บทที่ 100 อดีตของจางถูหู
บทที่ 100 อดีตของจางถูหู
ภายในบ้านพักรับรองอันเงียบสงัด
เสินอี้ตักน้ำขึ้นมาจากบ่อ ใส่ผ้าเช็ดหน้าลงในถังน้ำแล้วบิดหมาดๆ จากนั้นเดินไปหาชายร่างใหญ่ที่ก้มหน้าอยู่
มองดูใบหน้าของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสับสน ตลอดจนรอยหมึกตลกๆ บนใบหน้า
"พูดตามตรงนะ เจ้าคล้ายมากเลย"
เสินอี้ยกมุมปาก รอยยิ้มปรากฏในแววตาใสๆ เขาเอ่ยหยอกล้ออีกฝ่าย จากนั้นเอื้อมมือไปถอดปากหมูและหูหมูออกจากใบหน้าของจางถูหู ยื่นผ้าเช็ดให้เขา น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความมั่นใจ "เช็ดหน้าก่อนเถอะ"
"ข้า..."
จางถูหูถูกถอดเครื่องประดับปีศาจหมูออก กุมผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือ ใบหน้าหยาบกร้านสั่นเทาอย่างต่อเนื่อง
จากนั้นเขาก็ระบายความโกรธด้วยการใช้ผ้าเช็ดถูรอยหมึกบนใบหน้าอย่างแรง ราวกับต้องการขูดลอกชั้นผิวหนังออก
เมื่อเห็นเช่นนั้น เสินอี้หันหลังกลับเข้าบ้าน "เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลย เจ้าเล่าให้ข้าฟังตั้งแต่ต้น… ทีละคำทีละประโยค"
เขาหันมามอง แววตาเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย "อย่าอิดออด ไม่ต้องกังวลเรื่องข้า แค่พูดให้ชัดเจน ที่เหลือให้ข้าจัดการเอง"
เมื่อได้ยินคำพูดนี้
ร่างกายของจางถูหูที่พยายามฝืน พลันล้มลงไปนั่งอยู่กับพื้น ร่างกายที่สูงใหญ่เหมือนภูเขาสั่นเทาเหมือนเด็ก เขาร้องไห้คร่ำครวญว่า "ข้าไม่ได้ทำผิด! ข้าไม่ได้ผิดกฎเกณฑ์! ข้าไม่ได้ขอนอนกับนาง พวกเขาจงใจ! บีบให้นางเอาศีรษะพุงใส่ประตูบ้านจนตาย"
แม้ว่าเขาจะพูดไม่ชัดเจนและอารมณ์เสีย
ทว่าเสินอี้ยังคงนิ่งฟัง เขาค่อยๆ ถอดเสื้อนอก "สำนักวัชระมีกฎเกณฑ์ด้วย?"
"เดิมทีไม่มี ตอนนี้ก็ไม่มี มีแต่สำหรับศิษย์สายตรง ข้าเป็นศิษย์สายตรง... แต่ข้าไม่ได้ทำผิดกฎเกณฑ์! เด็กไม่ใช่บุตรของข้า!"
จางถูหูเงยหน้าขึ้นด้วยความโกรธ ดวงตาที่ขุ่นมัวเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
เสินอี้สวมเสื้อคลุมลายหยินหยางตัวใหม่ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ อีกฝ่ายเคยพูดไว้ว่า ตอนเข้าเป็นศิษย์ก็เป็นอัจฉริยะ ได้ถูกรับเป็นศิษย์สืบทอด แต่ต่อมาไปขัดใจใครบางคนเข้า เลยไม่ได้เรียนวิชาขอบเขตวารีหยก เขาถูกกดขี่มานานหลายปี ทำได้เพียงฝึกฝน "ร่างแปดขุมทรัพย์สุริยันทองคำ" ด้วยตัวเอง
"หยวนกังเป็นศิษย์พี่ที่เราสองคนเข้าสำนักวัชระมาด้วยกัน ที่ผ่านมา พี่ชายของเขาเสียชีวิตนอกชานเมืองชิงโจว เขาสงสัยข้าที่อยู่แถวนั้นด้วย แต่ไม่มีหลักฐาน ก่อนหน้านี้ ข้ากับพี่ชายของเขา… หยวนจือสนิทกัน พวกเราไม่มีทั้งความแค้นและผลประโยชน์...มีเพียงเขาคนเดียวที่ยุยงอาจารย์ของเขา ให้คอยแทงข้างหลังข้า"
จางถูหูดูเหมือนจะจมอยู่กับความทรงจำ ลุกขึ้นยืนอย่างเซื่องซึม
"ดังนั้นพวกเขาจึงใส่ร้ายเจ้า?"
เสินอี้จัดเสื้อคลุมลายหยินหยางจากนั้นหยิบเสื้อคลุมลายหมาป่ากลืนจันทร์ออกมา
"ไม่ ข้าสังหารหยวนจือเอง"
จางถูหูมีสีหน้าเย็นชา มืออันใหญ่โตทั้งสองข้างกำหมัดแน่นเป็นกำปั้น "ตอนแรกข้าไม่ค่อยสนใจพระสูตรอะไรทั้งนั้น แค่เอาแต่เมาสุราด้วยความเบื่อหน่าย จู่ๆ ได้ยินมาว่าหยวนจือพาพวกศิษย์ไปฝึกจิต เลยตามไปดูเพื่อล้อเลียนเขา"
"แต่ข้าเห็น… เขาขังคนไว้สิบกว่าคน เพาะเลี้ยงคนเหมือนเลี้ยงหมู ร่างกายและจิตใจของเขาช่างโสมม เอาดึงพลังหยางของผู้ชาย เอาโลหิตหยินของหญิงสาวอาบน้ำ… เขาฝึกวิชาชั่วๆ โดยไม่สนใจสำนักวัชระ!"
"เมื่อข้ารู้เรื่องนี้ เขาไล่ตามข้ามา...ตอนนั้นข้าตกใจมาก ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่อยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำจะแสดงสีหน้าเย็นชาและโหดร้ายได้เช่นนี้ และในช่วงเวลาแห่งความโกรธ ข้าก็แทงเขาจนตาย ให้ตายเถอะ! ตอนนั้นข้าเกือบสิ้นชื่อแล้วจริงๆ!”
“คนส่วนใหญ่ที่ถูกกักขังไว้ถูกทรมานด้วยยาจนสูญเสียสติ มีเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ตั้งครรภ์อยู่ เขาเลยไม่สามารถเอาเลือดออกมาได้ นางจึงถูกกักขังไว้เพื่อให้หยวนจือได้เสพสม ตอนนั้นนางยังพอมีสติอยู่บ้าง ข้าจึงพานางหนีออกมาอย่างลับๆ ข้าจึงนำนางไปฝากไว้ที่หมู่บ้านห่างไกลจากเมืองชิงโจว”
เมื่อพูดจบ น้ำตาสองหยดไหลรินจากมุมตาของจางถูหู ไหลผ่านร่องแก้ม ทั้งตัวไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
เพราะเขาอยากหาอาจารย์สอนหนังสือให้เด็กชาย เรื่องนี้จึงเปิดเผยออกมา…
“พอดีกับที่หยวนกังฝึกฝนวิชาสำเร็จ เขาออกจากการปิดตัวบ่มเพาะพอดี พอเขารู้ว่าข้ากลับมา เลยแอบติดตามข้า หยวนกังเห็นข้าไปหาข้อมูลเรื่องค่าเล่าเรียน เขาเลยตามหาจนเจอหมู่บ้านนั้น เขาตั้งใจจะสังหารข้าโดยอ้างว่าข้าผิดกฎ”
“แต่นางไม่ยอมทรยศข้า นางไม่ยอมให้ชื่อเสียงของข้าเสียหาย เลยเลือกที่จะฆ่าตัวตาย…”
“ตอนข้าไป นางเสียชีวิตแล้ว”
“อ๊าก… เด็กคนนั้น ยังอยู่ในมือพวกเขา!”
เสียงร้องอันโหยหวนสิ้นหวังดังก้องกังวาน ค้างอยู่ในอากาศ
“เช็ดหน้าให้แห้ง แล้วไปกันเถอะ”
เสินอี้ก้าวออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปที่ประตู
เมื่อเทียบกับจางถูหูที่ถูกเนรเทศไปยังเมืองไป๋อวิ๋น เขาน่าจะรู้มากกว่า
หลังจากสำนักวัชระเสื่อมถอย ตอนนี้พวกเขากลับมาผงาดอย่างน่าสงสัย สำนักยุทธภพแห่งหนึ่ง พวกเขากลับสร้างพระพุทธรูป สร้างเจดีย์ เรื่องนี้ในสายตาของคนทั่วไปแล้ว พวกเขาทำเพื่อเอาใจจื่อโจวคนใหม่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่านั้น
จางถูหูจ้องมองเสินอี้อย่างตะลึงงัน
มงกุฎลายหมาป่าทองคำประดับศีรษะ ด้านข้างของชายหนุ่มดูสง่างาม ลายปลาหยินหยางบนเสื้อสีดำนั้นช่างสะดุดตา เข็มขัดหยก ฝักดาบสีดำลวดลายเส้นสีทอง ผ้าคลุมหมาป่าโหดที่ดูเหี้ยมโบกสะบัดในสายลม!
เสินอี้ดึงคอเสื้อ ใบหน้าที่หล่อเหลาเต็มไปด้วยความเย็นชา
“จะไปไหน?” จางถูหูเอ่ยถามด้วยสีหน้าสับสน
“ไปช่วยคนที่สมควรตาย และทำสิ่งที่พวกเขาควรทำ”
ชายหนุ่มวางมือบนด้ามดาบอย่างสบายๆ ก้าวเดินอย่างมั่นคง และร่างของเขาก็ค่อยๆ ผสานเข้ากับค่ำคืนอันมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุด
…
สำนักวัชระ
เหล่าศิษย์สำนักวัชระเผชิญหน้ากับเสี่ยวเว่ยจากที่ว่าการแผนกปราบปีศาจนับพันคน พวกเขาเต็มไปด้วยสีหน้าเย็นชา และไร้ความปรานี
“พวกเราไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับปีศาจ!”
“ใต้เท้าโปรดเห็นใจพวกเราด้วย!”
ท่ามกลางฝูงชน หงเล่ยมองดูปรมาจารย์ยุทธ์ที่แต่งกายหลากหลาย ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้มาสร้างปัญหาใช่ไหม?
แต่พระปลอมในเจดีย์ กลับไม่มีผู้ใดออกมาเลยสักคน
ทำไมพวกมันไม่ออกมา รู้สึกผิดอะไรอยู่หรือเปล่า?
“ใต้เท้าโปรดเห็นใจพวกเราด้วย!”
เหล่าศิษย์สำนักวัชระต่างหวาดกลัว หลายคนขาสั่นจนทรุดลงกับพื้น น้ำตาและน้ำมูกไหลนองเต็มใบหน้า
ในบรรดาพวกเขา ผู้ที่มีฐานบ่มเพาะสูงสุดก็แค่ชอบเขตเริ่มต้น ส่วนใหญ่เป็นปรมาจารย์ยุทธธรรมดาในช่วงกายมนุษย์ พวกเขามาฝึกฝนวิชากับสำนักวัชระ เพื่อหวังว่าสักวันจะได้ให้พวกพระเหล่านั้นเลือก จากนั้นบวชเรียน รับการถ่ายทอดวิชาบ่มเพาะกายเนื้อขั้นสูง
แน่นอนว่า พวกเขาไม่เคยเห็นฉากที่ดูยิ่งใหญ่และน่ากลัวแบบนี้มาก่อน
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งก็ถูกเตะลอยมา
เสียงดังสนั่นกระทบประตูสีแดงชาด เสื้อชุดคลุมขาวเปื้อนเลือด กระดูกทั้งตัวแตกละเอียด นอนนิ่งอยู่บนพื้น
เมื่อเห็นใบหน้าของเขา เหล่าศิษย์สำนักวัชระกลั้นเสียงร้องไห้ หายใจไม่ทั่วท้อง
อาจารย์...ท่านอาจารย์หยวนกัง?!
