ตอนที่แล้วบทที่ 97 เส้นทางการฟื้นฟูสำนักวัชระ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 99 ปิดล้อมสำนักวัชระ

บทที่ 98 วานรพุทธะพิชิตปีศาจ


บทที่ 98 วานรพุทธะพิชิตปีศาจ

เมืองชิงโจว โรงเตี๊ยมต้าซุ่น(ราบรื่นสมปรารถนา)

ยามเย็น ผู้คนมากมาย บนถนนไฟสว่างไสว

เถียนจื้อเหวินยืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ เขายิ้มแย้มต้อนรับลูกหลานตระกูลและสำนักต่างๆ "วันนี้ข้าขอเป็นเจ้าภาพ เชิญทุกท่านเข้าไป ไม่ต้องเกรงใจ"

นายน้อยของหอเทียนไห่ หัวหน้าศิษย์ของโถงไป๋เหอ คุณชายตระกูลหวง...

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนรุ่นเยาว์ ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในเมืองชิงโจว แต่พวกเขาก็ล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง

การรวมตัวกันในครั้งนี้ นอกจากจะให้เกียรติเถียนจื้อเหวินแล้ว ยังเผยให้เห็นความคิดของตระกูลและสำนักเหล่านี้

แม้ว่าท่านขุนพลอาวุโสเฉินจะลงมืออย่างระมัดระวัง แต่การล่มสลายของเขาชิงเฟิงยังคงสร้างความไม่สบายใจให้พวกเขา โดยไม่รู้ตัว พวกเขาก็เกิดความรู้สึกอยากใกล้ชิดกันมากขึ้น

"โอ้!"

ทันใดนั้น เถียนจื้อเหวินก็เห็นเงาที่คุ้นเคย เขารีบแทรกตัวออกจากฝูงชนเพื่อต้อนรับเขา จากนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอ "คุณชายใหญ่เจ้าตระกูลจ้าวมาแล้ว"

ระหว่างพูด เขาแอบปาดเหงื่อ

วันนี้เขาจัดงานเลี้ยงเพื่อพี่ใหญ่ตระกูลหลี่ ตามความต้องการของอีกฝ่าย เขาไม่ได้ส่งจดหมายเชิญมากนัก ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอิทธิพลระดับรองลงมา แล้วทำไมคุณชายใหญ่ท่านนี้ถึงมาละเนี้ย?

"ข้าอารมณ์ไม่ดี เลยออกมาเดินเล่นเฉยๆ"

จ้าวคังอวิ๋นโบกพัดในมือเบาๆ จากนั้นก้าวเท้าเข้าสู่โรงเตี๊ยมต้าซุ่นอย่างช้าๆ

เมื่อเห็นสีหน้าหงุดหงิดของเขา เปลือกนอกคนอื่นๆ แสดงท่าทางเคารพนับถือ แต่ในใจพวกเขารู้สึกเย็นชา

ได้ยินมาว่าคุณชายตระกูลจ้าวผู้หนึ่ง คราวนี้ไปสิ้นชื่อที่ภูเขาชิงเฟิง

ถึงแม้จะอยู่ฐานะหนึ่งในสี่ตระกูลห้าสำนัก แต่พวกเขาก็ทำได้แค่เดินเล่นเพื่อคลายความกังวล แผนกปราบปีศาจอาศัยอำนาจจากราชสำนักและแม่ทัพใหญ่ กำลังทำตามอำเภอใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าพวกเขาไม่ร่วมมือกัน เกรงว่าพวกเขาจะถูกกินจนไม่เหลือแม้แต่เศษซาก

โชคดีที่ตอนนี้แม่ทัพใหญ่ไม่อยู่เมืองชิงโจว ไม่มีท่านแม่ทัพปีศาจ ขุนพลและเสี่ยวเว่ยคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าทำอะไร  ในช่วงนี้พวกเขาก็ไม่น่าจะตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับเขาชิงเฟิง

"เขามาทำไมกัน?"

บนชั้นสอง หลี่ซินฮั่นเปลี่ยนเป็นชุดสีเขียว เพื่อปกปิดบาดแผลบนร่างกาย น่าเสียดายที่เขาเคลื่อนไหวไม่สะดวก จึงทำได้เพียงนั่งพิงพนักเก้าอี้ไม้สีแดงเท่านั้น

"ไม่ต้องไปสนใจเขา"

หลี่มู่จิงสวมชุดกระโปรงยาว นางยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ

สำหรับพี่น้องตระกูลหลี่ การจัดเลี้ยงแขกก็คือการกินข้าว ดื่มสุรา สนทนากันทั่วไป และเขาได้เชิญคนจากสำนักวัชระมาด้วย เพื่อไม่ให้พวกเขาเกิดความระแวงล่วงหน้า

ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะยืนอยู่ข้างฝ่ายตระกูลสำนัก หรือฝ่ายแผนกปราบปีศาจ  เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่รุ้นเย่ว์สองคนต้องสนใจ

"ท่านลองชิมอาหารว่างก่อนเถอะ หลังจากนี้ข้าจะไปบอกให้พ่อครัวเปลี่ยนเป็นอาหารจานหลัก"

เถียนจื้อเหวินต้อนรับจ้าวคังอวิ๋นเสร็จ จากนั้นเขาหาข้ออ้างเพื่อถอนตัว และขึ้นมาชั้นสองอย่างเงียบๆ

เมื่อเข้าไปในห้อง เขามองไปที่พี่น้องตระกูลหลี่ แล้วมองไปที่ชายหนุ่มในชุดบัณฑิตสีดำที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหลัก ใบหน้าของอีกฝ่ายดูไม่ออกว่าดีใจหรือโกรธ เขาใช้ฝาถ้วยตักฟองชาช้าๆ แต่เขาไม่ยกขึ้นมาดื่ม

หรือเขาดูถูกชาของข้าว่าไม่ดี?

เถียนจื้อเหวินเข้าใจในทันที เขาลำดับความสำคัญได้ชัดเจน

แต่คนผู้นี้ดูหน้าตาไม่คุ้นเคย ไม่รู้ว่ามาจากตระกูลหรือสำนักไหน?

การเลี้ยงรับรองในวันนี้เพื่ออะไรกันแน่? หรือว่าพวกเขาไม่พอใจกับวิธีการที่โหดร้ายของแผนกปราบปีศาจ หรือพวกเขาต้องการออกมาเป็นผู้นำ?

"พี่ใหญ่หลี่ เริ่มงานเลี้ยงเลยไหม?"

"รออีกหน่อย"

หลี่ซินฮั่นมองลงไปข้างล่าง ครู่ต่อมา เขาหันขวับไปมองข้างๆ "มาแล้ว จะเรียกขึ้นมาถามคำถามเลยหรือไม่?"

เมื่อได้ยินคำถามนี้ เถียนจื้อเหวินก็งุนงงเล็กน้อย มองลงไปด้านล่างเช่นกัน

เขาอยากรู้ว่าบุคคลใด ที่ทำให้ชายหนุ่มในชุดสีดำรอคอย ตระกูลหลี่และตระกูลจ้าวอยู่ที่นี่ หรือว่าจะเป็นตระกูลที่เหลืออยู่?  แต่ไม่ได้บอกให้เขาส่งจดหมายเชิญ

เมื่อเห็นเงาที่ประตูโรงเตี๊ยมต้าซุ่น เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย

เขาเห็นห้องโถงที่วุ่นวาย

ชายหนุ่มร่างผอมบางเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ศีรษะมีเส้นผมเบาบาง สวมชุดคลุมสีขาวกว้างเปิดแขนหนึ่งข้าง เผยให้เห็นครึ่งหนึ่งของร่างกายที่ดูราวกับถูกทาน้ำมัน เขาถือไม้เท้าเหล็กสีเงินสะท้อนแสงแวววาว อีกมือหนึ่งจับโซ่เหล็กที่ทั้งหนาและหนัก

"ทุกท่านอยู่ที่นี่ คุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวก็อยู่ด้วย ข้ามาช้าไป ขออภัย ขออภัย"

"เฮอะ! คนถือดาบ แสร้งทำเป็นนักบวช"

จ้าวคังอวิ๋นยิ้มเยาะ เก็บพัดและกล่าวว่า  "สำนักวัชระของเจ้าเพิ่งสร้างพุทธรูปมาแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้น พวกเจ้าแค่โชคดีที่ท่านจื้อโจวผู้ชอบสวดมนต์มาประจำการที่นี่สามเดือนก่อน  ไม่อย่างนั้นข้าเกรงว่า แม้แต่ลูกประคำ พวกเจ้าก็คงหมุนไม่เป็น!"

(知州 จื้อโจว เทียบเท่านายกเทศมนตรี หรือผู้ว่าราชการจังหวัด)

"คุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวกล่าวถูกต้อง"

หยวนกังไม่โกรธ แม้จะได้ยินคำถากถาง เขาเพียงแต่ยิ้มตอบว่า "ขยันขันแข็งสามารถชดเชยความโง่เขลาได้ ตำราสวดมนต์ ลูกประคำ สิ่งเหล่านี้ แค่ท่องจำให้มาก หมุนมันให้มาก นานๆ เข้าข้าก็จะเข้าใจเอง"

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนอื่นๆ ต่างก็หัวเราะเสียงดัง

