ตอนที่ 27
ตอนที่ 27
วันที่ 78 หลังจากผมกลายเป็นจอมมาร
ผมสุดจะเอนจอยชีวิตจอมมารที่แสนจะมีประสิทธิภาพเลยล่ะ
ช่วงที่ผ่านมาชีวิตผมก็มีอยู่ 3 งาน
1. ) กำจัดมนุษย์ที่บุกเข้ามา
ด้วยเหตุผลบางประการ แผนกต้อนรับที่เคยตั้งอยู่หน้าโดเมนผม ก็ย้ายออกไปแล้วแต่ เหล่ามนุษย์ก็ที่เคยเข้าแถวเข้าคิวรอกันก็ไม่ได้หายไปไหน… ดูเหมือนเจ้าพวกนั้นพอได้ลิ้มรสความหวานฉ่ำสักครั้งแล้วก็ไม่อาจลืมรสนั้นได้ลง จึงยังคงบุกเข้าโดเมนผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุดหย่อน
2. ) เฝ้าสังเกตการณ์ผู้ร่วมสายเลือดที่ส่งออกไปสำรวจภายนอก
ณ ตอนนี้ ผู้ร่วมสายเลือดของผมก็มีดาร์คเอลฟ์ (♀) โคลอี , โคโบ้ลอัศวิน (♀) ซิลเวอร์ , ก็อบลินนักสู้ (♂) บลู , และไลแคนโทรป (♂) โฮป
ในหมู่ผู้สืบสายเลือด โคอีนั้นมีลูกน้องผู้ติดตามเป็นดาร์คเอลฟ์ (♂) หนึ่งคน , ซิลเวอร์มีโคโบ้ลนักสู้เป็นผู้ติดตามหนึ่งตัว , บลูมีก็อบลินนักธนูเป็นผู้ติดตามหนึ่งตัว , และโฮปก็มีไลแคนโทรป (♀) เป็นผู้ติดตามหนึ่งตัวเช่นกัน
ปาร์ตี้ 8 คน ( มอนสเตอร์ทั้ง 8 ) ได้ออกสำรวจ
แต่เดิมชื่อของเจ้าพวกนั้น อย่าง : โคลอี (Chloe) ตั้งแบบนั้นก็เพราะเธอเป็นดาร์คเอลฟ์ ส่วนซิลเวอร์ก็ตั้งตามชื่อสีของอุปกรณ์ (Silver Series) อย่างบลูก็เปลี่ยนไปตามรูปลักษณ์ภายนอกหลังวิวัฒนาการ ส่วน ไลแคนโทรปที่ผมตั้งชื่อว่า โฮปก็เพราะ เอ่อ … ด้วยความหวังว่า เขาจะแข็งแกร่งขึ้นหลังจากวิวัฒนาการแล้วน่ะ
…เรียบง่ายดีใช่ไหมล่ะ ?
ถึงอย่างนั้นก็ตามดาร์คเอลฟ์ไม่สามารถเอาเผ่าอื่นนอกจากเผ่าตัวเองมาเป็นลูกน้องผู้ติดตามได้เกินหนึ่งตัว ในขณะที่โคโบ้ลนั้นสามารถมีลูกน้องเผ่าเดียวกันได้ถึง 5 ตัว และก็อบลินก็ 10 ตัว
ไลแคนโทรปน่ะเหรอ? ก็เหมือนดาร์คเอลฟ์นั่นแหละ … ผมเชื่อสุดใจเลยนะ ว่าเจ้าไลแคนโทรปต้องแปลงร่างกลายเป็นอะไรที่สุดยอดยิ่งใหญ่สักวันนึง !
