บทที่ 32 สมเป็นหลานชายของหยางหมิงผู้นี้
เมื่อเฉินหยวนมาถึงเขาก็มองไปทางหยางเสี่ยวเทียน ผู้ยืนอยู่บนสนามประลองก่อนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มลำพองใจ
“เจ้าเด็กเหลือขอ ข้ายังจำวาจาของเจ้าที่กล่าวในตอนนั้นได้ หากเมื่อใดศิษย์ข้ากลับมาเจ้าจะเอาชนะเขาได้ในกระบวนท่าเดียวใช่หรือไม่ ตอนนี้ เจ้าคงต้องทุ่มกำลังทั้งหมดที่มี ไม่เช่นนั้นจะเป็นเรื่องน่าอายยิ่ง หากผู้ที่พ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียวครั้งนี้เป็นเจ้า”
ภายใต้ดวงตาใสแต่เรียบเฉย หยางเสี่ยวเทียนเพียงยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “หากข้าสามารถเอาชนะลูกศิษย์ของท่านได้จริงๆ ท่านจะว่าอย่างไร”
ได้ยินสิ่งนี้ เฉินหยวนก็หัวร่อเสียงดังสนั่นเต็มที่ขณะยกมือขึ้นลูบเครายังคางตน “ฮ่าๆๆ หากเจ้าสามารถเอาชนะลูกศิษย์ของข้าได้จริง ข้าจะยอมรับเจ้าเป็นศิษย์อีกคนทันที”
ด้วยคอยอบรมสั่งสอนจากเขามาหลายวัน ความแข็งแกร่งในการฝึกฝนของหยางจงได้เพิ่มขึ้นอย่างมากสมกับเป็นศิษย์เขา
ผู้ไร้พรสรรค์เยี่ยงหยางเสี่ยวเทียน จะเป็นคู่ต่อสู้ของศิษย์เขาได้อย่างไร
“ทว่าเจ้าต้องระวังให้มาก เพราะความแข็งแกร่งของศิษย์ข้านั้น เกินกว่าที่เจ้าจะสามารถจินตนาการได้ในตอนนี้” เฉินหยวนกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโสขณะเหยียดมุมปากบนใบหน้า
“เช่นนั้นหรือ…” ฟังจบดังนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็หันเหลือบตาไปทางหยางจงที่อยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทางนิ่งเฉย
เฉิงเป้ยเป้ยชายตามองหยางเสี่ยวเทียนผู้ยืนอยู่บนสนามประลองพร้อมเอ่ยวาจาเยาะเย้ย “มีเพียงวิญญาณยุทธ์เต่าขยะ ยังหวังจะชนะศิษย์น้องเล็กของข้าอีกงั้นหรือ”
“ช่างเป็นเด็กที่โง่เขลาเสียจริง”
แม้น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยของเฉิงเป้ยเป้ยจะไม่ดังมาก แต่ก็พอแจ่มชัดถึงใครหลายคนที่อยู่ใกล้เคียงให้ได้ยินอย่างชัดเจน
หยางจงซึ่งตอนนี้ได้โคจรพลังวิญญาณในกาย เพ่งสายตามองหาหยางเสี่ยวเทียนเชิงส่งสัญญาณเตรียมรับมือ “หยางเสี่ยวเทียน ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของเจ้าออกมา ข้าจะให้โอกาศเจ้าลงมือก่อน”
หยางเสี่ยวเทียนกลับส่ายหัวบอกกับท่าทีจริงจังของเขา “เจ้าลงมือก่อนจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องถูกข้าทุบตีจนร้องไห้งอแงเหมือนคราที่แล้ว”
ครั้งสุดท้ายที่หยางจงอวดภูมิร้องขอเขาให้ลงมือก่อนนั้น หยางเสี่ยวเทียนทุบตีเขาจนขอบตาช้ำไม่ต่างจากดวงตาของหมีแพนด้า
พอครั้นได้ยินหยางเสี่ยวเทียนกล่าวถึงวันประชุมหารือประจำปีครั้งล่าสุด หยางจงก็พลันนึกถึงฉากอันน่าอับอายต่อหน้าผู้คนนับร้อยนั้นอีกครา ทำดวงตาเขาเริ่มแดงก่ำพร้อมคลุ้มคลั่งอย่างโกรธแค้น ก่อนจะปรี่ยกหมัดพุ่งเข้าหาหยางเสี่ยวเทียนด้วยขาดสติทันที
“หยางเสี่ยวเทียน วันนี้ข้าจะทุบตีเจ้าให้ตาย!”
