่นไปแล้ว เธอเสียดายจนทุบอกตีขา "ดูสิ ยังไม่ได้ขอบคุณท่านปรมาจารย์น้อยให้ดีๆ เลย"
หลี่เหยียนอู่นึกถึงรายได้ของหลินชิงอิ่นในคืนนี้ ในใจมีฟองอากาศป่องขึ้นมาเล็กน้อย "แม่ครับ แม่ขอบคุณเขาไปสองแสนกว่าแล้วนะ จะขอบคุณยังไงอีกล่ะ"
"นั่นมันซื้อเครื่องรางต่างหาก ที่เราได้เจอท่านปรมาจารย์น้อยวันนี้ถือว่าโชคดีมาก ไม่งั้นท่านจะไม่ยอมขายเครื่องรางหรอก" คุณยายจ้องหลี่เหยียนอู่อย่างดุดัน "พอเจอท่านปรมาจารย์น้อยที่โรงเรียน อย่าลืมนัดเขาดูดวงเรื่องเมื่อไหร่เธอจะมีแฟนบ้างนะ อายุจะสามสิบแล้วยังไม่มีแฟน ไม่อายเขาบ้างเหรอ!"
หลี่เหยียนอู่ได้ยินเกี่ยวกับอายุของตัวเองแล้วใจสลาย "ผมเพิ่งจะยี่สิบเจ็ดเองนะครับแม่!"
"อะไรนะ!" คุณยายอุดหูทำท่าทางรังเกียจ "สามสิบแล้วยังไม่มีอะไรดีๆ เลย!"
หลี่เหยียนอู่ครางฟูมฟาย ผมแค่อายุยี่สิบเจ็ด!!!
"อย่าลืมไปหาท่านปรมาจารย์น้อยดูดวงล่ะ!" คุณยายเตือนเขาอีกครั้ง จากนั้นก็โบกมือไล่ "ไปได้แล้ว รีบกลับบ้านไป อย่ามาวุ่นวายที่บ้านพี่ชายเธอ พี่สะใภ้ต้องพักผ่อน!"
หลี่เหยียนอู่ลูบหัวโล้นๆ ของตัวเอง เขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ไปหาหลินชิงอิ่นดูดวงเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
---
สองวันของการสอบผ่านไปอย่างรวดเร็ว อาจารย์ทั้งหลายต่างอดหลับอดนอนตรวจข้อสอบและจัดอันดับคะแนนกันจนเสร็จ
โรงเรียนวางแผนจะแบ่งห้องเรียนใหม่สำหรับนักเรียนมัธยมปลายปีที่ 2 ดังนั้นผลการจัดอันดับครั้งนี้จะไม่ประกาศ จะแจกข้อสอบและเฉลยอย่างเดียว ส่วนอันดับคะแนนจะเป็นแนวทางในการแบ่งห้องเรียนเท่านั้น ที่ต้องแบ่งห้องครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพื่อหลินชิงอิ่น แต่ยังเป็นเพื่อเหล่านักเรียนที่ยังอยากตั้งใจเรียนด้วย
ในครึ่งเดือนนี้ หลินชิงอิ่นทบทวนบทเรียนไปได้แค่ครึ่งเดียวภายใต้การช่วยติวของเจียงเว่ย แต่ในการสอบ เธอใช้วิธีทำโจทย์ประกอบการเสี่ยงทาย ผลปรากฏว่าสอบได้อันดับ 15 แต่พอดูใบแสดงผลการเรียน ก็จะรู้ว่าที่เธอได้อันดับนี้มาเพราะคะแนนเต็มในวิชาคณิตศาสตร์เป็นหลัก ข้อสอบคณิตศาสตร์ครั้งนี้ค่อนข้างยาก นักเรียนหลายคนเสียคะแนนในส่วนนี้ ในห้อง ม.1 มีแค่หลินชิงอิ่นคนเดียวที่ได้คะแนนเต็ม โดยคะแนนของคนอันดับ 2 ห่างจากเธอถึง 35 คะแนน
กระดาษคำตอบวิชาคณิตศาสตร์ของหลินชิงอิ่นนับว่าสมบูรณ์แบบ ส่วนวิชาสายศิลป์ที่เน้นการท่องจำก็ไม่เลว ภาษาอังกฤษอย่างน้อยได้ 115 คะแนน ฟิสิกส์ก็พอไปได้ ส่วนที่ย่ำแย่ที่สุดเห็นจะเป็นวิชาเคมีที่ไม่ได้ทบทวนเลย ยกเว้นข้อเลือกตอบ ที่เหลือเธอไม่ได้ทำเลย คะแนนสอบตกอย่างสิ้นเชิง