เหตุผลที่ผมจำกัดจำนวนลูกน้องของผู้ร่วมสายเลือดก็เพื่อความสมดุลของอุปกรณ์
ทีแรกผมก็ใส่จำนวนลูกน้องสูงสุดให้กับผู้ร่วมสายเลือด แถมยังเคยมีผู้ร่วมสายเลือดคู่กับผู้ร่วมสายเลือดอื่นด้วย
แต่อย่างไรก็ดี ทันทีที่พวกนั้นก้าวออกไปจากโดเมนของผม ― นรกที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายคับคั่งก็เฝ้ารออยู่
การที่อยู่ดีๆมีกลุ่มมอนสเตอร์หน้าตาน่าเกลียดโผล่ออกมาจากสถานที่ที่ชื่อว่าเป็น 『ฟาร์ม』 ทำให้ปากทางเข้าด้านนอกของโดเมนผมกลายเป็นสนามรบที่เต็มไปด้วยซากศพอยู่รอบๆ
มนุษย์น่ะร่วมมือกัน สร้างความเสียหายกับผมอย่างหนักด้วยการที่รุมฆ่ามอนสเตอร์อย่างห้าวหาญ
ผลที่ได้ก็คือ ผมสูญเสียผู้ร่วมสายเลือดออร์ค เสียค่าCP ไปเป็นจำนวนมาก รวมถึงลูกน้องอีกเยอะ
ผมสั่งให้ผู้ร่วมสายเลือดอื่นหนีกลับมา แล้วก็จัดลำดับความสำคัญใหม่ให้ลูกน้องอีกครั้งโดยให้ความสำคัญกับลูกน้องที่มีเครื่องสวมใส่ระดับสูงเป็นอันดับแรกๆก่อน
อาจมีการสะดุดบ้างนิดหน่อยตอนเริ่มต้น แต่ตอนนี้ … ผู้ร่วมสายเลือดผมได้รับค่าประสบการณ์จำนวนมากจากการที่ไปบุกโดเมนของจอมมารตนอื่น หรือไม่อย่างนั้นก็แอบดักทำร้ายมนุษย์ที่กำลังเดินเล่นสบายอารมณ์บนท้องถนน
และผมเองก็ยังได้ยืนยันข้อมูลบางอย่างเรื่องผู้ร่วมสายเลือดด้วย
1. ลูกน้องที่กลายเป็นผู้ร่วมสายเลือดของผมจะสามารถพูดภาษาเดียวกันได้นั่นคือ ภาษาญี่ปุ่น
และตราบที่ยังเป็นผู้ร่วมสายเลือดอยู่ ทั้งผมและพวกนั้นก็คุยกันได้รู้เรื่องด้วย
2. ไม่ว่าผู้ร่วมสายเลือดจะอยู่ไกลกันแค่ไหน
ผมสามารถส่งถ่ายเจตนาของตัวเองไปให้ได้ เพียงแต่ที่ขมขื่นหน่อยคือ มันส่งไปได้ทางเดียว โดยพวกนั้นตอบอะไรกลับมาไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าผมออกคำสั่งง่ายๆว่า “สู้ซะ”, “หนี” หรือ “เลี้ยวขวาตรงถนนเส้นนั้น ” พอสั่งการไม่แล้วอีกฝ่ายจะไม่ตอบอะไรกลับมา ผมได้แต่เฝ้ารอดูผลลัพธ์จากคำแนะนำผ่านสมาร์ทโฟนเท่านั้น
และงานประจำวันอย่างสุดท้ายของผมคือ การออกกำลังกาย
หลังจากลองแกว่งอาวุธหลายๆอย่างด้านในส่วนลึกสุดของโดเมน ผมก็ทำจากจำลองการต่อสู้กับลูกน้องตัวเอง
อ่า จะว่าไปการออกกำลังเนี่ย มันก็ดีนี่นะ ?
