ตอนที่ 124 บอสฉี และบอสหวัง อกสั่นขวัญแขวน
“ฉันว่า คุณเซี่ย คุณกำลังล้อฉันเล่นหรือเปล่า?”
หลังจากฟังคําพูดของ เซี่ย ซินเหยา แล้ว รอยยิ้มที่ภาคภูมิใจของ บอสฉี ฉี เกาห่าง แต่เดิมพลันดูน่าเกลียดเล็กน้อยทันที
“ฮ่าฮ่า บอสฉี คุณเองอายุมากแล้วจะมาเสียเวลาทะเลาะกับสาวน้อยคนหนึ่งได้อย่างไร?”
จาง หานหาน เมื่อเห็นว่าสีหน้าของ บอสฉี ดูไม่ดีเล็กน้อยแล้ว จึงรีบหาเหตุผลเพื่อทำให้ทุกอย่างราบรื่นอย่างรวดเร็ว
ในความเห็นของเธอ แม้ว่า เซี่ย ซินเหยา จะไม่ใช่คนวงในแวดวง
แม้ว่าเธอจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ประธานซู มากก็ตาม
แต่ บอสฉี ก็ไม่ใช่คนที่ยุ่งได้ด้วยง่ายๆ
เขาเป็นถึงผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับสองของ หูเฟิง กรุ๊ป
ลงทุนสร้างศิลปินมาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นรายการวาไรตี้ ภาพยนตร์โทรทัศน์ และโครงการอื่นๆ มากมาย เครือข่ายของเขานั้นนับว่ากว้างขวางมาก ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง
แต่เห็นได้ชัดว่าในฐานะซีอีโอของ หูเฟิง กรุ๊ป
โดยปกติ ฉี เกาห่าง ก็วางอํานาจบาตรใหญ่จนเคยชินแล้ว
ทั้งนี้ไม่เคยมีใครคนใดกล้าที่จะไม่ไว้หน้าเขาขนาดนี้
ตอนนี้หญิงสาวดาราหน้าใหม่คนหนึ่งกลับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ เขาจะทนได้อย่างไร?
แม้แต่ บอสหวัง ที่อยู่ข้างๆ ก็อดจะพูดไม่ได้
“คุณเซี่ย ..คนนี้ คุณรู้ไหมว่า บอสฉี คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคุณคนนี้เป็นใคร?”
“เขาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสองของ หูเฟิง กรุ๊ป ในวงการบันเทิงมีคนที่ได้รับความชื่นชอบจากเขา ลงทุนให้มากมายแค่ไหน ตั้งแต่นั้นพวกเขาก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า และกลายเป็นดาราที่มีชื่อเสียงในประเทศ”
“ตอนนี้เขาอยากเป็นเพื่อนกับคุณ แต่คุณปฏิเสธเขา ฉันควรจะพูดว่าคุณไม่รู้ หรือว่าคุณมันโง่ ..กันแน่?”
พูดจบ บอสหวัง ก็ส่ายศีระพลางถอนหายใจออกมา
แต่ในเวลานี้ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ฉันคิดว่า คุณหนูเซี่ย พูดได้ถูกต้องแล้ว เธอไม่ใช่คนวงการ และไม่ได้ต้องการเงินลงทุนจากคุณ บอสฉี เลย”
“หนำซ้ำอายุระหว่างพวกคุณก็คงไม่เหมาะที่จะเป็นเพื่อนกันจริงๆ อีกทั้งอันที่จริงแล้ว.. บอสฉี คุณควรที่จะรู้สึกเป็นเกียรติมากกว่าด้วยซ้ำที่จะได้เป็นเพื่อนกับพ่อของ คุณหนูเซี่ย”
ครั้นพูดจบ คนทั้งปวงก็พากันตกใจทันที
จากนั้นทุกคนก็หันกลับไปมอง และเห็นแต่ ซูเหวิน และรองประธานเผิง รวมถึงคนอื่นๆ กำลังเดินมาทางนี้ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
และคนที่เพิ่งพูดออกไปเมื่อกี้ย่อมเป็น รองประธานเผิง
เมื่อเห็นคนจากบริษัท ช่านซิง เอนเตอร์เทนเมนท์ มาถึง และได้ยินคําพูดของ รองประธานเผิง เมื่อกี้ ฉี เกาห่าง ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที และพูดด้วยเสียงทุ้มไปว่า : “รองประธานเผิง คุณหมายความว่าไง?”
“พ่อของ คุณเซี่ย คนนี้เป็นใคร ..คู่ควรกับการเปรียบเทียบกับฉัน?”