พอหลี่เหยียนอู่เห็นใบแสดงผลการเรียนในระบบครู เขาจึงถือโอกาสไปขอดูกระดาษคำตอบวิชาเคมีของหลินชิงอิ่นจากอาจารย์เคมี เมื่อเห็นข้อที่ว่างเปล่าเต็มไปหมด หลี่เหยียนอู่ก็รู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด โชคดีที่ข้อเลือกตอบวิชาภาษาอังกฤษมีสัดส่วนถึงสี่ในห้า ไม่อย่างนั้นผลคงย่ำแย่เหมือนวิชาเคมีแน่ๆ
ความสามารถในการเสี่ยงทายคำตอบนี่ช่างน่าอิจฉาแต่ก็ปวดหัวเสียจริง หลี่เหยียนอู่แทบไม่กล้าคิดเลยว่าที่จริงแล้วหลินชิงอิ่นรู้เนื้อหาไปมากแค่ไหน
เขากลัวว่าความจริงจะทำให้เขารับไม่ไหว!
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ปกครองเชื่อมโยงผลการสอบกับการแบ่งห้องครั้งนี้เข้าด้วยกัน ทางโรงเรียนวางแผนว่าจะจัดประชุมผู้ปกครองในหนึ่งเดือนหลังเปิดเทอม เพื่อแจ้งเรื่องการแบ่งห้องโดยใช้เหตุผลในการพัฒนาจุดเด่นที่แตกต่างกันของนักเรียน แล้วหลังแบ่งห้องเสร็จจะมีสอบรายเดือน ผู้อำนวยการโรงเรียนเน้นย้ำกับอาจารย์ประจำชั้นของห้อง 1 อย่างอาจารย์หยูเฉิงเจ๋อให้ดูแลหลินชิงอิ่นเป็นพิเศษ อย่าให้เกิดเหตุการณ์รังแกกันในโรงเรียนอีก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้จะอธิบายกับผู้ปกครองยังไง
หลินชิงอิ่นไม่เคยเจอผู้อำนวยการ เธอจึงไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรอยู่ หลังผ่านด่านการสอบไปได้ ในที่สุดเธอก็มีกำลังใจมากพอที่จะตอบแทนเพื่อนร่วมชั้นที่แสดงความห่วงใยเธอมาตลอดทั้งปีแล้ว
โรงเรียนมัธยมตงฟางกั๋วจี่เป็นโรงเรียนเอกชน นอกจากค่าเล่าเรียนที่แพงมากแล้ว สิ่งที่แตกต่างจากโรงเรียนมัธยมอื่นๆ มากที่สุดก็คือสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอน ภายในโรงเรียนมีแต่พื้นหญ้าเขียวขจี มีสนามกีฬาต่างๆ ครบครัน ในห้องเรียนไม่เพียงมีเครื่องปรับอากาศ แต่ยังมีกระถางต้นไม้ประดับเรียงรายอีกสิบกว่ากระถาง
นักเรียนมัธยมปลายไม่มีความอดทนที่จะดูแลรดน้ำต้นไม้พวกนี้ บางครั้งนักเรียนเวรจะนึกอยากรดน้ำสักครั้ง บางครั้งก็ขี้เกียจไปตักน้ำ เลยไม่รดเลย โชคดีที่ต้นไม้พวกนี้ดูแลง่าย ถึงจะดูรกหน่อย แต่ก็ยังเติบโตได้อย่างสมบูรณ์
ทุกเช้าจะมีคนมาเปิดประตูอาคารเรียน หลินชิงอิ่นมาถึงห้องเรียนแต่เช้า หลังจากวางกระเป๋าหนังสือแล้ว เธอก็หยิบกรรไกรออกมาตัดแต่งกิ่งใบไม้