ตอนที่ผมยังเป็นมนุษย์อยู่นั้น ผมเป็นมนุษย์ติดบ้าน เลยไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนที่ชอบออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านในช่วงแดดจ้าหรือไปไต่ปีนเขาในช่วงวันที่หิมะตกราวกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้แล้วอีกอย่างนั้นแหละ
สิ่งที่ผมโปรดปรานก็คือ การงอกรากฝังตัวเองอยู่ในห้องส่วนตัวพร้อมกับเครื่องปรับอากาศสุดสบ้ายสบาย
แต่พอมาเป็นตอนนี้ก็ … จะหาวิธีอธิบายยังไงดีล่ะ ? เหมือนกับว่า การออกกำลังกายเป็นหัวข้อที่ผมเกิดความรู้สึกสนุกเพลิดเพลินในการเรียนรู้เลยล่ะ
ตอนนี้ ระบบประสาทรับรู้ ระบบประสาทอัตโนมัติ และกำลังร่างกายของผมเพิ่มขึ้นเนื่องจากการเป็นจอมมาร ทำเอาผมสนุกกับการออกกำลังกาย
แถมการได้เปลี่ยนลูกน้องที่ผมใช้ 『ดูดกลืน 』 ใส่ เพื่อให้ได้ ความชำนาญอาวุธต่างๆอย่างดาบหรือหอก แล้วเนี่ยก็ยิ่งสนุกล่ะ
แถมพอผมเปลี่ยนเป้าหมาย 『ดูดกลืน 』 แล้วเสียอบิลิตี้พิเศษไปแล้ว แต่ผมยังคงจดจำความรู้สึก เคยมือในการใช้อาวุธบางอย่างได้อยู่ด้วย
กลายเป็นว่า ตอนนี้ผมได้เดบิวเป็นมือสมัครเล่นของนักออกกำลังกายในร่มแล้ว
แถมการที่ได้หยิบจับใช้งานอาวุธต่างๆพัฒนาขึ้นพร้อมกับร่างกาย มันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก
อ้อ เมื่อสายวันที่แล้วผมได้มีประสบการณ์สู้กับมนุษย์เป็นครั้งแรกด้วยอีกฝ่ายนั้นเลเวล 1
มีมนุษย์คนหนึ่งที่เข้ามาเพื่อหาประสบการณ์ด้วยการสู้กับสไลม์และหนู และนั่นก็เป็นการต่อสู้ครั้งแรกของผม ผมออกจะประหม่าตื่นเต้นจนจบนั่นแหละ
ผลที่ได้คือ ชัยชนะที่ขาดลอย ผมไม่ได้รู้สึกแย่แม้แต่น้อยหลังจากที่ได้ฆ่ามนุษย์ที่กำลังหวาดกลัวคนนั้น
แล้วผมก็วนทำการฝึกฝนการต่อสู้ การสู้จริง สั่งสมประสบการณ์ ไม่ใช่แค่พึ่งค่าสเตตัสอย่างเดียว
◆
โอ้ !? ตอนนี้ผมสะสมได้ถึง 300 CP แล้ว
ผมยิ้มหึๆตอนที่เห็นค่า CP บนจอสมาร์ทโฟน
ตอนนี้ผมมีวิธีในการใช้CPนับไม่ถ้วน พอมันมาถึงค่าสูงสุด
“เอ๋ ผมควรจะสร้างลูกน้องดี…เพิ่มผู้ร่วมสายเลือดดี …หรือควรที่จะแปรธาตุดีนะ… เธอคิดยังไง ?” (ชิออน)
ผมถามดาร์คเอลฟ์ที่ยืนอยู่ข้างๆผม และผมก็ได้ใช้『ดูดกลืน 』 กลับดาร์คเอลฟ์ไปในครั้งล่าสุดแล้วด้วย
ว่าง่ายๆ ตราบใดที่ยังเป็นดาร์คเอลฟ์อยู่ผม พูดคุยได้หมดแหละ