บอสฉี อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ
ยังไงเขาก็ไม่ใช่ดาราอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องแกล้งทำเป็นคนดีอะไร
ยิ่งตอนนี้มีคนกล้ามาทําให้ตัวเองอับอาย หัวใจของเขาเองเวลานี้มันย่อมเต็มไปด้วยความโกรธ ..เป็นธรรมดา
แต่ ฉี เกาห่าง จะรู้ได้อย่างไรว่านี้เป็นคำพูดที่ รองประธานเผิง และคนอื่นๆ กำลังรอคอยประโยคนี้จากเขาอยู่
ตอนนี้เมื่อเห็นเขาพูดถามประโยคนี้ออกมาแล้ว แน่นอนว่าเขายิ้มหัวเราะเสียงดังขึ้นทันที ก่อนจะพูดว่า : “คุณหนูเซี่ยคนนี้คือ คุณหนูใหญ่ของ ฮั่วซิน กรุ๊ป ลูกสาวของ ท่านประธานเซี่ย เซี่ย เฉิงตง”
“คุณฉี ฉี เกาห่าง ในฐานะที่คุณเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสองของ หูเฟิง กรุ๊ป คุณคงไม่น่าจะไม่รู้จัก ประธานเซี่ย หรอกนะ?”
พอคําพูดนี้หลุดออกมา ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาสองสามคนนั้นเลย
ผู้คนโดยรอบข้างต่างตกใจกันอย่างต่อเนื่อง
ชั่วพริบตา ทุกคนก็มองไปที่เธอด้วยสายตาไม่เชื่อ
แม้แต่ จาง หานหาน ที่ยืนอยู่ข้างๆ เซี่ย ซินเหยา ก็ยังตกตะลึง ราวกับว่าเธอเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่านี่ ..เป็นเรื่องจริง
“คุณ... คุณว่าไง?”
“เซี่ย... ลูกสาวของ เซี่ย เฉิงตง?”
เมื่อกี้ ฉี เกาห่าง และบอสหวัง ที่ยังฮึกเหิม และหยิ่งผยองอยู่ ตอนนี้ได้นิ่งงันเป็นไก่ไม้แล้ว
ไม่มีทาง เพราะชื่อของ เซี่ย เฉิงตง นั้นดังมากจริงๆ
ไม่มีใครในวงการธุรกิจในเมืองม่อแห่งนี้ที่ไม่รู้จัก เซี่ย เฉิงตง และก็ไม่มีใครที่ไม่รู้จักกลุ่มบริษัท ฮั่วซิน
เพียงแต่หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้ คาดไม่ถึงว่าจะเป็น คุณหนูของ ฮั่วซิน กรุ๊ป
แค่สถานะอันสูงส่งนี้ คุณเองสามารถจินตนาการได้
“เป็นยังไง บอสฉี ตอนนี้คุณยังคงรู้สึกว่าพ่อของ คุณหนูเซี่ย ไม่คู่ควรที่จะเป็นเพื่อนกับคุณอยู่อีกหรือไม่?”
เมื่อเห็น บอสฉี มีสีหน้าท่าทางตื่นตกใจ และหวาดกลัว รองประธานเผิง ก็รู้สึกสดชื่น และมีความสุขในใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ชื่อเสียงในวงการบันเทิงของ บอสฉี คนนี้มักจะไม่ดีมาตลอด
ยิ่งไปกว่านั้นเขามักจะใช้อำนาจเส้นสายของตัวเอง ทำสิ่งที่น่าอับอายในวงการ
ตอนนี้เมื่อเห็นเขามีอาการหวาดกลัว รองประธานเผิง ก็ย่อมมีความสุขในใจมากเป็นธรรมดา
ผ่านไปนาน บอสฉี คนนี้ดูเหมือนจะตระหนักว่าเขากำลังยั่วยุใครอยู่
ทันใดนั้น เขามองไปที่ เซี่ย ซินเหยา และรีบพูดว่า : “เซี่ย... คุณหนูเซี่ย”
“เมื่อกี้ฉัน ฉี เกาห่าง มีตาหามีแววไม่ที่คาดไม่ถึงว่าจะไม่รู้จัก คุณหนูใหญ่ของ ตระกูลเซี่ย ผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย ได้โปรดเถอะ.. ขอคุณอย่าได้ถือเอาเรื่องนี้มาใส่ใจเลยนะ”
บอสฉี กลัวแล้ว เขากลัวจริงๆ
ถ้า คุณหนูเซี่ย ..คนนี้บอกพ่อของเธอว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนี้ เซี่ย เฉิงตง คงต้องโกรธแล้ว
และเขา ฉี เกาห่าง คงไม่สามารถทนแบกรับความโกรธนี้ได้แน่!
