MDB ตอนที่ 430 แมลงแผดเผาในทะเลเปลวเพลิง
บรรยากาศที่ภูเขากู่คองช่างเลวร้ายเสียจนแม้แต่นกยังหลบเลี่ยงสถานที่แห่งนี้ ผู้ที่เดินเข้าไปในสถานที่โดยไม่ได้ตั้งใจจะหายใจไม่ออกด้วยควันพิษที่ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างไม่หยุดยั้ง และช่วงแห่งความตายก็จะคืบคลานมาหาพวกเขาในเวลาต่อมา
นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่อันตรายที่สุดในทวีปทักษิณ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสิ่งแวดล้อมจะเป็นอันตรายแค่ไหน มนุษย์มักจะหาหนทางปรับตัวเข้ากับมันได้
ดังสุภาษิตโบราณที่กล่าวไว้ว่า โชคร้ายไม่สามารถแยกออกจากโชคดีได้ มันเป็นแนวคิดหลักที่นิกายลัทธิเต๋ายึดถือ มันคือการแบ่งขั้วหยินหยาง ซึ่งเป็นตัวแทนของขั้วตรงข้ามของกันและกัน มันจะใช้กล่าวถึง ยิ่งสถานที่อันตรายเท่าไหร่ มันก็จะมีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ในนั้น
ภูเขานี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน เนื่องจากมีสมุนไพรวิญญาณและสัตว์ป่ามากมาย ดังนั้นคนเก็บสมุนไพรและนักล่าจึงมักแวะเวียนไปที่ภูเขากู่คอง
แน่นอนว่าหลินจินไม่ยอมให้นกอินทรีของเขาบินขึ้นไปบนภูเขา ด้วยหมอกหนาสูงขึ้นไปหลายพันฟุต เขาเกรงว่านกอินทรีของเขาจะไม่สามารถทนต่ออากาศอันเลวร้ายได้
ยิ่งไปกว่านั้น ความเสี่ยงที่พวกเขาจะหลงเข้าไปในกับดักอื่นที่นักพรตลัทธิเต๋าวางไว้ ดังนั้น การเดินทางบนบกมีความเสี่ยงน้อยกว่า
ปัญหาใหญ่ที่สุดที่นี่คืออากาศที่เป็นพิษ แม้แต่สัตว์วิเศษที่บินได้ที่แข็งแกร่งกว่านี้ ก็นยังยากที่จะเอาตัวรอดได้ แล้วนับประสาอะไรกับนกอินทรีของเขา
เส้นทางบนภูเขาที่อยู่ข้างหน้าจะนำพวกเขาไปสู่อาณาเขตของภูเขากู่คอง แต่กลับถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาแทบจะมองไม่เป้นสิ่งใด ถัดจากเส้นทางนั้นมีแผ่นศิลาซึ่งมีคำว่า 'ภูเขากู่คอง' เขียนเป็นภาษาจีนโบราณ ซึ่งบ่งบอกถึงอายุของมัน ศิลานั้นชำรุดทรุดโทรมและมีเถาวัลย์ที่ตายแล้วปกคลุมอยู่
ด้วยเหตุผลบางอย่าง โกลดี้มีจิตใจเบิกบานเป็นพิเศษนับตั้งแต่มาถึงที่นี่ ราวกับว่ามันแทบจะรอให้การเดินทางเริ่มต้นไม่ไหว ถ้าหลินจินไม่จับเจ้าไก่ไว้ มันก็คงจะไปไหนต่อไหนแล้ว
ขณะที่เขาเดินไปตามทางเดิน หลินจินก็สังเกตเห็นคนเก็บสมุนไพรนั่งอยู่บนก้อนหินที่อยู่ไกลออกไป ชายคนนั้นสวมหมวกสีเขียวและเสื้อเชิ้ตแขนสั้นที่เผยให้เห็นรูปร่างกำยำของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้มาเยือนภูเขานี้บ่อยครั้ง ข้าง ๆ เขา มีตะกร้าสมุนไพรบรรจุอาหารที่ห่อด้วยใบไม้ใบใหญ่
‘มันต้องเป็นข้าวปั้นแน่ ๆ’ หลินจินคิด
ข้าวปั้นเป็นอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์และผักแห้ง ห่อด้วยข้าวสวยแล้วนึ่งก่อนรับประทาน นี่เป็นของว่างแบบพกพาที่สมบูรณ์แบบสำหรับพกพาเมื่อเดินป่า
เมื่อชางเอ๋อร์ปฏิเสธที่จะกลับร่างเดิม หลินจินจึงเดินไปทางคนเก็บสมุนไพรโดยมีจิ้งจอกอยู่ในอ้อมแขนของเขา คนเก็บสมุนไพรสังเกตเห็นว่ามีคนเดินเข้ามาหาเขา ดังนั้นเขาจึงมองดูด้วยสีหน้าระมัดระวังขณะเอื้อมมือไปหยิบมีดที่เขาซ่อนไว้ตรงข้างหลัง
มีดเก็บสมุนไพรของเขามีลักษณะคล้ายเคียว ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้สำหรับการเก็บเกี่ยวข้าวสาลี อย่างไรก็ตาม มีดของเขามีขนาดเล็กกว่ามีดทั่วไปเล็กน้อย ซึ่งน่าจะสะดวกกว่าสำหรับการนำทางไปรอบ ๆ ป่ามากกว่า
ดังนั้น มีดของคนเก็บสมุนไพรจึงมีความคมพอที่จะเก็บเกี่ยวสมุนไพรได้อย่างง่ายดาย และยังใช้ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดหรือหัวขโมย หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นอีกด้วย
หลินจินที่สวมหน้ากาก แถมเขายังอุ้มจิ้งจอกที่สวยงามจนต้องอ้าปากค้าง เช่นเดียวกับไก่ตัวหนึ่งที่กระพือปีกพร้อมที่จะพุ่งเข้ามาหาเขา
ด้วยการรวมตัวดังกล่าว ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องสงสัยและหวาดกลัวต่อการปรากฏตัวของหลินจิน
คนเก็บสมุนไพรกำลังอยู่ในอารมณ์วิตกขณะที่เขาคว้าที่จับมีด จากนั้น ในตะกร้าสมุนไพรของเขา มีกระรอกตัวหนึ่งโผล่หัวออกมา และมันก็ดูกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด
ดูเหมือนว่ากระรอกตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของเขา
หลินจินเดินผ่านคนเก็บสมุนไพรโดยไม่หยุดมอง และเดินทางต่อไปยังภูเขากู่คอง เมื่อตระหนักว่าหลินจินเป็นเพียงคนสัญจรไปมา คนเก็บสมุนไพรก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถึงกระนั้น เมื่อสังเกตเห็นทิศทางที่หลินจินกำลังเดินไป ชายคนนั้นก็ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตะโกนออกมาว่า
“ท่านชาย ท่านกำลังมุ่งหน้าไปยังภูเขากู่คองหรอกหรือ?”
หลินจินหยุดชั่วคราวและพยักหน้า
"ถูกต้อง"
คนเก็บสมุนไพรกล่าวเสริมว่า
“ภูเขากู่คองเป็นสถานที่อันตราย หากท่านไม่มีธุระสำคัญ ทางที่ดีอย่าเข้าไปข้างในจะดีกว่า”
มันเป็นคำแนะนำที่ค่อนข้างเป็นมิตร
เนื่องจากชายคนนี้มักจะรวบรวมสมุนไพรบริเวณขอบภูเขากู่คอง เขาจึงคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ดี คนแปลกหน้าคนนี้ดูเหมือนเขากำลังเดินเข้าไปในพื้นที่อันตรายโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเขาควรจะจะแนะนำเผื่อไว้
หลินจินมองออกว่าเขาหวังดี ดังนั้นเขาจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“จริง ๆ แล้ว ข้ามีธุระสำคัญอยู่ในนั้น”
“เข้าใจแล้ว!” ตอนนี้คนเก็บสมุนไพรพูดได้เพียงว่า “ถ้าอย่างนั้น โปรดระวังพิษและแมลงพิษด้วย มีหญ้าไล่แมลงมากมายตามเส้นทาง โดยพวกมันมีใบไม้เจ็ดใบ เลือกมาบางส่วนแล้วถูให้ทั่วร่างกายเพื่อไล่แมลงพิษเหล่านั้นออกไป”
คนเก็บสมุนไพรกำลังชี้ไปที่สมุนไพรอันนั้นในขณะที่เขาพูด
เขาทำด้วยความตั้งใจดีเหมือนกัน
หลินจินโค้งเล็กน้อยและขอบคุณเขา
จากนั้นเขาก็ก้าวเข้าสู่ภูเขากู่คองแสนอันตรายโดยไม่ชักช้า
คนเก็บสมุนไพรเฝ้าดูขณะที่หลินจินจากไป และเขาก็ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
“เฮ้อ มาอีกคนแล้ว ถึงก่อนหน้านี้จะมีข่าวลือแพร่สะพัดว่ามีผู้อมตะอาศัยอยู่ในภูเขากู่คอง แต่ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องโกหก มีผู้คนนับไม่ถ้วนเสียชีวิตจากการค้นหาผู้อมตะอย่างไร้ประโยชน์ แต่ว่า ข้าพูดในสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไร” เขาพึมพำเบา ๆ
จากนั้น คนเก็บสมุนไพรก็ยัดข้าวปั้นก้อนสุดท้ายเข้าปาก อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะกลืนมันลงไป เขาก็หันไปเห็นบางอย่างและตัวแข็งทื่อ
สิ่งที่เขาเห็นคือสัตว์เลี้ยงของเขา มันเป็นกระรอกที่ได้รับการฝึกฝนให้ค้นหาสมุนไพร ณ ตอนนี้ มันเริ่มทำตัวผิดปกติ แถมยังมีออร่ายาล้อมรอบตัวมัน นอกจากนี้ สมุนไพรที่เขาเก็บในตะกร้าก็เริ่มคายพลังวิญญาณธาตุไม้ออกมา และเริ่มงอกงามอย่างน่าอัศจรรย์
มันช่างเหลือเชื่อจริง ๆ!
หลังจากที่อยู่มานาน นี่เป็นครั้งแรกที่คนเก็บสมุนไพรได้เห็นอะไรแบบนี้
คนที่มีความรู้มากขึ้นคงจะรับรู้ถึงพฤติกรรมแปลก ๆ ของกระรอกว่าเป็นสัญลักษณ์ของวิวัฒนาการอย่างแน่นอน
หรือให้พูดอีกที มันอยู่ในกระบวนการวิวัฒนาการแล้ว
เมื่อถึงระดับสองเท่านั้น เหล่าสัตว์วิเศษถึงจะสามารถใช้พลังธาตุของมันได้ และเห็นได้ชัดว่ากระรอกตัวนี้มีคุณสมบัติเป็นธาตุไม้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมจึงสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับออร่าของสมุนไพร และช่วยให้พวกมันเติบโตได้...
ณ ตอนนี้ หลินจินอยู่ลึกเข้าไปในภูเขากู่คองแล้ว
“พิษที่นี่หนาแน่นมาก!” หลินจินไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าในระยะสามเมตรได้เลย เนื่องจากทุกสิ่งถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาว ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนมักจะหลีกเลี่ยงสถานที่แห่งนี้
ที่ซ่อนอยู่ในหมอกมีแมลงพิษจำนวนมากคลานไปมาและส่งเสียงกรอบแกรบขณะที่พวกมันเคลื่อนไหว แม้จะมีจิตใจที่แข็งแกร่งของหลินจิน เขาก็พบว่าเสียงดังกล่าวมันทำให้ตัวเขาขนลุกไปทั้งตัว
ชางเอ๋อร์กำลังมองไปรอบ ๆ อย่างตื่นตัวด้วยเช่นกัน มีแค่โกลดี้เท่านั้นที่ตื่นเต้น ขณะที่มันออกอาละวาดตามล่าหาอาหารเหมือนลูกไก่แรกเกิดที่ไม่รู้จักอิ่ม
แต่หลินจินก็ไม่คิดจะหยุดมัน เขาปล่อยให้มันกินจนอิ่ม ในบางสถานที่เป็นเรื่องยากที่จะหาแมลง เขาจึงจะปล่อยให้เจ้าไก่หาของกินจนกว่าจะพอใจ ท้ายที่สุดแล้ว โกลดี้คือผู้ที่ให้หลินจินยืมพลังของมันเพื่อเล่นงานวัดต้าหลัว คือซะว่านี่เป็นรางวัลสำหรับความช่วยเหลือของมัน
ความกังวลเดียวที่หลินจินมีคือพิษร้ายแรงของแมลงที่อาจเป็นอันตรายต่อโกลดี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คิดอีกที เขาก็คิดว่าเขากังวลไปเองเท่านั้น โกลดี้มีร่างกายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และถ้ามันกล้าพอที่จะกินพวกมัน บางทีมันอาจจะรับมือพิษเหล่านั้นได้
แม้ว่ามันจะติดพิษ แต่ก็มีหลินจินอยู่ข้าง ๆ เจ้าไก่ก็น่าจะไม่เป็นอะไร
โกลดี้พุ่งไปรอบ ๆ เหมือนคนบ้า กลืนกินแมลงหลายชนิด รวมถึงแมลงที่ดูน่ากลัว เช่น ตะขาบ แมงป่อง ไม่มีอะไรสามารถหลีกหนีความอยากอาหารอันไม่มีสิ้นสุดของเจ้าไก่ได้
หลังจากเข้าไปในภูเขา หลินจินก็เริ่มรับรู้ถึงกลิ่นอายของวานรยักษ์ขาว
เห็นได้ชัดว่าศัตรูยอมให้วานรยักษ์ขาวปลดปล่อยออร่าของเขาออกมา กล่าวอีกนัยหนึ่ง 'นักพรตลัทธิเต๋า' ตระหนักถึงการมาถึงของหลินจินแล้ว
ตามทิศทางของกลิ่นอาย หลินจินเดินตรงเข้าไป เขาเดินผ่านป่าหนาทึบ ขณะที่พวกเขากำลังเดินผ่านหุบเขา ก็มีเหตุประหลาดเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
จู่ ๆ หมอกพิษก็ทวีความหน่แน่นมากขึ้น และภายในหมอกก็เสียงกรอบแกรบเริ่มดังขึ้น บ่งบอกว่ามีฝูงแมลงพิษอยู่ที่ไหนสักแห่งข้างนอกนั้น
ปรสิตและแมลงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของคาถาบางอย่าง ซึ่งอธิบายถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติของพวกมัน
หลินจินสะบัดแขนเสื้อ กวาดลมกระโชกแรงเพื่อพัดพาสิ่งกำบังที่อยู่รอบตัวพวกเขาออกไป เมื่อหมอกสลายหายไป ในที่สุด พวกเขาก็มองเห็นฝูงแมลงพิษคลานรอบตัวพวกเขาในที่สุด พวกมันถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นทะเล
มันอาจมีแมลงนับแสนหรือนับล้านตัวที่นี่
วินาทีต่อมา แมลงพิษก็พุ่งเข้ามาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
“เพลิงมังกร!”
หลินจินตอบสนองทันเวลา เขาเสกคาถาขึ้น และเปลวไฟเล็ก ๆ ก็ระส่ำอยู่บนปลายนิ้วของเขา จากนั้น เขาชี้มันไปที่ฝูงแมลง เมื่อมันตกลงบนพื้น มันเหมือนกับน้ำมันที่ติดไฟ มันได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และแผดเผาฝูงแมลงรอบตัวพวกเขาทันที
หลินจินไม่กลัวไฟ ด้วยร่างกายาแห่งธรรมของเสี่ยวฮั่ว ไม่มีเปลวไฟใดที่จะทำร้ายหลินจินได้