บทที่ 33 เพลงหมัดราชันพยัคฆ์
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะพร้อมฮือฮาโห่ร้องก็พลันหยุดลงในทันที
หยางหมิง หยางไห่ และเฉินหยวน ต่างถ่างตาโพลงแลอ้าปากหวออย่างตกตะลึงกับร่างที่ลอยละลิ่วหล่นลงสู่พื้นกระแทกเสียงดัง
สายตาเย้ยหยันของเฉิงเป้ยเป้ยผู้คอยเฝ้าจับตา ตอนนี้ได้ปรับเปลี่ยนไป มีสีหน้าซีดเซียวตกใจยังภาพเบื้องหน้า
รวมทั้งเหล่าบรรดาองครักษ์ของหมู่บ้านสกุลหยางที่ทั่วกายแข็งทื่อ
ไม่เว้นแม้แต่หยางเฉาและหวงอิ๋งเช่นกัน
“สี่ ระดับสี่!” เฉินหยวนอุทาน ขณะสายตายังค้างจ้องที่หยางเสี่ยวเทียนบนสนามประลอง เขาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งเห็นเต็มสองตา จากเด็กผู้ทำเพียงนิ่งเฉยมิไหวติงในพละกำลังของอีกฝ่ายแม้สักเล็กน้อย
เพลานี้ หยางเสี่ยวเทียนยืนเด่นด้วยส่วนสูงเพียงสี่ฉื่อบนสนามประลองโดยสีหน้าราบเรียบ แต่ภาพที่ทุกคนเห็นกลับดูสูงตระหง่านราวกับหินผาเหนือขุนเขาขนาดใหญ่
“เป็นไปไม่ได้!” หยางไห่ตะเบ็งเสียงสอดแทรกเยี่ยงคนดื้อรั้นหลังเงียบงันไปนาน
เพียงวิญญาณยุทธ์เต่าขยะระดับสอง จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นนักยุทธ์ระดับสี่ในเวลาไม่ถึงสองเดือนได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้!
ขณะที่ทุกคนหยุดนิ่งภายใต้ภวังค์จากเหตุการณ์ที่ปรากฏ เสียงปรบมือพร้อมกับหัวเราะของหยางหลิงเอ๋อร์ก็ส่งพวกเขาสะดุ้งตื่นสุดตัว
“พี่ใหญ่ของข้าเก่งมาก!”
และแล้ว หยางจงผู้ร่างกระเด็นปลิวด้วยแรงปะทะจนสุดขอบสนาม กัดฟันทนความเจ็บปวดยันสังขารตนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง นัยน์ตาเดือดพล่านเพ่งเล็งไปเบื้องหน้าหาหยางเสี่ยวเทียนด้วยโทสะจวนคลุ้มคลั่ง
“เจ้า! เจ้าจะแข็งแกร่งกว่าข้าได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้!”
สายตาคุกรุ่น ไม่อาจยอมรับผลลัพธ์ที่ปรากฏตรงหน้าได้ “แค่วิญญาณยุทธ์เต่าขยะระดับสอง จะแข็งแกร่งกว่าข้าได้อย่างไรกัน”
“เป็นไปไม่ได้!”
หลังตะคอกกราวดังกึกก้อง พลังปราณก็พวยพุ่งออกจากกายหยางจงอีกครั้ง ก่อนเคลื่อนตัวโถมเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนดุร้ายราวกับสัตว์ป่า
“ราชันพยัคฆ์เซี่ยซาน!” เขาแผดเสียงคำรามดังสนั่น ปลุกเร้ากำลังใจตนข่มกลั้นความหวาดกลัวที่เริ่มคลืบคลานออกจากภายใน
ราชันพยัคฆ์เซี่ยซานเป็นการโจมตีที่ทรงพลังสุดของวรยุทธเพลงหมัดราชันพยัคฆ์
กระบวนท่านี้เป็นการสั่งสมพลังปราณผสานรวมกับความเร็ว ดั่งเสือวิ่งดิ่งลงจากขุนเขาสูงชันด้วยพลังมหาศาล ส่งแรงหมัดให้หนักหน่วงขึ้นเป็นสิบเท่า
หากเทียบกับหมัดที่เขาใช้ก่อนหน้า เพลงหมัดของหยางจงในตอนนี้นั้น แข็งแกร่งกว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย
ถ้าโดนหมัดนี้เข้า กระดูกซี่โครงทุกซี่ของหยางเสี่ยวเทียนคงถูกบดขยี้ให้แตกหักจนแหลกลาญ ไม่ตายก็ได้พิการ สาสมต่อความอับอายบนใบหน้าหยางจงในตอนนี้นัก
ซึ่งพละกำลังของวิญญาจารย์ขั้นนักยุทธ์ระดับสามขั้นปลาย สามารถผลักคนตัวใหญ่ปลิวออกไปได้อย่างง่ายดายไม่ต่างจากปุยนุ่น
ในขณะที่หยางจงจวบจวนถึงตัวหยางเสี่ยวเทียน จนใกล้มากพอเห็นใบหน้านิ่งสงบของเขาแทบไม่สะทกสะท้านต่อแววตาแดงฉานเยี่ยงสัตว์ร้ายนี้
พอครั้นเผลอพลั้งสบสายตาเรียบเฉยของหยางเสี่ยวเทียนเข้าอย่างไร้สติ โดยไม่ระวัง หมัดแน่นฝั่งขวาที่ได้ยกขึ้นสูงระดับเดิม ก็ปล่อยสวนออกไปอีกครั้ง
ปัง!!!