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว เมื่อกี้ผม หวังสง ก็กระทำตัวหยาบคาย พูดอะไรในสิ่งที่ไม่สมควรออกไป ในเรื่องนี้ยังขอให้ คุณหนูเซี่ย ได้โปรดอย่าใส่ใจถึงเรื่องในอดีต…”
บอสหวัง ที่อยู่ข้างๆ ก็รีบกล่าวขอโทษเช่นกัน
เมื่อคิดถึงเมื่อกี้ที่ตัวเองยังชื่นชม บอสฉี ต่อหน้า คุณหนูเซี่ย ว่ายอดเยี่ยมแค่ไหน ตอนนี้ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด ซึ่งมันช่างเป็นเรื่องที่น่าขำขันจริงๆ
คุณจะมาพูดถึงเรื่องทรัพยากร เส้นสายความสัมพันธ์อะไรต่อหน้าคุณหนูใหญ่จาก ตระกูลเซี่ย?
นั่นมันไม่ใช่เรื่องตลกหรอกเหรอไง?
และการกระทําของพวกเขานี้ก็ยังทําให้ทุกคนในที่เกิดเหตุได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า หยิ่งก่อนแล้วกลับนอบน้อมทีหลัง(1)(หยิ่งต่อหน้า ลับหลังเคารพ)
อย่างไรก็ตาม การเห็น เซี่ย ซินเหยา ถูกรังแก..
ซูเหวิน ก็ไม่ได้มีความตั้งใจจะปล่อยพวกเขาไปแบบนี้
ดังนั้นเขาจึงยิ้มเยาะอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า
“จะว่าไป คุณหนูเซี่ยคนนี้เป็นคู่ควงที่ผมพามาด้วย คู่ควงของผมกับถูกพวกคุณรังแก ซึ่งดูเหมือนมันง่ายเกินมั้งที่จะปล่อยให้มันจบลงไปง่ายๆ ..แบบนี้”
น้ำเสียงของ ซูเหวิน ไม่เบาไม่ดัง แต่น้ำเสียงนี้นั้นมันกลับเยือกเย็นจนทําให้ผู้คนตัวสั่นสะท้านขึ้นมา
“นี่…”
เมื่อได้ยินว่า คุณหนูเซี่ย เป็นคู่ควงของชายหนุ่มคนนี้
บอสฉี และบอสหวัง อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง และคาดเดาถึงตัวตนของบุคคลนี้ทันที
“พวกคุณอย่างได้แปลกใจ ช่านซิง ของพวกเราถูกซื้อไปเมื่อสองเดือนก่อน”
“คนที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าพวกคุณ ..ท่านนี้ ก็คือ ท่านประธานคนใหม่ของบริษัท ช่านซิง เอนเตอร์เทนเมนท์ของเรา ซึ่งก็คือเจ้านายของฉันเอง”
เมื่อเห็นทั้งสองมีท่าทางงุนงงสับสนเล็กน้อย รองประธานเผิง ก็ได้พูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
พอคําพูดนี้หลุดออกมา ร่างกายของ ฉี เกาห่าง และหวังสง ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นกลัว และตกใจ
ความตกตะลึงในสายตาของพวกเขาเวลานี้ไม่ได้แย่ไปกว่าตอนที่รู้ถึงตัวตนของ เซี่ย ซินเหยา เมื่อครู่นี้ ..มากนัก
ไม่ใช่เพียงแค่พวกเขาเท่านั้น แต่คนรอบข้างรวมถึงดาราคนดังหลายคนต่างตกตะลึงไปตามๆ กัน
“อะไรนะ? ชายหนุ่มคนนี้ซื้อ ช่านซิง ไปจริงๆ นะเหรอ?”
“พระเจ้า บริษัท ช่านซิง เอนเตอร์เทนเมนท์ ถือเป็นหนึ่งในบริษัทขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง โดยมีมูลค่าตลาดนับหลายหมื่นล้าน!”
“ใช่.. และคนที่สามารถซื้อหุ้นของ ช่านซิง มาได้ มันยิ่งแสดงให้เห็นว่าบุคคลนี้มีสถานะ และทรัพยากรทางการเงินที่ใหญ่กว่ามากถึงจะสามารถทําได้ เช่นนั้น.. ชายหนุ่มคนนี้ เขาเป็นเทพมาจากไหนแน่?”
