บทที่ 29 ศัตรูพานพบ
บรรดาผู้อาวุโสของสำนักเสินเจี้ยนต่างพากันกล่าวขานถึงโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์จำนวนสิบสี่ชุดที่เพิ่งเคยปรากฏออกมาจำนวนมากขนาดนี้เป็นครั้งแรก เช่นเดียวกับผู้คนในหมู่บ้านสกุลหยางในเวลานี้เช่นกัน
นั่นรวมถึงหยางเฉาและหวงอิ๋งด้วย
“หากเราสามารถซื้อโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ได้สักสองชุดให้เสี่ยวเทียนเพื่อบ่มเพาะ เขาอาจสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับสองหรือสามได้” หวงอิ๋งกล่าวออกมา
หยางเฉาเพียงยิ้มด้วยใบหน้าอันขมขื่นหลังได้ยินสิ่งที่ภรรยากล่าว “โอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์สองชุดนั่น มีราคาอย่างต่ำหกหรือเจ็ดพันเหรียญทอง ซึ่งเราไม่สามารถจ่ายได้แม้แต่ชุดเดียว”
กล่าวจบเขาก็ถอนหายใจส่งบรรยาศรอบกายดูเซื่องซึมไปด้วย
เขานะหรือจะไม่อยากซื้อโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ให้ลูกชายใช้มันบ่มเพาะ เพียงแต่ไม่สามารถหาเงินได้มากพอที่จะซื้อโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ แม้จะอยากซื้อมันมากเท่าใดก็ตาม
“เรื่องที่อยู่อาศัยใหม่เป็นอย่างไรบ้างท่านพี่” หวงอิ๋งก็รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ดี นางจึงบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่นเมื่อสัมผัสได้ถึงความทุกข์ใจจากผู้เป็นสามี
พวกเขาจำต้องย้ายออกจากหมู่บ้านสกุลหยาง จึงต้องหาที่อยู่อาศัยใหม่
หยางเฉาส่ายหัว “มีเรือนประกาศขายไม่กี่หลังอยู่ทางตอนเหนือของเมืองซิงเยว่ แต่ทำเลตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมากเกินไปและยากต่อการเดินทาง ทั้งยังมีราคาสูงถึงเจ็ดร้อยเหรียญทอง”
“กับเรือนที่ประกาศขายอยู่ทางตอนใต้ของเมือง ซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่กว่าอีกทั้งยังทำเลดี แต่ราคานั้นมากถึงพันห้าร้อยเหรียญทอง”
แม้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาจะพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับมากมายนัก มีจ่ายได้มากสุดเพียงพันเหรียญทองเท่านั้น
หวงอิ๋งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเสนอแนะ “ข้าจะกลับไปที่เหลยเฉิงเพื่อขอยืมเงินจากท่านพ่อ”
บิดาของนางเป็นผู้นำตระกูลหวงที่เมืองเหลยเฉิง ซึ่งมีฐานะร่ำรวยและเขาก็รักนางมาก ดังนั้น หวงอิ๋งจึงกล่าวออกมาได้อย่างเต็มปาก เรื่องขอยืมเงินจากเขาที่ถือเป็นจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับฐานะของทางตระกูล
หยางเฉาคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นส่ายหัวแม้จะอย่างเห็นด้วย “จนกว่าจะถึงที่สุด และเราไม่ควรจะรบกวนท่าน”
เขารู้นิสัยของผู้เป็นพ่อตาดีว่าท่านเต็มใจช่วยแม้ครอบครัวเขาจะประสบปัญหาใด แต่พี่สะใภ้ของหวงอิ๋งนั้นมีจิตใจอันคับแคบแลวาจาก้าวร้าว หากนางรู้ว่าหวงอิ๋งกลับไปยังตระกูลเพื่อขอยืมเงิน นางอาจกล่าวบางเรื่องไม่น่าฟังออกมาให้ต้องเจ็บช้ำก็เป็นได้
“เช่นนั้น ข้ายังมีเครื่องประดับอยู่ หากเอามันไปจำนำอาจได้เพิ่มสักห้าหรือหกร้อยเหรียญทอง น่าจะเพียงพอใช้ซื้อเรือนทางตอนใต้ของเมือง” พอหวงอิ๋งนึกขึ้นได้ นางก็เอ่ยขึ้นพร้อมอมยิ้มด้วยความยินดีทันที
