บทที่ 39 รับเข้าสำนักเสินเจี้ยน
เต่าดำตัวใหญ่ ปรากฏขึ้นต่อหน้าของทุกคนอีกครั้ง
ลวดลายมันเงาดำทะมึนบนกระดองเต่าใหญ่ แผ่กลิ่นอายลึกลับน่าเกรงขาม และแผ่นเกล็ดซ้อนเหลื่อมกันของเจ้าอสรพิษนิลกาฬที่พัวพันรอบตัวมัน ก็เป็นประกายงามหยด
ภาพธรรมเต่ายักษ์แลอสรพิษนิลกาฬเบื้องหน้า ทำเฉินหยวนสะดุ้งไหวด้วยแปลกใจสุดขีด
หากเทียบกับสองเดือนที่แล้ว วิญญาณยุทธ์ทั้งสองของหยางเสี่ยวเทียนในตอนนี้ เปลี่ยนแปลงไปมากอย่างคาดไม่ถึง
ตอนนั้น กระดองของมันดูหมองคล้ำไร้ลวดลายไม่ต่างจากเต่าธรรมดาทั่วไป ส่วนเจ้าอสรพิษนิลกาฬก็ตัวเล็กกระจ้อยร่อยราวกับปรสิต ที่คอยจะเกาะกินแต่พลังวิญญาณผู้อื่นไม่น่าเติบโตได้
ผิดแผกไปจากตอนนี้ ที่ทั้งลำตัวมันและเจ้าเต่าเอง มีขนาดใหญ่ยักษ์ขึ้น พื้นผิวของเกล็ดกับกระดองก็มันแวววาวชวนให้น่าพิศวงหลงใหล แม้ทั้งคู่จะมีสีดำ แต่กลับเป็นดำที่ดูทรงพลังอำนาจมากกว่าจะอวมงคล
หยางเฉาจับจ้องมันทั้งคู่ด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่าวิญญาณยุทธ์ของลูกชาย จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้
เฉิงเป้ยเป้ยซึ่งเดิมทีมีสีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจในความถือดีของหยางเสี่ยวเทียน เพลานี้ก็ผันเปลี่ยนไปตาโตจดจ่ออยู่ที่มันทั้งคู่เช่นกัน
แม้นวิญญาณยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียนจะเป็นเต่ายักษ์ก็จริง แต่มันกลับดูแตกต่างจากวิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์ของวิญญาจารย์ทั่วไปที่เคยพานพบอยู่มาก
เพราะวิญญาณยุทธ์เต่าขยะระดับสองทั่วไปนั้น ไม่อาจดูน่ายำเกรงถึงเพียงนี้
ความสงสัยคละเคล้าประหลาดใจบนใบหน้า ทำนางต้องเบือนศรีษะหาเฉินหยวนผู้น่าจะคิดเช่นเดียวกัน
ทว่าเฉินหยวนกลับหาได้หันเหมองสิ่งใดไม่ เขาออกตัวลุกย่างเท้าเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนขณะยังจับจ้องที่วิญญาณยุทธ์เสวียนอู่เหนือศรีษะเขาอย่างตาไม่กระพริบ เนื่องกลัวอาจเป็นเพียงภาพหลอกตาเพราะมองไม่ชัด
และครั้นได้สังเกตทุกสัดส่วนของมันมากขึ้น ชัดขึ้น เขาถึงเริ่มเกิดความสงสัยในมันทั้งคู่มากยิ่งขึ้น
เท่าที่เขาสามารถบอกได้อย่างหนึ่ง คือวิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์เบื้องหน้านี้ ไม่น่าใช่วิญญาณยุทธ์ระดับสองแน่นอนแล้ว
แต่มันเป็นวิญญาณยุทธ์อะไรนั้น ตัวเขาเองยังไม่อาจล่วงรู้ได้ เพราะก็ไม่เคยเห็นวิญญาณยุทธ์เต่ายักษ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นนี้มาก่อน
ขณะเฉินหยวนเอาแต่ขลุกอยู่กับการพินิจพิเคราะห์วิญญาณยุทธ์หยางเสี่ยวเทียน จนไม่รับรู้หรือยินเสียงเรียกจากเฉิงเป้ยเป้ยหลายครั้ง ก่อนสะดุ้งรู้สึกตัวในน้ำเสียงเน้นหนักสุดท้าย ที่นางถึงกับต้องออกแรงเปล่ง
พอเห็นสีหน้าหยางเฉากับเฉิงเป้ยเป้ยดูท่ากังขาในอากัปกิริยาเหม่อลอยของตน เฉินหยวนก็พลันกระแอมไอออกมาก่อนกล่าวว่า “ข้าไม่แน่ใจว่าวิญญาณยุทธ์ของเสี่ยวเทียน เป็นวิญญาณยุทธ์อะไร”
ได้ฟังดังนั้น หยางเฉาและเฉิงเป้ยเป้ยก็ทำได้แค่เงียบ แม้นจะลอบเสียดายในคำตอบที่ใคร่รู้อยู่บ้าง
เฉินหยวนพินิจนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยกล่าวกับหยางเฉา เพื่อชี้แจงแก่เขาให้เข้าใจชัดเจน “ผู้อาวุโสหลินรอบรู้เรื่องวิญญาณยุทธ์มากกว่าข้า ดังนั้น พรุ่งนี้ข้าอยากพาเสี่ยวเทียนกลับไปกับข้าด้วย จะได้ให้ผู้อาวุโสหลินตรวจสอบวิญญาณยุทธ์ของเสี่ยวเทียนอีกครั้ง”
“หากวิญญาณยุทธ์ของเสี่ยวเทียนมีความพิเศษแท้จริง ข้าจะรับเขาเข้าสำนักเสินเจี้ยนเอง”
ผู้อาวุโสหลินที่เขากล่าวถึงคือ หลินหยงผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเสินเจี้ยน
เมื่อหยางเฉาได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ดีใจมาก “ขอบคุณท่านมากใต้เท้าเฉินหยวน!”