ทุกคนเริ่มพูดคุยกันทันที
ซึ่งต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อเกี่ยวกับตัวตนของ ซูเหวิน
ไม่ต้องพูดถึง ฉี เกาห่าง และหวังสง
พวกเขาทั้งคู่ตะลึงงันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในตอนแรกที่พวกเขาเห็น ..ชายหนุ่มคนนี้ กับ คุณหนูเซี่ย
ยังคิดว่าทั้งสองคนนี้ เป็นดาราหน้าใหม่ที่รับการฝึกฝนจาก บริษัท ช่านซิง เอนเตอร์เทนเมนท์
แต่แล้วตอนนี้ล่ะ มันคืออะไร?
คนหนึ่งคือ คุณหนูใหญ่จาก ตระกูลเซี่ย และอีกคนหนึ่งเป็น ประธานของ ช่านซิง
ให้ตาย.. นี่มันเรื่องแมร่งห่าเชี้ยไรวะ?
ผ่านไปสักพักทั้งสองคนก็กลับมามีสติอีกครั้ง
จากนั้นพวกเขาก็มองไปที่ ซูเหวิน และรีบเข้าประจบสอพลอเขาอย่างรวดเร็ว
“ปรากฏว่าเป็น ประธานซู ของ ช่านซิง ยินดีที่ได้รู้จัก ยินดีที่ได้รู้จักคุณอย่างยิ่ง!”
“ฮ่าฮ่าๆ! ไม่คิดว่า ประธานซู ท่านจะสามารถเข้าซื้อ ช่านซิง ได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ นี่นับว่าเปิดหูเปิดตาจริงๆ”
ไม่มีทาง อีกฝ่ายหนึ่งมีความสามารถนี้ในการเข้าซื้อ ช่านซิง ได้
นั่นหมายความว่าภูมิหลังครอบครัวของเขานั้นแข็งแกร่ง ซึ่งแน่นอนว่ามีอำนาจ และทรงอิทธิพลมาก
นอกจากนี้ เขายังสามารถพาคุณหนูใหญ่ของ ตระกูลเซี่ย มาเป็นคู่ควงของเขาได้ ตัวตนของเขานั้นยิ่งไม่ธรรมดา
ฉี เกาห่าง และหวังสง ที่ไหนจะกล้ารุกราน!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามเอาใจอีกฝ่ายอย่างไร ซูเหวิน ก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้
จู่ๆ เขาก็มีความคิดหนึ่งขึ้นมาเมื่อมองไปที่ขวดไวน์แดงที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วเขาพูดขึ้นทันทีว่า : “หยุดพูดจาชมเชยผมได้แล้ว วันนี้พวกคุณกล้ายั่วยุคู่ควงของผม เรื่องนี้มันคงจบไม่ได้โดยง่ายๆ แบบที่คุณคิด..”
ในทันที เขาเหลือบมองไปที่ไวน์แดงบนโต๊ะ แล้วพูดว่า : “พวกคุณเห็นขวดไวน์แดงที่อยู่บนโต๊ะไหม?”
“วันนี้ คุณ และคุณ ดื่มคนเดียวให้เต็มทีคนละสองขวด หลังจากดื่มนี้แล้ว เรื่องนี้ผมจะถือว่า ..ปล่อยผ่านไป”
“และแน่นอนว่า.. พวกคุณสามารถเลือกที่จะดื่ม หรือไม่ก็ได้เช่นกัน”
“อย่างไรก็ตาม เมื่อผมไปส่ง คุณหนูเซี่ย กลับบ้านหลังจากงานเลี้ยงนี้สิ้นสุดลง ผมเองก็ไม่รังเกียจที่จะบอกพ่อกล่าวกับเธอถึงเรื่องที่พวกคุณคุกคามเธอ.. ในวันนี้”
“เมื่อถึงเวลานั้น เกิดผลอะไรขึ้นตามมา อย่าได้มาโทษผมที่ไม่ได้ให้โอกาสพวกคุณ..”
ซูเหวิน ยิ้มเยาะอีกฝ่ายอย่างเย็นชา และพูดมันทีละคำออกไปทันทีอย่างช้าๆ
น้ำเสียงของเขาสงบแต่กับแฝงความนัยอย่างลึกซึ้ง ซึ่งทว่าคนที่ได้ยินกลับไม่มีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย…
(1)[หยิ่งก่อนแล้วกลับนอบน้อมทีหลัง (前倨後恭)] - “การเปลี่ยนทัศนคติจากความเย่อหยิ่งเป็นความเคารพ” ในตอนแรก หยิ่ง และหยาบคาย จากนั้นก็ถ่อมตัว และให้ความเคารพ เป็นคำอุปมาของคนหัวสูงที่เปลี่ยนทัศนคติไปมาอย่างรวดเร็ว