ถึงแม้หลินชิงอิ่นจะไม่เคยปลูกต้นไม้มาก่อน แต่พืชพรรณเหล่านี้ก็มีพลังชีวิตในตัวของมันอยู่แล้ว เธอสังเกตว่าตรงไหนพลังชีวิตเข้มข้นก็ตัดแต่งเอาไว้ ส่วนกิ่งใบไหนที่กำลังจะตายก็เล็มทิ้งไป พอตัดแต่งเสร็จแล้วก็ดูมีทรงสวยงามไปอีกแบบ
หลินชิงอิ่นหยิบหินอุ่นห่านสองสามก้อนจากกระเป๋าใส่ลงไปในกระถาง ปรับตำแหน่งของกระถางให้เหมาะสม แล้วก็ตัดแต่งกระถางต่อไป รอจนกระทั่งเธอตัดแต่งกระถางทุกใบเสร็จ โยนกิ่งไม้และใบไม้แห้งทิ้งลงในถังขยะข้างบันได เพื่อนร่วมชั้น ม.1 ถึงค่อยๆ ทยอยมาถึงโรงเรียน
วิชาฮวงจุ้ยเชื่อว่า ทุกสิ่งล้วนเกิดจากพลังหยินหยาง การรุ่งเรืองและเสื่อมสลายของธาตุทั้งห้า ความบริสุทธิ์และเศร้าหมองของพลังหยินหยาง ล้วนส่งผลกระทบต่อกระแสพลังในร่างกายมนุษย์ เปลี่ยนแปลงโชคชะตาและความสุขทุกข์ของคน
แน่นอนว่าหลินชิงอิ่นไม่ได้ตั้งอาคมอัปมงคลในห้องเรียนหรอก การทำเช่นนั้นจะขัดกับความสงบเรียบร้อยของสวรรค์ และยังส่งผลเสียต่อชะตาชีวิตของเธอเองด้วย เธอเน้นเรื่องกฎแห่งธรรมชาติ อาคมที่เธอตั้งก็เช่นกัน
กฎแห่งธรรมชาติวางไว้ว่า "สร้างความดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว" อาคมที่หลินชิงอิ่นวางเอาไว้ก็เหมือนกับเป็นกฎธรรมชาติขนาดเล็ก การกระทำที่ต่างกันจะก่อให้เกิดวาสนาที่ต่างกัน รวมถึงโชคดีโชคร้ายและสุขทุกข์ด้วย
สรุปง่ายๆ ก็คือ พวกที่ชอบแกล้งคนอื่นก็รอรับกรรมไปเถอะ!
---
หลี่หมิงอวี่สะพายกระเป๋าหนังสือเดินโซเซเข้ามาในห้องเรียน วันที่มารายงานตัว เขาตั้งใจจะแกล้งหลินชิงอิ่นเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายกลับทำให้ตัวเองต้องแยกขาแถมหัวยังชนอีก จริงๆ แล้วเรื่องหัวชนถือเป็นเรื่องเล็ก แต่ปัญหาหลักคือการแยกขาอย่างรุนแรงทำให้ส่วนที่ไม่อาจเอ่ยถึงเกิดการบาดเจ็บ แค่แตะนิดเดียวก็ปวดแล้ว ตอนนี้เดินยังไม่ค่อยคล่องเลย
หลี่หมิงอวี่รู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย คนที่เห็นแก่ตัวเกินไปอย่างเขา แน่นอนว่าไม่ยอมสำนึกผิด กลับคิดว่าที่ตัวเองโชคร้ายเป็นเพราะหลินชิงอิ่นพูดเป็นนัยๆ เขาเลยแอบผูกใจเจ็บอยากจะหาเรื่องเอาคืนเธอ
เมื่อเห็นหลินชิงอิ่นกำลังยืนอยู่ที่ทางเดินข้างโต๊ะเรียน ปรับแต่งต้นไม้บนขอบหน้าต่าง หลี่หมิงอวี่ที่ขากางเกงยังหุบไม่สนิทดีเดินไปหาเพื่อนสนิทอย่างโจวจุนอี๋ พลางพยักเพยิดไปทางหลินชิงอิ่น "เฮ้ย นายไม่ช่วยแก้แค้นแทนพี่เหรอวะ"
โจวจุนอี๋ปัดผมไปมาอย่างไม่ยี่หระ "สองวันนี้ไม่ใช่มีสอบเหรอ อาจารย์ก็มาที่ห้องแต่เช้า ฉันไม่มีเวลาไปยุ่งกับยายนั่นหรอก แต่นายนี่สบายดีนะ เจ็บกระจอกนิดหน่อยยังหนีสอบได้ โชคดีจริงๆ!"