ไม่รอให้พวกเขาตั้งตัว ร่างหนึ่งก็ก้าวออกมาจากกลุ่มเสี่ยวเว่ยอย่างช้าๆ
สายลมยามค่ำคืนพัดโชย เสื้อคลุมปลิวไสว
หมาป่าสีทองกลืนจันทร์ลอยผ่านสายตาเหล่าเสี่ยวเว่ย ดึงดูดความสนใจของทุกคน
พวกเขาถือโซ่ตรวนปีศาจในมือแน่นขึ้น จดจำใบหน้าอันเยาว์วัยนี้ไว้ เขายืนตรงอยู่เฉยๆ ทว่าช่างดูสง่างามยิ่งนัก
จากนั้นไม่นาน เรื่องบางเรื่องก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว อาทิเช่น เสี่ยวเว่ยชุดอิทรีทองคำสองสามคนพูดถึงเรื่องที่พวกเขาหวาดกลัวหลังดื่มสุรา พูดถึงเรื่องพลิกมือสังหารถัวหลง พลิกมือสังหารผู้เฒ่ากระบี่พิโรธ
ควบไปกับเรื่องขี่ม้าในเมืองชิงโจว เลื่อนตำแหน่งสามขั้นรวด เกียรติยศเหล่านี้ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับคำพูดหลังดื่มสุรา
จางถูหูเดินอย่างระมัดระวังท่ามกลางเหล่าบุคคลสำคัญ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พบว่ากลุ่มคนเหล่านี้น่าจะตื่นเต้นเหมือนเขา
“หากวันหนึ่ง ข้าได้เป็นเช่นนี้บ้างละก็…” หลี่ซินฮั่นจ้องมองร่างผอมบางนั้นอย่างตั้งใจ และรู้สึกถึงอารมณ์ที่ไม่อาจอธิบายได้ขึ้นมา
เขาหันไปหาพี่สาว ต้องการกำลังใจจากนาง แต่กลับพบว่านางกำลังจ้องมองไปข้างหน้า ริมฝีปากสีแดงสวยอ้าค้าง พลางหายใจหอบ
"...."
เสินอี้เดินไปที่ประตูอย่างใจเย็น ยื่นมือไปจับเสื้อของหยวนกัง ลากเขาทีละก้าวขึ้นบันได
รอยเลือดสีแดงเข้มเปื้อนบันไดหินสีเขียวตามรอยเท้าของเขา
หลังจากขึ้นไปประมาณยี่สิบขั้น
เขาโยนหยวนกังลง นั่งลงบนบันได วางแขนข้างหนึ่งบนเข่า เสื้อคลุมของเขาปลิวไสว
เสินอี้หันหลังให้เจดีย์ที่ปิดตาย ยื่นมืออีกข้างขึ้น ชูนิ้วชี้เรียวยาวขึ้นมาหนึ่งนิ้ว
ใบหน้าขาวซีดของเขาไม่มีท่าทีข่มขู่ เสียงของเขาสงบเช่นเดียวกับสีหน้าของเขา
"หนึ่งก้านธูป"
"ถ้าข้าไม่เห็นคนที่ข้าต้องการ สำนักวัชระจะไม่มีอีกต่อไปในชิงโจว"