แม้สีหน้าเบิกบานของภรรยาจะพอทำให้เขารู้สึกดีอยู่บ้าง แต่หยางเฉาก็อดถอนหายใจด้วยรู้สึกผิดกับนางไม่ได้ “มีเพียงทางเลือกเดียวสินะ”
จากนั้นกุมมือหวงอิ๋งพร้อมสบตานางผู้เป็นภรรยาอย่างเสียใจแล้วกล่าวด้วยวาจากลัดกลุ้ม “อิ๋งเอ๋อร์ เจ้าใช้ชีวิตอยู่กับข้าในฐานะภรรยา แต่กลับต้องมาทนทุกข์ทรมานมากถึงเพียงนี้ ข้ารู้สึกละอายนัก”
หวงอิ๋งเพียงส่ายหัวด้วยดวงตาปริมหยดน้ำใส แล้วเอ่ยถ้อยคำอ่อนโยนปลดคลายกังวลของผู้ที่อยู่ตรงหน้า “ตั้งแต่ข้าใช้ชีวิตอยู่กับท่าน เสี่ยวเทียนและหลิงเอ๋อร์ ข้าก็ไม่เคยทุกข์ใจในเรื่องอันใด เพียงครอบครัวเราอยู่พร้อมหน้ากัน ข้าก็เป็นสุขแล้ว”
ในวันเดียวกันหลังจากนั้น หวงอิ๋งก็ได้นำเครื่องประดับทั้งหมดของนางไปจำนำ และได้ทองหกร้อยเหรียญกลับมาอย่างที่ตั้งใจ
ทั้งสองจึงพาหยางเสี่ยวเทียนกับหยางหลิงเอ๋อร์เข้าเมือง นำทองไปซื้อเรือนที่อยู่ทางตอนใต้ของเมืองซิงเยว่
ภายในเรือน มีเจ็ดเรือนเล็กพร้อมทางเข้าและออกอีกสามทาง แม้บางส่วนในพื้นที่ของเรือนหลังนี้จะรกร่างไปด้วยวัชพืชทั้งยังไม่มีเครื่องเรือนเก่าๆ แต่หยางเฉาก็พอใจมากเมื่อมองไปยังลานกว้างที่อยู่เบื้องหน้า
เขาหันลงมาส่งยิ้มให้หยางเสี่ยวเทียนกับหยางหลิงเอ๋อร์สีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข “จากนี้ไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ที่นี่จะเป็นเรือนใหม่ของพวกเรา พวกเจ้าชอบมันหรือไม่”
“ข้าชอบที่นี่มากท่านพ่อ” หยางหลิงเอ๋อร์ยิ้มกว้างพร้อมปรบมืออย่างมีความสุขส่งให้ผู้เป็นบิดาเช่นกัน
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้าเห็นพ้องอย่างยินดีเป็นที่สุด แน่นอนว่าเขาไม่คัดค้านหากจะย้ายออกจากหมู่บ้านสกุลหยาง
ทุกวันนี้ ครอบครัวเขาต้องทนทุกข์กับการถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ซ้ำยังโดนดูถูกด้วยวาจาถากถางจากคนหมู่บ้านสกุลหยางที่เอาแต่คอยรับฟังเรื่องราวอยู่ฝั่งเดียว จึงเป็นการดีแล้วหากพวกเขาจะย้ายออกมาจากที่นั้น
หลังสำรวจจนทั่วทุกพื้นที่ภายในเรือนแล้ว พวกเขาก็ออกมาเตรียมล็อคประตูหลักเพื่อจะได้เดินทางกลับไปจัดเก็บข้าวของต่อ แต่พอพวกเขาก้าวเท้าพ้นออกจากเรือนเท่านั้น ทั้งสี่ก็พบเข้ากับเจิงหงเซิน ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลเจิงแห่งเมืองซิงเยว่ยืนรออยู่หน้าเรือน
เจิงหงเซินย่างกายด้วยท่าทีอวดเบ่งใหญ่โตไม่ต่างจากร่างอันอ้วนท้วนของตนเข้าหาพวกเขา
พร้อมกับเหล่าองครักษ์ข้างกาย แล้วแสร้งทำเป็นว่าเห็นหยางเฉาทำราวกับเพิ่งเดินผ่านมา ก่อนจะเผยยิ้มเยาะเย้ยแล้วอ้าปากขึ้น
“เอ๊ะ เจ้าคือหยางเฉาหัวหน้ารองของหมู่บ้านสกุลหยางมิใช่หรือ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกขับออกจากหมู่บ้าน นั่นเป็นความจริงงั้นหรือ”
จากนั้นทำทีหรี่ตาเหล่มองยังเบื้องหลังของหยางเฉาไปที่เรือนหลังเก่าๆ โทรมๆ เขาเหยียดยิ้มอีกครั้งก่อนจะเอ่ยกล่าว “นี่นะหรือ เรือนใหม่ของเจ้า”
เขาชี้ไปยังกำแพงของเรือนที่พังทลายในสีหน้าอย่างเวทนา “เรือนที่ทรุดโทรมขนาดนี้ ข้านึกไม่ถึงเลยว่าคนระดับหยางเฉาหัวหน้ารองของตระกูลหยางจะชอบมันได้ ฮ่าๆๆ”
วาจาน่ารำคาญของคนตรงหน้า ทำหยางเฉาเริ่มทนไม่ไหว “เจ้ามีเรื่องจะกล่าวเพียงเท่านี้ใช่หรือไม่ หากหมดธุระแล้วก็ไสหัวไป!”