เขารู้สึกว่าการกระทำของหยางเสี่ยวเทียนในวันนั้น เป็นการกระทำโดยตั้งใจ
หยางเสี่ยวเทียนจงใจทำให้เขาอับอายต่อหน้าทุกคนในหมู่บ้านสกุลหยางอย่างน่าอัปยศ
เขาพยายามลบลืมภาพจำอันน่าละอายเหล่านั้นอย่างหนัก แต่วันนี้ หยางเสี่ยวเทียนกลับนำมาพูดถึงราวเยาะเย้ยอีกครั้ง แล้วจะให้เขาทนนิ่งเฉยอยู่ได้เยี่ยงไร
ขณะรี่เข้าหาคนตรงหน้า หยางจงก็ปลดปล่อยพลังปราณพวยพุ่งรอบกายตน กับกำปั้นที่ปรากฏเป็นกรงเล็บงอกออกมาแผ่กลิ่นอายราวกับเสือ
“นักยุทธ์ระดับสามขั้นปลาย!”
เหล่าองครักษ์ของหมู่บ้านสกุลหยางต่างแตกตื่นตกตะลึงในทันที
หลังจากหยางจงทะลวงเข้าสู่ระดับสาม หยางหมิงและหยางไห่ก็ไม่ได้ป่าวประกาศให้ผู้ใดรับรู้ จึงไม่แปลกที่เหล่าองครักษ์ของหมู่บ้านสกุลหยางจะรู้สึกประหลาดใจ เมื่อได้เห็นหยางจงอยู่ในขั้นนักยุทธ์ระดับสามแล้ว
แม้แต่หยางหมิงและหยางไห่ก็ยังประหลาดใจเช่นกัน หลังพบว่าเขาทะลวงถึงขั้นปลายของนักยุทธ์
เพราะในสารจากหยางจงบอกเพียงว่าเขาทะลวงเข้าสู่ระดับสามเท่านั้น แต่ไม่ได้บอกว่าเขาทะลวงเข้าสู่ระดับสามขั้นปลายแล้ว
ทั้งสองคนแทบไม่อยากเชื่อว่าหยางจงจะสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับสามได้ภายในเวลาอันสั้นเพียงเท่านี้
“ดี! ดีมาก! เขาสมกับเป็นหลานชายของหยางหมิงผู้นี้จริงๆ ฮ่าๆๆ” หยางหมิงมองยังหยางจงที่อยู่บนสนามประลองแล้วหัวเราะออกมาอย่างสำราญใจ
หลานชายผู้นี้ ทำเขาประหลาดใจได้มากจริงๆ
กิริยาหยางหมิงตอนนี้แทบไม่สามารถนั่งนิ่งสงบสติอารมณ์จากความตื่นเต้นได้
ไม่ผิดไปจากรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของหยางไห่เพลานี้เช่นกัน
ลูกชายที่ประเสริฐผู้นี้ คอยสร้างแต่ความภูมิใจแลเกียรติยศให้เขาได้ตื่นตาตื่นใจไม่มีพักหายใจเลย
“เด็กคนนี้ช่างเหมือนกับข้าเมื่อก่อนนัก ฮ่าๆๆ” หยางไห่เปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างพึงพอใจอีกคน
เช่นเดียวกับรอยยิ้มที่เปื้อนบนใบหน้าเฉินหยวน อันแสดงให้เห็นว่าเขาภาคภูมิใจและคาดหวังต่อศิษย์คนนี้มากแค่ไหน
“ใต้เท้าเฉินหยวน วรยุทธ์ที่จงเอ๋อร์ใช้คือหมัดราชันพยัคฆ์ใช่หรือไม่” หยางหมิงเอ่ยถามเฉินหยวนขณะใบหน้าท่วมท้นด้วยความสุข
หมัดราชันพยัคฆ์ เป็นหนึ่งในวรยุทธ์ชั้นสูงที่ได้รับสืบทอดจากสำนักเสินเจี้ยน ซึ่งหยางหมิงคุ้นเคยกับวรยุทธ์นี้เป็นอย่างดี
“ใช่แล้ว มันคือหมัดราชันพยัคฆ์” เฉินหยวนพยักหน้าตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปชื่นชมการประลองของศิษย์ตนยังเบื้องหน้า
ในขณะที่หยางจงกำลังพุ่งเข้าโจมหาหยางเสี่ยวเทียนด้วยนัยน์ตาแดงก่ำราวกับเสือบ้า แต่สีหน้าคนตรงหน้ากลับนิ่งเฉยไม่เกรงกลัว
หยางเสี่ยวเทียนเพียงย่อตัวลง สืบเท้าซ้ายไปข้างหน้าแล้วกระชับหมัดแน่นระดับเอวมั่นคงอยู่กับที่ ลมปราณขั้นนักยุทธ์ระดับสี่ก็เริ่มเดินเวียนตามกำปั้นที่เขาสวนออกไปยังหยางจงผู้โผลงเข้าหา
ปัง!
หมัดทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง
ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วพื้นที่โดยรอบจนสะเทือน
ร่างแกร่งทรงพลังก่อนหน้าราวกับเสือร้าย ตอนนี้กลับปลิวไปราวกับใบไม้ร่วง
ตกลงขอบสนามประลองอย่างรุนแรง
จนฝุ่นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณด้วยแรงสั่นสะเทือนมหาศาล