หลี่หมิงอวี่ไม่กล้าพูดอาการที่แท้จริงของตนออกมา เขาหัวเราะแหะๆ ก่อนจะลากโจวจุนอี๋เดินไปทางหลินชิงอิ่น "พอนึกถึงเรื่องวันนั้นแล้วฉันรู้สึกอึดอัดใจชะมัด ไปเอาเรื่องยายนั่นกัน"
จริงๆ แล้วถ้าพูดถึงหน้าตา หลินชิงอิ่นก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร ตอนเปิดเทอมใหม่ๆ นักเรียนผู้ชายต่างมองเธอตาละห้อย มีอะไรไม่มีอะไรก็ชอบเข้ามาหาเธอ แต่หลินชิงอิ่นเป็นเด็กเรียนดี เธอไม่อยากเสียเวลาคุยเรื่อยเปื่อยกับพวกเขาเลย พอโดนปฏิเสธไปสองสามครั้ง นักเรียนชายบางคนก็รู้สึกเสียหน้า คิดว่าหลินชิงอิ่นดูถูกเขา จึงเริ่มนำหน้ารังแกเธอ
การแกล้งคนนั้นทำให้เสพติดได้ พอเห็นหลินชิงอิ่นมีน้ำตาคลอเบ้า ไม่กล้าพูดอะไร พวกเขาก็รู้สึกสำเร็จสมใจ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ที่เห็นเข้าก็มีการเลียนแบบตาม พอผ่านไปหนึ่งเทอม หลินชิงอิ่นก็กลายเป็นเป้าถูกแกล้งประจำห้องไปแล้ว
โจวจุนอี๋เป็นหนึ่งในคนที่เริ่มแกล้งหลินชิงอิ่น เขามีฐานะค่อนข้างดี หน้าตาก็หล่อเหลา ตอนมัธยมต้นเขาได้รับความนิยมจากเพื่อนผู้หญิงเสมอมา ไม่นึกเลยว่าพอเพิ่งขึ้นมัธยมปลายก็ต้องมาเจอดินพอกหน้าจากหลินชิงอิ่นแบบนี้ เขารู้สึกเสียหน้าไม่น้อย ที่เขาแกล้งหลินชิงอิ่นหนักหน่อยอาจเป็นเพราะความรักที่กลายเป็นความเกลียดชัง ในห้องมีแต่เขากับหลี่หมิงอวี่นี่แหละที่ชอบเข้ามายุ่มย่ามกับหลินชิงอิ่นบ่อยที่สุด
นักเรียนโรงเรียนมัธยมตงฟางกั๋วจี่ไม่เยอะเท่าโรงเรียนรัฐบาล ทุกคนมีโต๊ะเรียนเป็นของตัวเอง ระหว่างโต๊ะมีทางเดินกั้นเอาไว้ ความเป็นส่วนตัวถือว่าค่อนข้างดี
โจวจุนอี๋เดินข้ามทางเดินไปด้านหลังของหลินชิงอิ่น ยื่นมือจะคว้าหางม้าของเธอ แต่หลินชิงอิ่นเหมือนจะมีตาอยู่หลังหัว เธอรีบก้าวไปด้านข้างพอดี โจวจุนอี๋เหยียบพลาดจนลื่นไถล เซถลาไปข้างหน้าสองก้าว ใบหน้าทั้งหมดปะทะเข้ากับกระถางต้นไม้อย่างจัง
หลินชิงอิ่นยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ข้างๆ ยิ้มจนหางตาย่น ยังช่วยเติมเชื้อไฟอีกว่า "ต้นไม้สวยๆ แบบนี้ ทำไมเธอถึงได้เอาหน้าไปขยี้มันด้วยล่ะ!"
