บทที่ 40 ข้าจะเป็นนักปรุงโอสถ
“ขอรับ แล้วใต้เท้าเฉินหยวนยังบอกอีกว่า หากหยางเสี่ยวเทียนมีวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ธรรมดาจริง เขาจะได้เข้าร่วมเป็นศิษย์กับสำนักเสินเจี้ยน” น้ำเสียงผ่อนเบายังประโยคสุดท้ายของผู้คุมสกุลหยาง กลับหนักหน่วงชัดเจนในหูหยางจงจนสะท้าน
“อะไรนะ เข้าร่วมเป็นศิษย์ของสำนักเสินเจี้ยน!” หยางจงเดือดพล่านหน้าดำหน้าแดง
“อาจารย์ข้ากล่าวเช่นนั้นจริงงั้นหรือ!” ผู้คุมสกุลหยางตัวสั่นแม้นยังพยักหน้ารับ
ทว่ากิริยาท่าทางของหยางไห่กลับดูสงบ “มิต้องกังวลไป วิญญาณยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียนก็แค่เต่ายักษ์ธรรมดาๆ แน่นอน นี่เป็นความจริงที่ทุกคนเห็นมาแล้ว แม้จะตรวจสอบอีกสักกี่ร้อยกี่พันครั้ง มันก็ยังเป็นเต่าอยู่วันยังค่ำ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงนั้นได้”
“ไม่มีทางที่ผู้อาวุโสสูงสุดหลินหยงจะยอมให้วิญญาณยุทธ์เต่าขยะ เป็นศิษย์ของสำนักเสินเจี้ยนได้!” เขากล่าวอย่างมั่นใจ
หลังได้ยินเหตุผลที่บิดากล่าว หยางจงถึงสงบ ยกมุมปากเอ่ยอย่างลำพอง
“สิ่งที่ท่านพ่อจะสื่อ คือวิญญาณยุทธ์เต่าขยะเช่นเขา แม้แต่สำนักเล็กๆ ก็ไม่อาจยอมรับได้ แล้วไฉนสำนักเสินเจี้ยนจะยอมรับเขา เช่นนี้ใช่หรือไม่”
ทั้งสองมองหน้ากันราวกับรู้ใจ ก่อนเผยอปากอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
……
ครึ่งชั่วยามต่อมา
หลังเสร็จสิ้นการหารือ หยางเฉาและหยางเสี่ยวเทียนได้เดินทางกลับเรือนทันที
เมื่อมาถึง หยางเฉาก็รีบบอกข่าวดีวันนี้ให้หวงอิ๋งผู้เป็นภรรยารับรู้และร่วมยินดีไปกับตน ซึ่งพอนางได้ทราบ ก็พลันรู้สึกตื่นเต้นดีใจไปด้วย ก่อนจะหันมาเอ่ยกับหยางเสี่ยวเทียนน้ำเสียงสุขสม
“เสี่ยวเทียน หากในอนาคตเจ้าสามารถเข้าสู่สำนักเสินเจี้ยนได้จริงๆ เจ้าต้องหมั่นฝึกฝนนะรู้ไหม” หวงอิ๋งย้ำเตือนผู้เป็นลูกชายให้พึงระลึกถึงช่วงเวลาเมื่อไปที่นั้น หากเขาได้เข้าร่วมเป็นศิษย์
หยางเสี่ยวเทียนขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวกับมารดาผู้มีสีหน้ารื่นใจ “ท่านแม่ จริงๆ แล้วต่อให้ข้าจะไม่ได้เข้าสำนักเสินเจี้ยน ท่านก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป”
บรรยากาศเงียบงันไปพัก มิช้าปากนั้นก็เผยอเอ่ยต่อทำลายความนิ่งชั่วคราว “ข้ามีพรสวรรค์ในการหลอมโอสถ ดังนั้นข้าจะตั้งใจฝึกฝนให้หนัก เพื่อจะได้เป็นนักปรุงโอสถในอนาคต”
เมื่อหวงอิ๋งได้ยิน ริมฝีปากบางก็พลางยกยิ้มอย่างรักใคร่เอ็นดู “เจ้าเด็กซน วาจาช่างใหญ่โตนัก”
หยางเฉาส่ายศรีษะเมตตาในความไร้เดียงสาของลูกชาย ก่อนหยักปากยิ้มด้วยความอิ่มเอมใจที่หยางเสี่ยวเทียนยังพอมีหวังได้เข้าร่วมเป็นศิษย์สำนักใหญ่
ส่วนเรื่องการเป็นนักปรุงโอสถที่เขาตั้งใจ เด็กคนนี้จะไปรู้ได้อย่างไร ว่าหนทางแห่งการเป็นนักปรุงโอสถนั้นยากเย็นแค่ไหน
หากการเป็นนักปรุงโอสถมันง่ายขนาดนั้นจริงๆ คงเป็นไปไม่ได้ ที่ในหมู่บ้านสกุลหยางนั้น จะไม่มีนักปรุงโอสถเลยสักคน
