บทที่ 36 จุดจบเจิงหงเซิน
เจิงหงเซินและพ่อบ้านพร้อมใจกันหันกลับมองทางต้นเสียง ที่ทำพวกเขาถึงกับสะดุ้งจนขนลุกไปทั้งตัว
ก่อนพวกเขาได้แสดงอาการชะงักงัน ด้วยไม่คาดคิดว่าน้ำเสียงนั้นจะเป็นเพียงของเด็ก เมือเห็นร่างเล็กของหยางเสี่ยวเทียนเดินพ้นออกจากเงาทะมึนเข้าใกล้พวกเขา
“เจ้า ลูกชายของหยางเฉามิใช่หรือ” เจิงหงเซินถามน้ำคำประหลาดใจ หลังเพ่งสายตามองยังใบหน้านั้นจนแจ่มชัด
รอยย่นบนใบหน้าพ่อบ้านตระกูลเจิงใคร่สงสัยว่าลูกชายหยางเฉา บุกเข้ามาในจวนของตระกูลเจิงได้อย่างไร
ระหว่างพลั้งนึกอยู่นั้น แสงวาบจากคมกระบี่ตงเทียนก็พลันปรากฏบนฝ่ามือหยางเสี่ยวเทียน เขากระชับกำแน่นแล้วก็โจนตัวเข้าหาพ่อบ้านข้างกายเจิงหงเซินพร้อมเหวี่ยงฟันออกไปในทันที
เสียงแหลมระเคืองหูจากคมกระบี่ ตัดผ่านลำคอพ่อบ้านตระกูลเจิงอย่างรุนแรง ทิ้งไว้เพียงแสงสว่างของปราณกระบี่แผ่เล็ดลอดออกมาระหว่างคอกับศรีษะราวกับระลอกคลื่น
ม่านตาที่หรี่ปรือสงสัยของพ่อบ้านตระกูลเจิง แปรเปลี่ยนเป็นเบิกโพลงขึ้นด้วยความหวาดกลัว แต่สายไปแล้ว เขาพยายามยกมือทั้งสองข้างขึ้นแตะยังลำคออย่างยากลำบากจนหมดเรี่ยวแรงทิ้งลงข้างลำตัว
พร้อมหัวที่ขาดสะบั้นหลุดร่วงออกจากร่างลงสู่พื้น ส่งเสียงตกกระทบราวก้อนหินขนาดใหญ่
ตุบ!
เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นหินภายในสวน
ใบหน้าเจิงหงเซินเพลานี้ซีดเซียวลงด้วยความสะพรึงกลัว ขณะลนลานหยิบคว้าหาดาบอยู่ยังเอวหนาตนเตรียมจะชักออกมา ลำแสงจากกระบี่ก็พุ่งตรงเป็นประกายวาบอยู่เบื้องหน้าแล้ว
ปลายแหลมจากกระบี่ตอนนี้ จดจออยู่ยังชั้นไขมันหนาส่วนลำคอนั้น ทำเขาหวาดผวาจนทรุดคุกเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้น
“เจ้า! เจ้า เป็น…” เจิงหงเซินขึงตาโตมองหยางเสี่ยวเทียนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยความหวาดกลัวสุดขีด น้ำเสียงสั่นเครือจนกล่าวไม่ได้ความหมาย
“วันนี้เหวินเจียเหว่ยไม่ได้เตือนเจ้างั้นหรือ” หยางเสี่ยวเทียนชำเลืองต่ำ มองเจิงหงเซินด้วยแววตาแลถ้อยคำเรียบเฉยแฝงเต็มด้วยจิตสังหาร
หัวใจเจิงหงเซินสั่นสะท้าน สำแดงอาการสั่นออกยันกายภายนอก
“เจ้านั่นเอง เจ้าคือนักปรุงโอสถลึกลับคนนั้น!”