เมื่อเช้ากระถางต้นไม้เพิ่งได้รับการรดน้ำ ดินเลยยังชุ่มแฉะไม่แห้ง โจวจุนอี๋เอาหน้าจมลงไปทั้งๆ ที่ยังมีน้ำ ทั้งดินหนาเป็นชั้นๆ ติดหน้า แถมยังเข้าไปในปากด้วย
บรรยากาศในห้องเรียนที่เคยเอะอะวุ่นวายพลันเงียบลง แต่แล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจออกมาอย่างรุนแรง พร้อมกับเสียงทุบโต๊ะ ห้องเรียนกลายเป็นเหมือนสนามรบไปเลย
แต่ก่อนคนที่ถูกเพื่อนทั้งห้องหัวเราะเยาะคือหลินชิงอิ่น แต่ตอนนี้กลายเป็นโจวจุนอี๋ไปแล้ว
โจวจุนอี๋เป็นคนรักษาหน้าตาอยู่แล้ว แค่ถูกน้ำสกปรกสาดจนเปียกไปทั้งตัวก็ถูกหัวเราะเยาะจนสติแตก แต่อย่างน้อยตอนนั้นก็ยังมีหลี่หมิงอวี่ที่โดนหนักกว่าเขามาดึงความสนใจคนอื่นไป ทำให้เขาพอจะรอดพ้นความอับอาย แต่วันนี้คนโชคร้ายมีแต่เขาคนเดียว ส่วนหลี่หมิงอวี่ก็ยังยืนอึ้งอยู่ข้างๆ เขา
โจวจุนอี๋ถ่มดินในปากออก เอามือถูหน้าลวกๆ เขาตะคอกอย่างอับอาย "หัวเราะอะไรกัน"
หลินชิงอิ่นหัวเราะเบาๆ แล้วหมุนตัวกลับไปนั่งที่เดิม โจวจุนอี๋หัวร้อนรีบวิ่งตามไปอีกก้าว ยื่นมือจะคว้าตัวหลินชิงอิ่น แต่เท้าของเขาเหยียบโดนดินเปียกที่เพิ่งเอาออกมา เขาเลยลื่นจนต้องแยกขาอีกครั้ง ก้นกระแทกพื้นอย่างจัง
ทันใดนั้น เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องไปทั้งห้อง แม้กระทั่งเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ยังถูกกลบไปเลย
หลินชิงอิ่นหันกลับมากอดอกมองไปทางหลี่หมิงอวี่ที่อึ้งตะลึงอยู่ข้างๆ เธอเลิกคิ้วแล้วเอ่ยว่า "ท่าทางนี้ดูคุ้นๆ นะ"
หลี่หมิงอวี่นึกถึงความหวาดกลัวตอนที่เขาถูกถอดกางเกงตรวจอาการบาดเจ็บบริเวณใต้ร่างกาย เขารีบหุบขาทันที ส่งสายตาเห็นใจให้เพื่อนรักของตน แล้วไม่พูดอะไรอีก รีบพากันไปโรงพยาบาลเถอะ เจ้าหน้าที่ที่นั่นผมรู้จักดี
หลี่หมิงอวี่ที่หุบขาแน่นพยุงโจวจุนอี๋ลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก ในที่สุดโจวจุนอี๋ก็รู้แล้วว่าทำไมวันนั้นหลี่หมิงอวี่ถึงมีสีหน้าแบบนั้น เขารู้สึกเหมือนเอ็นด้านล่างจะขาด เจ็บชะมัด แถมยังไม่กล้าเอามือกุมอีก
อาจารย์หลี่เหยียนอู่อุ้มเอกสารการสอนกับหนังสือภาษาอังกฤษเดินเข้ามาในห้อง เห็นหน้าเลอะเทอะและท่าทางประหลาดของโจวจุนอี๋แล้วก็งุนงง เขาถามว่า "เป็นอะไรไปเนี่ย"
"ผมลื่นล้มครับ" โจวจุนอี๋หุบขาด้วยความกระดากอาย เหมือนว่าการทำแบบนี้จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้บ้าง "อาจารย์ครับ ผมต้องไปโรงพยาบาล"
"ไปเลย ไปเลย!" อาจารย์หลี่เหยียนอู่เรียกชื่อนักเรียนชายอีกคน "คุณไปช่วยเขาเรียกรถจากห้องพยาบาลโรงเรียนที"
