บทที่ 37 การลงมือที่อำมหิต
แสงแดดอ่อนจวนเข้าทับซ้อนเงาสลัวเต็มที แต่หยางเสี่ยวเทียนยังคงไม่เร่งรีบฝึกตน โดยใช้โอสถวิญญาณสี่ประการที่เพิ่งหลอมสำเร็จ
เขาวางโอสถในขวดหยกข้างกายแล้วนั่งขัดสมาธิบนเตียงไม้ เข้าฌานบ่มเพาะพลังปราณมังกรแรกเริ่ม
ช่วงหลังมานี้ เขาฝึกฝนอย่างหนักเพื่อหวังปลุกปราณแท้มังกรตัวที่สองให้สำเร็จ ซึ่งหากสัมผัสตามความรู้สึกเขา เหมือนจะอีกไม่นานนี้แล้ว
หากปราณแท้มังกรตัวที่สองตื่นขึ้น ความแข็งแกร่ง การป้องกัน และความเร็วเขา จะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว
เมื่อทิวาเริ่มส่องแสงจับเส้นขอบฟ้าบ่งบอกเวลารุ่งสาง
หยางเฉาตื่น ลุกขึ้นเดินเปิดประตูรับแสงสว่างสาดเข้าภายใน เขาย่างเท้าก้าวไปอย่างเชื่องช้าหลังออกมาสูดอากาศและรับแสงแดดอุ่นยามเช้ายังลาน แต่อากาศบริสุทธิยังสูดเข้าไม่ทันจะเต็มปอดก็พลันได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยมาตามสายลมปะทะกับจมูก
หยางเฉาขมวดคิ้วพลางสูดจมูกดม พร้อมกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย
ภายหลังเดินวนเวียนหาอยู่นาน เขาถึงพบเข้ากับร่องรอยของเหลวสีแดงหลายแห่ง เป็นจุดตามกำแพงและหย่อมๆ บนถนนไม่ไกลจากหน้าประตูนอกเรือน
คราบสีแดงเริ่มแห้งกรังและจางลงมากหลังถูกทิ้งมาข้ามคืน
เขาใช้นิ้วแตะคราบของเหลวบนพื้น แล้วถูขยี้มันบนสองนิ้วเบาๆ ก่อนรู้ทันทีว่าใช่คราบเลือดที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
เมื่อคืน มีคนวิวาทกันแถวนี้หรือ…
แล้วทำไม เขาไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ ขณะเกิดเรื่องห้ำหั่นจนเลือดสาดไหลหยดไปตามพื้นขนาดนี้
หลังสำรวจรอบๆ ทั่วอาณาบริเวณอย่างถี่ถ้วน แล้วไม่พบสิ่งใดผิดวิสัยอันน่าจะเป็นอันตรายแก่คนในครอบครัวจนคลายกังวล
หยางเฉาถึงตัดสินใจเข้าเมืองซิงเยว่จับจ่ายซื้อเครื่องเรือนใหม่ แต่ครั้นเขาเดินผ่านจวนตระกูลเจิง ก็พลันสังเกตเห็น ว่ามีการแขวนผ้าขาวเอาไว้ทั้งภายในภายนอก พร้อมเสียงผู้คนร่ำไห้ดังออกมาจากจวนด้านใน
เขาหยุดถามไถ่ผู้คนที่เดินผ่านไปมาหน้าจวน เมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของคนตระกูลเจิง ก่อนได้ยินเรื่องน่าใจหาย
“อะไรนะ เจิงหงเซินถูกลอบสังหารเมื่อคืนงั้นรึ!”
“ไม่ใช่แค่เจิงหงเซินเท่านั้น แต่พ่อบ้านเขาก็ถูกสังการด้วยเช่นกัน”
ชาวบ้านผู้เล่าลดเสียงลงกระซิบเบาๆ “ข้าได้ยินมาว่า สภาพศพพ่อบ้านเขาถูกกุดหัวด้วย คนพบศพเขามีเพียงร่างนอนแน่นิ่ง ส่วนหัวนั้น อยู่ห่างออกไปเกือบสิบฉื่อ เป็นการลงมือที่อำมหิตมาก”
ได้ฟังดังนั้น หยางเฉาก็พลันตกใจทันที
แม้นพ่อบ้านของเจิงหงเซินจะมิใช่วิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์ระดับสี่ แต่ก็เป็นถึงเซียนสวรรค์ระดับสามที่ถือว่าแข็งแกร่งผู้หนึ่ง อย่างไรเสีย เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญแล้วว่าระดับไหน เพราะพวกเขาถูกสังหารสิ้นโดยใครก็มิอาจรู้ได้
“เจิงหงเซินกับพ่อบ้านของเขาถูกสังหารอย่างทารุณเช่นนี้ มิมีใครในตระกูลเจิงได้ยินเสียงการต่อสู้เลยหรือ” หยางเฉาถามด้วยความแปลกใจ
คนที่เดินผ่านไปมาส่ายหัว “ไม่ คนในนั้นไม่มีใครได้ยินเสียงอันใดเลย คาดว่าทั้งสองอาจถูกลอบสังหารอย่างไม่ทันตั้งตัวด้วยกระบวนท่าเดียว จึงไม่มีเสียงการเคลื่อนไหว”
ถูกลอบสังหารอย่างไม่ทันระวังตัว แล้วเพียงกระบวนท่าเดียวงั้นรึ
พอรับรู้เรื่องราวดังกล่าว หยางเฉาถึงกับผวามีสีหน้าซีดเซียวต่อเหตุการณ์อันน่าเวทนาของเจิงหงเซินพร้อมคนของเขา
การจะสังหารเจิงหงเซินพร้อมกับพ่อบ้านด้วยกระบวนท่าเดียวได้นั้น คนผู้นี้ คงต้องมีความแข็งแกร่ง ไม่ต่ำกว่าขั้นเซียนสวรรค์ระดับห้าเป็นอย่างน้อย
ทว่า ใครกันที่สามารถลงมือเช่นนี้ได้…
ณ เมืองซิงเยว่แห่งนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถลงมือเพียงใช้กระบวนท่าเดียวสังหารคนเยี่ยงเจิงหงเซิน
หรืออาจเป็นวิญญาจารย์จากต่างเมืองก็มิอาจล่วงรู้ได้
ตระกูลเจิง เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่แห่งเมืองซิงเยว่ ผู้นำคือเจิงหงเซิน
มาบัดนี้เขาถูกสังหารอย่างเลือดเย็น ซึ่งมันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดที่ว่า สามารถสร้างความโกลาหลให้เมืองซิงเยว่ได้ทั้งเมือง
……
เหวินเจียเหว่ยเบิกตาลานทันทีที่ตื่นเช้ามารับข่าวร้ายของวันนี้ เขาจะไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยหากผู้ถูกสังหารไม่ใช่เจิงหงเซิน
“ตาย! เขาตายแล้ว!” จู่ๆ ในหัวของเหวินเจียเหว่ยก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งผุดย้อนเข้ามา นั่นคือเรื่องนักปรุงโอสถลึกลับที่ลูกพี่ลูกน้องเคยเตือนเอาไว้
เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวดังนั้น ความหนาวสะท้านอันได้รอดตายจากมัจจุราชก็ส่งผ่านลงยังมือและเท้าจนเย็นเฉียบ
โชคดีที่เขาตัดขาดเจิงหงเซินได้ทันท่วงที หากเขาไม่เชื่อคำเตือนของเหวินจิงอวี๋ แล้วดึงดันเสวนาต่อกับคนอย่างเจิงหงเซินยังเรือนเมื่อคืนนี้ ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ยิ่งเหวินเจียเหว่ยขบคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งรักตัวกลัวตายมากขึ้นเท่านั้น
อีกด้านหนึ่ง
ณ เรือนรับรองของจวนสกุลหยาง ยังมีชายผู้ทุกข์ร้อนใจมิแพ้กัน เฉินหยวนสับเท้าเดินวนเวียนภายในเรือนเป็นวงกลม ขณะคิดทบทวนถึงคำพูดด้วยพลั้งปากก่อนหน้า
เมื่อวานนี้ ก่อนที่หยางเสี่ยวเทียนและหยางจงจะประลองฝีมือกัน เขาป่าวประกาศต่อหน้าผู้คนอย่างใหญ่โต ว่าหากหยางเสี่ยวเทียนสามารถเอาชนะหยางจงได้ จะยอมรับเขาเป็นศิษย์
แต่ทว่า หยางเสี่ยวเทียนผู้นี้ดันมีเพียงวิญญาณยุทธ์เต่าขยะระดับสองเท่านั้น
รองเจ้าสำนักเสินเจี้ยนอย่างเขา จะยอมรับคนที่มีเพียงวิญญาณยุทธ์ขยะระดับสอง เป็นลูกศิษย์เขาได้เยี่ยงไร
หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป เขาจะไม่กลายเป็นตัวตลกไปทั่ว ของทั้งอาณาจักรเสินไห่หรืออย่างไร
แต่คำพูดเปรียบได้ดั่งทองวาจาเปรียบได้ดั่งหยก หากเขาไม่ยอมรับจะมิถูกมองเป็นคนสับปลับกระนั้นหรือ
เมื่อมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วข่าวถูกแพร่ออกไปอีก คนอื่นจะคิดเยี่ยงไรกับเฉินหยวนผู้นี้