แต่ผู้ที่มีสีหน้าเบิกบานใจที่สุดตอนนี้ เห็นจะเป็นหยางหลิงเอ๋อร์ เพราะรอยยิ้มร่าเริงสดใสบนแก้มป่องน่าหยิกของนางยังไม่ทันหุบ ก็ดูจะปลาบปลื้มกับสิ่งที่พี่ชายเอ่ยออกมาแล้ว
“ข้าเชื่อว่าในอนาคต พี่ใหญ่ของข้าจะกลายเป็นนักปรุงโอสถได้แน่นอน” นางขยิบตาปริบๆ ส่งถึงผู้เป็นพี่ชายอย่างซุกซนทันที
หยางเสี่ยวเทียนเหยียดยิ้มพลางหัวเราะ แม้ดวงตากลมโตของนางจะปีติยินดี แต่เขารู้ดีว่าเด็กหญิงตัวน้อยพูดไปด้วยความใสซื่อ และเพื่อปลอบประโลมพี่ใหญ่ว่ายังมีนางคนหนึ่งที่สนับสนุนเขา
เพราะด้วยวิญญาณยุทธ์เขาตอนนี้ มันทำให้ทุกคนถอดใจ ไม่ปักใจเชื่อเรื่องที่เขาสามารถเป็นนักปรุงโอสถได้
หวงอิ๋งบิดจมูกน้อยหยางหลิงเอ๋อร์เบาๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้มล้อเลียนนาง “ในอนาคต ข้า หลิงเอ๋อร์ อาจกลายเป็นนักปรุงโอสถได้เช่นกัน”
“ท่านแม่ล้อเลียนข้า” หยางหลิงเอ๋อย่นจมูก แลบลิ้นเย้าเล่นกับหวงอิ๋งทันควัน
จากนั้นทั้งสี่ ก็ระเบิดหัวเราะกันอย่างสนุกสนานทำเสียงดังออกมานอกเรือน
ไม่กี่ชั่วยามหลังจากนั้น
พอหยางเสี่ยวเทียนกลับถึงเรือนแยกตน เขาก็ทิ้งตัวนอนราบไปกับเตียงพักหลับตาราวเหน็ดเหนื่อย ก่อนที่อึดใจเดียวจะกลับมานั่งขัดสมาธิ แล้วตัดสินใจหยิบโอสถวิญญาณสี่ประการขึ้นมา กลืนมันลงไปทันที
เขาเริ่มโคจรปราณมังกรแรกเริ่ม เพื่อขัดเกลาฤทธิ์โอสถภายในกายที่กำลังปะทุ ให้แปรเปลี่ยนเป็นปราณแท้ขั้นเซียนสวรรค์อย่างต่อเนื่อง
วังวนภายในตันเถียนของหยางเสี่ยวเทียน ยังคงขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน ด้วยความเร็วที่เขาสามารถสัมผัสเห็นได้ด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ
ชั่วลมหายใจเดียว มันก็ขยายใหญ่ขึ้นขนาดราวสามสิบฉื่อ
จากนั้น ถัดจากวังวนที่สอง วงวนลูกที่สามก็เริ่มก่อตัวขึ้นทันที จนสำเร็จ
กระทั่งดึกดื่น หยางเสี่ยวเทียนได้หยุดเข้าฌานบ่มเพาะพลัง ก่อนจะมองไปที่วังวนทั้งสามในตันเถียนของตนอย่างมีความสุข
หลังใช้โอสถวิญญาณสี่ประการ ความก้าวหน้าของเขาก็เป็นไปตามที่หวัง ในที่สุดเขาก็สามารถทะลวงเข้าสู่ระดับสามของขั้นเซียนสวรรค์ได้สำเร็จ
แม้ในการทะลวงครั้งนี้ เขาจะยังไม่สามารถปลุกปราณแท้มังกรตัวที่สองให้ตื่นขึ้น แต่ก็รับรู้ได้ว่าเข้าใกล้ความสำเร็จอีกไม่กี่ก้าวแล้ว
เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลา หยางเสี่ยวเทียนก็พลันออกจากเรือนไปสถานที่หนึ่งทันที
เพราะวันรุ่งขึ้น เขาจะต้องออกเดินทางไปสำนักเสินเจี้ยนที่ไม่รู้จะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ ดังนั้น จึงมีเพียงเวลานี้เท่านั้น ที่ต้องไปให้ถึงถ้ำบนหุบเขาก่อนรุ่งสาง
ยังไม่ทันที่หยางเสี่ยวเทียนจะเข้าใกล้หุบเขา เขาก็พลันได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยคละคลุ้งมาในอากาศปะทะเข้ากับจมูก ขณะเงยหน้าขึ้นมอง
ทันใดนั้น เสียงร้องโหยหวนของสัตว์วิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บก็ดังออกมาจากหุบเขาเบื้องหน้า
สีหน้าของหยางเสี่ยวเทียนตอนนี้ เปลี่ยนเป็นซีดเซียวด้วยเสียขวัญ เพราะนั่นเป็นเสียงของสัตว์วิญญาณเกราะทอง
สัตว์วิญญาณเกราะทองตกอยู่ในอันตราย!