อาจารย์หลี่เหยียนอู่มองตามแผ่นหลังของพวกหุบขาที่กำลังจากไป เขาส่ายหน้าอย่างงุนงง "เปิดเทอมได้แค่สามวัน ห้องพวกเธอมีคนบาดเจ็บไปสองคนแล้ว ปกติในห้องเรียนพวกเธอซุกซนวุ่นวายกันขนาดนี้เลยเหรอ"
คนอื่นๆ นึกถึงเหตุการณ์ที่ทั้งสองคนบาดเจ็บขึ้นมา ต่างก็อดมองไปที่หลินชิงอิ่นไม่ได้ ถ้าจะว่ากันตามตรง การที่หลี่หมิงอวี่กับโจวจุนอี๋ต้องแยกขา ก็พอจะเกี่ยวข้องกับเธออยู่บ้าง ทั้งๆ ที่หลินชิงอิ่นไม่ได้แตะต้องตัวพวกเขาเลย
อาจารย์หลี่เหยียนอู่เดินออกไปที่หน้าห้องเพื่อโทรหาอาจารย์หยูเฉิงเจ๋อเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น นักเรียนหญิงบางคนที่ไม่ชอบหลินชิงอิ่นก็รวมตัวกันเม้าท์นินทาว่าหลินชิงอิ่นคือดาวไม้กวาด ใครไปเกี่ยวข้องด้วยก็ต้องซวย
มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งชื่ออี้ไห่พูดไปพูดมารู้สึกกระหายน้ำ เธอหยิบกระติกน้ำออกมาจากลิ้นชัก หมุนฝากระติกพลางพูดใส่ร้ายหลินชิงอิ่นที่ไม่เป็นความจริง
เธอหมุนฝากระติกอย่างเหม่อลอย มันปิดแน่นเลยเปิดออกไม่ได้ พอกำลังพูดไปด้วย มือก็ลืมตัวใช้แรงมากขึ้น ฝากระติกก็เด้งออกพร้อมกับไอร้อนพวยพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว น้ำร้อนบนฝากระติกกระเด็นมาโดนมือที่จับกระติกพอดี
อี้ไห่เยนลืมไปว่ากำลังถือกระติกอยู่ เธออุทานแล้วสะบัดมือด้วยสัญชาตญาณ น้ำร้อนในกระติกก็กระฉอกออกมารดนักเรียนหญิงที่กำลังซุบซิบนินทากันอยู่จนหมด โดยเฉพาะตัวเธอเองโดนรุนแรงที่สุด หลังมือถึงกับแดงเป็นผื่นเลย
อาจารย์หลี่เหยียนอู่พึ่งคุยโทรศัพท์เสร็จ พอเดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์นี้ก็ตาค้าง เขารู้สึกปวดหัวนิดหน่อย เลยเรียกนักเรียนคนหนึ่งมา "รีบไปที่ประตูโรงเรียนบอกรถห้องพยาบาลให้รออีกแป๊บ พานักเรียนพวกนี้ไปด้วย"
ยิ่งมีเหตุการณ์บังเอิญแบบนี้มากเท่าไหร่ คนที่ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติก็ยิ่งอยากจะลองหนักขึ้น ผลสุดท้ายในวันเดียว ห้อง ม.1 มีนักเรียนต้องส่งโรงพยาบาลเป็นสิบๆ คน แต่พอถามไปทีละคน ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ตัวเองทำเอง ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย
แต่คนบาดเจ็บเยอะเกินไปจริงๆ จนถึงขั้นที่ผู้อำนวยการโรงเรียนต้องตกใจ เขาถึงกับมาที่ห้อง ม.1 ด้วยตัวเอง เพื่อเตือนให้พวกเขาตั้งใจเรียนอย่างสงบ อย่าก่อเรื่องอีก
พอออกมาจากห้องเรียน ผู้อำนวยการอดบ่นไม่ได้ "พวกเธอว่าห้อง ม.1 นี่ ฮวงจุ้ยไม่ดีหรือเปล่า ทำไมถึงมีเรื่องเยอะแยะไปหมดเลยล่ะ เราต้องแอบไปหาอาจารย์ฮวงจุ้ยมาดูสักหน่อยมั้ย"
อาจารย์หลี่เหยียนอู่ "เหอะๆ!"