“นายท่าน , ท่านควรทำตามใจปรารถนา …”
ดาร์คเอลฟ์นั้นค้อมโค้งหัวให้อย่างเคารพ
นี่ก็แปลว่า … ถึงผมจะสามารถพูดคุยกับลูกน้องได้ แต่ก็ไม่ถือว่า เป็นบทสนทนาปกติอยู่ดี
ว่าง่ายๆ เจ้าพวกนี้กลายเป็นพวกใช่ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน ในทุกคำพูดที่ผมพูดออกมา
พวกนี้ไม่เคยพูดความปรารถนาต้องการของตัวเองเลย (ไม่ว่าจะเป็นเผ่าไหน พวกไหนก็ตาม)
ถึงเทียบกับตอนแรกที่ผมไม่เข้าใจคำพูดภาษาของโคโบ้ลและก็อบลินแล้ว จะนับว่าก้าวหน้าก็เถอะนะ แต่มันยังไม่น่าพอใจสักเท่าไหร่อยู่ดี
พอผมไล่ต้อนด้วยการพูดว่า
“นายของเจ้าอยากที่จะรู้ความปรารถของเจ้า ” เจ้าพวกนั้นก็จะพ่นคำที่สาธยายถึงความต้อยต่ำที่พวกเขามี ไม่ได้ดีขึ้นเล้ย
เฮ่อ ชีวีมันก็เป็นเช่นนี้แล (C’est la vie)
ครุ่นคิดกับตัวเองสักพัก … เอ หรือผมควรจะหาอะไรอย่างอื่นทำดี
ผมกดสมาร์โฟนแล้วเลือกแถบ 【แปรธาตุ 】
ผมแปรธาตุอาวุธที่หรูหราสักหน่อยขึ้นมาใช้เอง
ถึงจะมีCPไม่มากพอสำหรับอาวุธแร๊ง B ชั้นเลิศที่สุดก็เถอะ ผมแปรธาตุ 『หอกมิทธิล 』 『Mithril Spear』 ที่ใช้300 CP
ผมลองทั้งโล่ ดาบ หอก ขวานและธนู แต่หอกเนี่ยใช้ง่ายที่สุดสำหรับผมแล้ว
ในสถานะที่ผมมีอลิบิตี้พิเศษ ชำนาญ ○○○(F) จะใช้อะไรมันก็ไม่ต่างกันนักหรอก แต่หลังจากเสีย ความชำนาญอาวุธไปแล้ว สำหรับหอกเนี่ย ผมสามารถใช้การโจมตีอย่างง่ายด้วยการแทงทะลวง โดยมีระยะการโจมตีที่ไกลได้อยู่ และยังเป็นอาวุธที่ใช้ง่ายอีกด้วย
ผมจับ 『หอกมิทธิล 』 ที่ปลายหอกเปล่งประกายแสงสีฟ้า ที่ชวนให้รู้สึกพิศวง เนื่องจากมันเบากว่ารูปร่างที่เห็น
ผมฟาดลงติดกันสองครั้ง แล้วกวาดไปด้านข้างครั้งหนึ่ง และสุดท้าย ก็แทงดึงติดกันสามครั้งเพื่อเช็คประสาทสัมผัสความคุ้นชิน
ดูเหมือนจะใกล้ได้เวลาที่ผมจะไปเดบิวเปิดตัวชั้นสองแล้วสินะ?
การเดบิวเปิดตัวชั้นสองที่ว่า ผมหมายถึง การลองสู้กับมนุษย์ผู้มีความสามารถที่จะบุกเข้ามาที่ชั้นสองได้
พอผมเปิดสมาร์ทโฟนตัวเองดูก็เห็นมนุษย์ 12 คนที่บุกเข้ามาเมื่อ 2 ชั่วโมงที่แล้วกำลังอยู่ท่ามกลางฝูงกูล
ระดับความแข็งแกร่งเจ้าพวกนั้น คือ เลเวล 3 สินะ ? แบบนี้ก็เหมาะเจาะลงตัวพอดี
ผมพาลูกน้องไปด้วย ไปยังพื้นที่ที่มนุษย์กำลังสู้กับกูลอย่างลำบากอยู่