ผู้ที่เหวินเจียเหว่ยกล่าวถึง คือลูกชายของหยางเฉางั้นหรือ
แต่ลูกชายหยางเฉา จะเป็นนักปรุงโอสถไปได้เยี่ยงไร
หยางเสี่ยวเทียนส่งผ่านความสะพรั่นพรึงอันเย็นยะเยือกขณะจับจ้องผ่านนัยน์ตาเจิงหงเซิน พร้อมกดกระบี่ในมือ เจาะผ่านชั้นเนื้อหนายังลำคอของคนตรงหน้า แหวกลึกถึงเส้นหลอดลมอย่างเชื่องช้า
เลือดโสโครกของเจิงหงเซินค่อยๆ กระเซ็นไหลเป็นละอองอาบต้องตัวกระบี่เป็นเส้นสาย
ขณะเขายังคงกดด้ามกระบี่ลงเรื่อยๆ และพลอยสบสายตาเจิงหงเซินที่เบิกกว้างในสภาพทุรนทุรายอ้าปากพะงาบ ราวอยากส่งเสียงแทรกผ่านปริมาณของเหลวไหลปุดๆ ยังคอหอย เพื่อกล่าวบางอย่างกับเขาที่เพียงแค่มองนิ่งเท่านั้น
เพราะจิตใจหยางเสี่ยวเทียน ได้หมดสิ้นความเมตตาต่อผู้ที่คิดทำร้ายครอบครัวตน ไปพร้อมกับคมกระบี่อันได้แทงลึกลงจนทะลุลำคอคนตรงหน้านี้ไปแล้ว
ทันทีที่หยางเสี่ยวเทียนชักกระบี่ออก คนตรงหน้าก็ล้มฟุบลงทำเลือดไหลนองเต็มพื้น
พื้นอิฐที่เคยเป็นสีขาว ตอนนี้ถูกย้อมด้วยสีแดงฉานจากเลือดเขา
เจิงหงเซินกระเสือกกระสนเงยหน้าขึ้นมองหยางเสี่ยวเทียน แต่สิ่งเดียวที่เขาเห็นได้ในวินาทีนี้คืออิฐสีแดงตรงหน้า
พยายามจดจำแลนึกถึงเรื่องราวความชั่วที่ตนเคยกระทำ แต่จิตใจกลับว่างเปล่าก่อนทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะพลันดับสนิทไป
หยางเสี่ยวเทียนเพียงเหลือบมองร่างของเจิงหงเซินนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นก่อนจะสิ้นใจภายใต้นัยน์ตาเรียบเฉย แล้วเดินจากไปไม่คิดเหลียวหลัง
หลังกลับถึงเรือน หยางเสี่ยวเทียนผ่อนลมหายใจคลายความคิดทุกอย่างทิ้งไป ควบคุมอารมณ์ให้สงบลง ก่อนเริ่มหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการ
โอสถวิญญาณสี่ประการนั้น หลอมยากกว่าโอสถสร้างฐานวิญญาณ หากทำผิดขั้นตอนจะไม่สามารถหลอมได้สำเร็จ ดังนั้น จึงต้องมีสมาธิ อารมณ์ต้องนิ่ง และเอาใจใส่มากเป็นพิเศษในการหลอมมัน
เขาก้มหน้าก้มตาควบคุมไฟแห่งสวรรค์และโลกอย่างระมัดระวังเพื่อหลอมสมุนไพรไปช้าๆ
ในการหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณ จะนำสมุนไพรทั้งหมดใส่ในคราวเดียว ต่างจากการหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการ ที่ต้องใส่สมุนไพรสองสามชนิดลงไปให้ละลายก่อน จากนั้นค่อยตามด้วยสมุนไพรอื่นๆ ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหลอมละลายสมุนไพรครบทุกชนิด
ซึ่งหากควบคุมไฟได้ไม่ดี สมุนไพรก็จะละลายช้าลง และต้องใช้ปริมาณปราณแท้มากขึ้นตามไปด้วย
ในตอนแรกเขาไม่ได้คิดอะไร แต่หลังจากหลอมไปเรื่อยๆ หยางเสี่ยวเทียนก็เริ่มรู้สึกกังวลมากขึ้น
ไม่กี่ชั่วยามต่อมา ขณะที่ปราณแท้ของหยางเสี่ยวเทียนกำลังจะหมดลง สมุนไพรเกือบร้อยชนิดก็ละลายจนครบ เขาเร่งหลอมรวมมันเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเม็ด
จนที่สุด เมื่อการหลอมโอสถสำเร็จลงแล้ว เขาถึงผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะล้มลงไปกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า
ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการนั้น จะต้องใช้ปราณแท้ขั้นเซียนสวรรค์มากมายถึงเพียงนี้ โชคดีที่ปราณแท้ตอนนี้ของเขานั้นแข็งแกร่ง หากเป็นวิญญาจารย์ขั้นเซียนสวรรค์ระดับสองทั่วไป คงเป็นการยากที่จะหลอมมันได้สำเร็จ
เขามองดูโอสถวิญญาณสี่ประการที่อยู่เบื้องหน้า มันสดใสและส่งกลิ่นหอมอบอวล หยางเสี่ยวเทียนยิ้มอย่างภูมิใจทันที ระดับของโอสถวิญญาณสี่ประการที่เขาหลอมตอนนี้อยู่ในระดับสูงสุด ซึ่งสูงกว่าสองเม็ดที่เขาได้รับจากหูลี่เมื่อครานั้นเสียอีก
ด้วยโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสูงสุด เขาอาจทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ระดับสามได้