เมื่อหยวนกังเหล่ตามองไปรอบๆ เสียงหัวเราะก็เงียบลงไปอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้สำนักวัชระมีสัญญาณการก้าวหน้า อาศัยตำราขอบเขตควบแน่นตันครึ่งเล่มอย่าง "ตำราชุบหลอมกาย(ฉุ่ยถี)"  เจ้าสำนักใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบปีก็ก้าวกระโดด  จนมีคนบอกว่าเขามีพลังต่อสู้กับขอบเขตควบแน่นตันได้

หลังจากต้นโพธิ์วัชระแห้งเหี่ยวลง สำนักนี้ก็ไม่รู้ว่าเอาโชคมาจากไหน กลับได้ตำราบ่มเพาะกายเนื้อแบบเร่งด่วนเหมือนในอดีต แถมยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย

กลุ่มผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะกายเนื้อจนเทียบเท่าขอบเขตวารีหยก กับกลุ่มผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะกายเนื้อจนทัดเทียมขอบเขตควบแน่นตัน มันคือสองแนวคิดที่แตกต่าง ถ้าเป็นอย่างที่ทุกคนคาดเดา ในอีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้า สำนักวัชระอาจจะเติมเต็มช่องว่างของ "สี่ตระกูลหกสำนัก" แทนที่เขาชิงเฟิง และก้าวขึ้นเป็นกองกำลังอันดับหนึ่ง!

"เฮอะ!"

เหมือนจะนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ จ้าวคังอวิ๋นจึงแค่นเสียงอย่างเย็นชา แต่ก็ไม่ได้พูดจาดูถูกต่อไป

"ข้าไม่ได้มาสายโดยเจตนา เพียงแต่ช่วงนี้เดินทางเผยแผ่พระธรรม พยายามสร้างความสัมพันธ์อันดี ข้าเดินทางไปเจ็ดแปดเมือง กว่าจะกลับมาถึงเมืองชิงโจวได้"

หยวนกังมองไปรอบๆ อย่างละเอียด ดูเหมือนเขากำลังมองหาบางสิ่ง

เมื่อไม่เห็นเงาที่คาดหวัง เขากลับมายิ้มอีกครั้ง ดึงโซ่ตรวนในมือ "หลังจากกินอิ่ม  ข้าจะแสดงงิ้วเรื่อง 'วานรพุทธะพิชิตปีศาจ' ให้ทุกท่านชม เพื่อสร้างความบันเทิง"

พร้อมกับเสียงโซ่ตรวนดังกังวาน

ร่างสูงใหญ่และอ้วนท้วนถูกดึงเข้ามาในโรงเตี๊ยมต้าซุ่น

ร่างกายของเขาใหญ่โตเหมือนภูเขา สวมเสื้อไม่มีแขนสีน้ำเงิน พุงใหญ่โตเป็นพิเศษช่างดึงดูดสายตา

แน่นอนว่า นอกจากท้องของเขาแล้ว บนใบหน้าของชายผู้มีเคราหนาเต็มไปด้วยคราบหมึก ถูกวาดใบหน้าเป็นรูปปีศาจ มีหูหมูมีขนประดับข้างศีรษะ และมีปากหมูติดอยู่ที่จมูก

ชายผู้นี้ดูตลกขบขันมาก

แววตาของเขาเบลอ เหมือนไร้วิญญาณ และไร้พลัง

แม้จะมีเสียงหัวเราะดังคลืนอยู่ข้างๆ แต่ชายร่างใหญ่ก็จ้องมองที่พื้นอย่างเฉื่อยชา

แม้แต่จ้าวคังอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ "ไปหาคนดีๆ มาจากไหนกัน? ช่างแต่งตัวได้เหมือนปีศาจหมูจริงๆ...ฮ่าฮ่าฮ่า"

"นี่คือสหายเก่าของข้า ปกติเขาชอบแต่งตัวเป็นหมูอยู่แล้ว"

หยวนกังยิ้ม หันไปถามทางด้านหลัง "ใช่ไหม?"

ชายร่างใหญ่ไม่ได้ยิน จนกระทั่งชายหนุ่มผมบางดึงโซ่ตรวนอย่างรุนแรง เขาจึงพยักหน้าอย่างงุนงง เสียงแหบแห้ง "ใช่..."

"ไอ้โง่"

เถียนจื้อเหวินขมวดคิ้ว เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

เพราะเป็นคนรู้จักเก่า ต่อให้เป็นศัตรูมากแค่ไหน ถ้าสู้กัน ชีวิตดับสิ้น ความแค้นย่อมหายไป แต่นี่ดันลากออกมาเพื่อดูถูก น่ารังเกียจชะมัด!