สำนักเสินเจี้ยน เป็นสำนักที่ดีที่สุดของอาณาจักรเสินไห่แห่งนี้
ในฐานะพ่อ ใครบ้างจะไม่อยากให้ลูกชายเข้าร่วมกับสำนักเสินเจี้ยนผู้เลื่องชื่อ
ด้วยท่าทางสุขใจของผู้เป็นบิดาอันประจักษ์ชัด หยางเสี่ยวเทียนที่กำลังจะกล่าวปฏิเสธ ก็พลันกักเก็บคำยังริมฝีปากนั้นกลับกลืนเข้าไปในลำคอทันที
เวลานั้นเอง
เสียงดังโหวกเหวกพร้อมขว้างปาข้าวของภายในเรือนอย่างโกรธแค้นก็พลันเอะอะขึ้น หยางจงผู้ตื่นหลังหมดสติไปนานตั้งแต่เมื่อวาน แหกปากร้องตะโกนด้วยไม่พอใจทำทั้งลานกระตุกตกใจกันไปถ้วนทั่ว
“หยางเสี่ยวเทียนมีเพียงวิญญาณยุทธ์ขยะระดับสอง ข้าจะแพ้เขาได้อย่างไรกัน!” ครั้นเห็นบิดาวิ่งพรวดเข้ามาตาลีตาเหลือก หยางจงก็ไม่ชักช้าตะเบ็งเสียงคร่ำครวญปะทะทันที
เมื่อเห็นว่าลูกเพียงไม่สบอารมณ์เพราะเรื่องวานก่อน หยางไห่ก็ขมวดคิ้วถอนหายใจด้วยโล่งอก ปลดเปลื้องสีหน้าครู่นั้นไปทันใด
“หยางเฉาคงลอบขโมยเหรียญทองของตระกูล ไม่เช่นนั้นจะซื้อโอสถสร้างฐานวิญญาณจำนวนมาก ให้เขาใช้บ่มเพาะระดับพลังได้อย่างไร” หยางไห่ปลอบประโลม
เขาเดินเข้าหาหยางจงเพื่อกล่าวย้ำเอาใจผู้เป็นลูกชายขณะนั่งหน้าเง้าหน้างอบนเตียงด้วยโทสะ
“และถึงอย่างไร วิญญาณยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียนก็เพียงระดับสองเท่านั้น ไม่ว่าจะใช้โอสถสร้างฐานวิญญาณมากเพียงใด เขาก็ไม่อาจทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ได้หรอก”
“ต่างจากเจ้า วิญญาณยุทธ์เจ้าคือชิงหลวนซึ่งเป็นพลังสมบูรณ์แต่กำเนิด อีกทั้งยังได้รับการสั่งสอนจากรองเจ้าสำนักเฉินหยวนแห่งสำนักเสินเจี้ยน พ่อเชื่อว่าภายในไม่กี่ปีข้างหน้า เจ้าจะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ได้อย่างแน่นอน” น้ำเสียงเน้นหนัก ส่งแรงฮึกเหิม
“หลังเจ้าทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์สำเร็จ เพียงนิ้วเดียว เจ้าก็ขยี้เขาให้ตายได้”
หยางจงเผยยิ้มผยองทันควัน “จริงอย่างท่านว่า ข้าทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์สำเร็จเมื่อใด เมื่อนั้นข้าจะขยี้เขาให้ตายด้วยนิ้วเดียว”
“ภายในห้าปี ไม่สิ สามปี ข้าต้องทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ได้สำเร็จแน่นอน จากนั้น ข้าจะแสดงให้หยางเสี่ยวเทียนได้เห็นถึงความต่างชั้นระหว่างข้ากับเข้า!”
ทันทีที่หยางจงกล่าวจบ ผู้คุมสกุลหยางก็เข้ามาส่งข่าวรายงาน ถึงเรื่องที่เฉินหยวนเรียกหยางเฉาและหยางเสี่ยวเทียนเข้าพบตอนนี้ ซึ่งเขาแค่ยกมือขึ้นปรามแลเพิกเฉย
แม้ยังฟังไม่ทันจบ หยางจงก็มั่นใจแน่วแน่ว่าคนอย่างเฉินหยวน ไม่มีทางรับหยางเสี่ยวเทียนผู้มีเพียงวิญญาณยุทธ์ขยะเป็นศิษย์ได้แน่ และที่เรียกหาในครานี้ ก็เพื่อหาทางปฏิเสธรับเขาเท่านั้น ช่างน่าสมเพช
“ไม่มีทางที่อาจารย์ข้าจะยอมรับผู้ที่มีเพียงวิญญาณยุทธ์ระดับสองเป็นศิษย์เขาแน่นอนอยู่แล้ว” หยางจงเยาะเย้ยขณะผู้คุมสกุลหยางยืนก้มหน้าเจื่อน
“แต่ว่า… ใต้เท้าเฉินหยวนได้ขอดูวิญญาณยุทธ์ของหยางเสี่ยวเทียนอีกหน แล้วบอกจะพาเขากลับสำนักเสินเจี้ยนให้ผู้อาวุโสหลินหยงตรวจสอบวิญญาณยุทธ์เขาอีกครั้งนะขอรับ” ผู้คุมสกุลหยางอ้าปากสั่นระริกกล่าวเสริม
“ตรวจสอบวิญญาณยุทธ์อีกครั้งงั้นรึ” หยางไห่และหยางจงร้องออกมาพร้อมกันอย่างประหลาดใจใคร่สังสัย