หมัดของทั้งคู่ปะทะกันรุนแรงเป็นคราที่สอง
ส่งร่างสะบักสะบอมของหยางจงกระเด็นหล่น กลิ่งขลุกไปตามพื้นของสนามประลองจนสุดขอบสนามกระแทกตกยังเบื้องล่างอย่างน่าเวทนาอีกหน
พื้นดินสะเทือนสั่นทุ้งเศษหินกระจุยจาย
ฝุ่นผงอบอวลคลายบางเบา เผยให้เห็นร่างเหยียดยาวนอนแน่นิ่งของหยางจงบนพื้นศิลา ประจักษ์ต่อสายตาทุกคู่ดั่งได้แต่เปิดปากค้างด้วยความตระหนกตกใจ
“จงเอ๋อร์!”
หยางไห่ผู้รู้สึกตัวตื่นจากภวังค์ก่อนใคร เคลื่อนกายเข้าหาหยางจงอย่างเร่งรีบด้วยท่าทางพะวักพะวน เขาอุ้มร่างอ่อนปวกเปียกไร้กำลังของลูกชายขึ้น ก่อนโล่งใจเมื่อพบว่าอาการบาดเจ็บไม่ได้ร้ายแรง เพียงแค่หมดสติไปเท่านั้น
หยางไห่หันเพ่งเล็งกลับไปมุ่งจะติโทษหยางเฉาด้วยความเกรี้ยวโกรธทันที “หยางเฉา เจ้ายังไม่ยอมรับอีกว่าแอบยักยอกเหรียญทองของตระกูลไป ซื้อโอสถสร้างฐานวิญญาณจำนวนมากให้กับลูกชายของเจ้า!”
เพียงได้ยินคำกล่าวเหลวไหลดังนั้น หยางหมิงก็พลอยพลันหันเหลือบสายตาหาหยางเฉาผู้เป็นลูกชายราวกับจ้องฆาตกร ไม่มีตรึกตรองถึงข้อจริงเท็จ
เห็นได้ชัดว่าเขาเชื่อวาจาจากลมปากของลูกชายคนโตมากกว่าเชื้อไขอีกคน อย่างที่หยางเฉาไม่ทันแม้แต่จะปริปากเอ่ยค้านข้อกล่าวหาใดๆ
เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น วิญญาณยุทธ์เต่าขยะระดับสองของหยางเสี่ยวเทียน มีหรือจะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นนักยุทธ์ระดับสี่ ได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
จะมีก็แต่หยางเสี่ยวเทียนใช้โอสถสร้างฐานวิญญาณจำนวนมากเท่านั้น จึงจะสามารถทะลวงเช่นนั้นได้
“โอสถสร้างฐานวิญญาณจำนวนมากงั้นหรือ” น้ำเสียงเย็นชาของเด็กน้อยผู้ยืนตระหง่านบนสนามประลองดังขึ้น คล้ายเวทนาต่อสติปัญญาและคำครหาอย่างหน้าไม่อายของผู้เป็นลุง
“ท่านคิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนลูกชายไร้ค่าของท่านหรืออย่างไร ถึงต้องใช้เพียงโอสถสร้างฐานวิญญาณจำนวนมากในการทะลวงเข้าสู่ระดับสามหรือสี่” หยางเสี่ยวเทียนเยาะเย้ยขณะย่างกายเข้าใกล้เขา ให้ได้เห็นแววตาสมเพชเวทนานี้อย่างแจ่มชัด หลังต้องทนฟังเสียงพล่ามของเขาคอยให้ร้ายแก่ผู้เป็นบิดาตนอยู่ฝ่ายเดียว
ใบหน้าหยางไห่ดำมืดลงด้วยความเดือดดาลทันที “เจ้า!”
หยางเสี่ยวเทียนเบือนหนีไม่แยแส กระโดดลงจากสนามประลองผ่านกายเขาพร้อมร่างไร้สติของลูกชายผู้สูงส่งนั่นไปอย่างไม่แม้จะเหลียวแล
“ท่านพ่อท่านแม่ เราไปกันเถอะ” เขาหันกล่าวกับหยางเฉาและหวงอิ๋งที่ยังอยู่ในห้วงประหวั่นตั้งแต่คราแรก
พอเสียงเรียกจากลูกชายดังขึ้น หยางเฉากับหวงอิ๋งก็ถึงสะดุ้งตื่นคล้ายคนหลุดเคลิ้มจากฝันอันน่าเหลือเชื่อ ทั้งคู่มองหยางเสี่ยวเทียนราวประหลาดใจ แม้อยากกล่าวโต้ตอบแต่เสียงในลำคอดันไม่เป็นใจ
หยางเสี่ยวเทียนพร้อมทั้งคนในครอบครัว เดินออกจากสนามประลองภายใต้การจ้องมองดุจสะพรึงกลัวของผู้คนมากมาย