ก่อนที่เขาจะคิดจบ เขารู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างกาย บรรยากาศในห้องก็เริ่มแปลกประหลาด

ร่างของหลี่ซินฮั่นแข็งทื่อ หลี่มู่จิงกัดริมฝีปากงาม

มีเพียงชายหนุ่มในชุดสีดำวางถ้วยชาลงอย่างเบามือ ใบหน้าของเขาสงบมาก เขาก้าวออกจากห้อง เดินลงบันได

ท่ามกลางเสียงหัวเราะ  ร่างที่หล่อเหลาก็ดึงดูดสายตาหลายๆ คู่

จ้าวคังอวิ๋นเงยหน้าขึ้น สีหน้าเย็นชาลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่เขาเองก็ร่วมสนุกกับชาวบ้าน ยอมนั่งชั้นล่าง แต่ยังมีคนอยู่ชั้นบนอีก เถียนจื้อเหวินทำเช่นนี้หมายถึงอะไร?

ในไม่ช้า ใบหน้าของชายหนุ่มในชุดบัณฑิตสีดำก็ปรากฏขึ้น

เขามีรอยยิ้มที่น่าสงสัย และรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย...

เสินอี้หยุดอยู่หน้าชายหนุ่มที่อ้างว่าเป็นนักบวช

เขามองชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่หลังคู่ต่อสู้ แต่ดูเหมือนกำลังซักถามทุกคนในโถง

น้ำเสียงของเขาไร้ความรู้สึกใดๆ "ตลกไหม?"

เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ชายร่างใหญ่เงยหน้าขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเห็นหน้าของเสินอี้ ร่างของเขาสั่นเทา ถอยหลังสองก้าวโดยไม่ได้ตั้งใจ ยื่นแขนใหญ่หนาขึ้นเพื่อปิดบังใบหน้า

เขาเคยคุยโม้เกี่ยวกับเมืองชิงโจวกับเสินอี้ คุยโม้เกี่ยวกับเรื่องราวของเขา

เขาคือคนขายเนื้อ(จางถูหู) ผู้ไม่เกรงกลัวใคร ไม่ใช่ปีศาจหมูที่ถูกโซ่ตรวนไว้

เสินอี้เพิ่งมาถึงชิงโจว เขาไม่ควรทำร้ายคนอื่นเพื่อไอ้โง่ที่แต่งตัวเป็นหมู

"..."

หยวนกังงุนงงเล็กน้อย แม้ว่าอีกฝ่ายจะหน้าใหม่ แต่ลงมาจากชั้นสอง เถียนจื้อเหวินไม่ใช่คนโง่ ดังนั้น... อีกฝ่ายอย่างน้อยก็น่าจะอยู่ในระดับเดียวกับจ้าวคังอวิ๋น หรืออาจจะสูงกว่า

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขายิ้มอย่างเฉยเมย "ถ้าท่านไม่ชอบ ข้าก็ไม่แสดงแล้ว น่าเสียดายที่ทุกคนไม่ได้เห็นเรื่องสนุก"

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ คนอื่นๆ ต่างมีสีหน้าแปลกๆ จ้าวคังอวิ๋นโบกพัดอีกครั้ง เขาเห็นชัดว่าหยวนกังกำลังยั่วยุ

แต่น่าเสียดายที่เขาไม่เล่นด้วย และพอคาดเดาตัวตนของชายผู้นี้ได้คร่าวๆ แล้ว

จ้าวคังอวิ๋นลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ขณะกำลังจะพูด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเย็นชา

"ข้าถามเจ้าอยู่นะ??"

พร้อมกับเสียงพูด ฝ่ามือของเสินอี้ก็ยกขึ้น

ในพริบตา หยวนกังก็โยนโซ่ตรวนทิ้ง จากนั้นใช้มือทั้งสองข้างยกไม้เท้าเหล็กสีเงินขึ้น แสงสว่างแวบผ่านไม้เท้า เขาใช้พลังทั้งหมดของเขาเพื่อป้องกัน!

แม้หยวนกังจะดูอายุน้อย แต่จริง ๆ แล้วเขามีอายุมากกว่าทุกคนในร้านเกือบรุ่น  แก่กว่าจางถูหูเสียด้วยซ้ำ

แม้จะมีขอบเขตบ่มเพาะเพียงวารีหยกขั้นต้น แต่ร่างกายของเขากลับเทียบเท่ากับขอบเขตวารีหยกขั้นปลาย

"ท่านหาเรื่องเองนะ ข้าขอโทษ!"

เขากัดฟันแน่น ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ แต่ในวินาทีต่อมา ฝ่ามือที่มีกระดูกชัดเจนก็ตกลงบนไม้เท้าเหล็กที่เขาจับอยู่

พลังทำลายล้างอันน่ากลัวทำลายไม้เท้าที่ผ่านการหลอมตีร้อยครั้งได้อย่างง่ายดาย ตามมาด้วยการทุบลงบนหน้าอกของหยวนกัง ร่างกายที่ผ่านการบ่มเพาะมาหลายปี แข็งแกร่งจนแทบจะทำลายไม่ได้ กลับยุบลงในพริบตา!

บูม!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด